ตอนที่ 384 ปล่อยวาง
“…..” ก่วนฟางอี๋ยังคงมีสีหน้ายากจะเชื่อได้อยู่ดี แต่ในที่สุดก็ค่อยๆ ยอมรับความจริงได้
ก็อย่างที่นางคาดเดาไปก่อนหน้านี้ เหตุใดคันฉ่องบานเดียวถึงสามารถเรียกร้องเงื่อนไขมากมายขนาดนี้กับหอจันทร์กระจ่างได้เล่า?
และเป็นอย่างที่หนิวโหย่วเต้าว่ามา หากมิใช่สิ่งนั้นแล้วจะเอาอะไรไปเสนอเงื่อนไขมากมายขนาดนี้ต่อหอจันทร์กระจ่างเล่า?
เพียงแต่สองเหตุผลนี้มันก็เพียงพอจะทำให้นางยอมเชื่อแล้ว นางลองถามหยั่งเชิงดู “เหตุใดเจ้าถึงมีของสิ่งนี้? ตงกัวเฮ่าหรานมอบให้เจ้าจริงๆ น่ะหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ เอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “โชคชะตามักเล่นตลกกับมนุษย์! ปีนั้นตงกัวเฮ่าหรานบาดเจ็บสาหัส มาถึงหมู่บ้านของพวกเราในสภาพร่อแร่ใกล้ตาย เขาไม่มีกำลังจะกลับไปยังสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้อีก บังเอิญพบกับข้าเข้าพอดี ที่เขารับข้าเป็นศิษย์ น่าจะเพราะอยากให้ข้านำคันฉ่องบานนี้กลับไปส่งให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์”
ก่วนฟางอี๋ที่ค่อยๆ หายจากอาการตกใจเอ่ยหยอกไปว่า “ใครจะไปรู้ล่ะว่าได้พบกับศิษย์เจ้าเล่ห์เข้าแล้ว ไม่ได้นำของกลับไปมอบให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์”
หนิวโหย่วเต้าปรายตามองนางเอ่ยไปว่า “เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นนี้หรือ?”
ก่วนฟางอี๋ย้อนถาม “แล้วมิใช่หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า เอ่ยไปว่า “เรื่องราวบางอย่างคนนอกไม่รู้ เจ้าแค่ไม่รู้เรื่องภายในเท่านั้น”
ก่วนฟางอี๋ถามหยั่งเชิงว่า “เป็นเพราะสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กักบริเวณเจ้า ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างเลวร้าย เจ้าเลยไม่มอบให้อย่างนั้นหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ายังคงส่ายหน้า เอ่ยด้วยสีหน้าที่คล้ายย้อนรำลึกถึงอดีต “ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด อาจเป็นเพราะสิ่งนี้สำคัญมากเกินไป หรืออาจเป็นเพราะตงกัวเฮ่าหรานไม่ไว้ใจคนอื่นๆ ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ก่อนตายตงกัวเฮ่าหรานได้กำชับข้าไว้อย่างเข้มงวด บอกว่าต้องส่งมอบของให้ถังมู่ศิษย์พี่ของเขาเท่านั้น ห้ามปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นเด็ดขาด หลังจากข้าไปถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็คิดจะมอบของให้แก่เขา ผู้ใดจะคาดถึงว่าถังมู่กลับตายไปแล้วเช่นกัน ตอนนั้นข้าตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากมอบของให้ไปก็เท่ากับผิดต่อคำสั่งเสียของตงกัวเฮ่าหราน แต่หากไม่มอบให้ก็ดูไม่เหมาะเช่นกัน รู้สึกลังเลใจมาโดยตลอด จนกระทั่งภายหลังข้าถึงสังเกตเห็นว่าตนถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กักบริเวณเสียแล้ว อยากจะติดต่อกับสมาชิกระดับสูงของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เพื่อพูดคุยก็เป็นเรื่องยาก ไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไร มืดแปดด้านไปหมด จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรส่งเดช ไม่เพียงแต่จะกักบริเวณข้าไว้ในเรือนดอกท้อห้าปีเต็ม ภายหลังกลับคิดจะสังหารข้าด้วย ฮ่าๆ! เจ้าว่าโชคชะตาเล่นตลกหรือไม่เล่า?”
“อย่างนี้นี่เอง!” ก่วนฟางอี๋พยักหน้าเล็กน้อย พลางใคร่ครวญตาม แล้วก็พอจะเข้าใจการกระทำของตงกัวเฮ่าหรานได้ น่าจะไม่อยากให้ทุกคนในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทราบถึงการมีอยู่ของสิ่งนี้ ให้ถังมู่รับรู้แค่คนเดียวมันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล นางเอ่ยถามอีกว่า “ด้วยนิสัยของเจ้า อย่าบอกเชียวนะว่าไม่เคยศึกษาดูสิ่งนี้มาก่อน บอกมาซะดีๆ สรุปแล้วสิ่งนี้มีเส้นสนกลในอันใดแฝงอยู่หรือไม่ เหตุใดจึงถูกยกให้เป็นของวิเศษชิ้นแรกในแปดของวิเศษล่ะ? ข้าดูแล้วก็ว่าธรรมดานัก”
ครั้งนี้หนิวโหย่วเต้าไม่ได้พูดความจริง “เคยศึกษาดูแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเลย เอามาศึกษาซ้ำไปซ้ำมา มันก็เป็นแค่เพียงคันฉ่องธรรมดาๆ บานหนึ่ง ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดถึงถูกยกให้เป็นของวิเศษชิ้นแรกในแปดของวิเศษ”
ก่วนฟางอี๋ยิ้มเหยียดหยาม “ด้วยมันสมองของเจ้า ประกอบกับสิ่งนี้อยู่ในมือเจ้ามานานขนาดนี้ เจ้ายังจะขุดค้นหาเบาะแสใดออกมาไม่ได้อีกหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “ชมเกินไปแล้ว เจ้าไม่ลองคิดดูหน่อยเล่าหากว่าสิ่งนี้คือของวิเศษคู่แคว้นฉินจริงๆ แคว้นฉินครอบครองไว้นานถึงเพียงนั้น แคว้นฉินจะไม่ระดมกำลังคนกำลังทรัพย์วิเคราะห์ศึกษาสิ่งนี้เลยหรือ? ขนาดของอยู่ในมือแคว้นฉินก็ยังสืบไม่พบประโยชน์ใช้สอยอันใด เช่นนั้นมันก็มีความเป็นไปได้เพียงสองกรณีเท่านั้น กรณีแรกคือไม่พบความลับจากสิ่งนี้เหมือนกับข้า กรณีที่สองคือสืบพบแล้วแต่ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี”
ก่วนฟางอี๋เงียบไป คิดๆ ดูก็พบว่าจริงดั่งว่า หนิวโหย่วเต้าคนเดียวไม่มีทางเหนือไปกว่ากำลังของแคว้นฉินทั้งแคว้นในยามนั้นได้ ขนาดแคว้นฉินยังไม่สืบหาอะไรไม่ได้ หนิวโหย่วเต้าก็ยิ่งทำไม่ได้แน่นอน
นางเบะปาก เอ่ยเย้าไปว่า “เจ้าปล่อยให้ข้ารู้ว่ามีสิ่งนี้อยู่ในมือ หรือเจ้าไม่กลัวว่าข้าจะพูดออกไป”
จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็มองนางด้วยสายตาที่จริงจังขึ้น จ้องมองสบตานาง
ดวงตาสองคู่ประสานกัน มองจนก่วนฟางอี๋ค่อนข้างอึดอัด นางถามออกไปว่า “ไยจึงมองข้าเช่นนี้? ข้างามมากหรือ?”
ทำนองวาจาของหนิวโหย่วเต้าก็จริงจังขึ้นมาเช่นกัน “เพราะข้าจริงใจกับเจ้า”
ก่วนฟางอี๋ผงะไปเล็กน้อย ไม่ทราบว่านึกอะไรขึ้นมาได้ พลันอับอายจนพาลโกรธขึ้นมา เงื้อเท้าหมายจะถีบ “ไปตายซะ!”
หนิวโหย่วเต้าโยกกายหลบ หัวเราะฮ่าๆ หันหลังเดินออกไป
“หยุดนะ!” ก่วนฟางอี๋ตะโกนเรียกเขา เดินเข้าไปถามว่า “หอจันทร์กระจ่างสังหารเฮยหมู่ตาน เจ้าจะมอบของสำคัญเช่นนี้ให้พวกเขาไปจริงๆ น่ะหรือ?”
หัวข้อสนทนานี้ค่อนข้างตึงเครียด ทำให้หนิวโหย่วเต้ายากจะยิ้มต่อได้ในทันใด “หากไม่มอบให้พวกเขา แล้วเจ้ามีกำลังพอจะต่อต้านพวกเขาได้หรือ หรือว่าข้ามีกำลังพอจะต่อต้านพวกเขาได้? เผชิญหน้ากับกองกำลังที่ทรงอิทธิพลระดับนี้ ตัวข้าในขณะนี้มีความสามารถพอจะล้างแค้นให้เฮยหมู่ตานได้หรือ? ปะทะกันในแคว้นฉีครานี้พวกเขาประสบความสูญเสีย ไม่มีทางยอมปล่อยพวกเราไปแน่ ตอนนี้มีแต่ข้าที่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ข้ามีแต่ต้องมอบสิ่งตอบแทนที่ทำให้พวกเขาพอใจได้ นั่นถึงสามารถสยบเพลิงพิโรธของพวกเขาลงได้ ที่ข้ายอมมอบของให้แต่โดยดีก็เพราะไม่อยากให้เจ้ากลายเป็นเฮยหมู่ตานคนที่สอง และไม่อยากให้คนอื่นๆ ที่ติดตามข้าต้องซ้ำรอยเดิมกับเฮยหมู่ตาน ในเมื่อพวกเจ้าติดตามข้าแล้ว ข้าก็ต้องรับผิดชอบตามที่สมควรทำ มิเช่นนั้นจะมีผู้ใดอยากทำงานรับใช้ข้าเล่า?”
ก่วนฟางอี๋เงียบไปครู่หนึ่ง ถอนใจพลางเอ่ยออกไป “ตอนที่เจ้าจะปะทะกับพวกเขาก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าพวกเขาไม่มีทางปล่อยเจ้าไป หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ไยตอนนั้นยังทำอีกเล่า?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยตอบนาง “พวกเจ้าติดตามข้าเพราะอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น มิใช่ย่ำแย่ลงกว่าเดิม ความปรารถนาของทุกคนก็คือความรับผิดชอบของข้าเช่นกัน หากปล่อยให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไร้ความหวัง ผู้ใดจะยังอยากติดตามข้าเล่า? ข้าไม่อาจพาลใจฝ่อกลัวทุกสิ่งไปเพียงเพราะกริ่งเกรงในเรื่องบางอย่างได้ จะมัวกังวลจนไม่ยอมเดินหน้าต่อเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ จะต้องยอมถอยบ้างเพื่อให้เดินหน้าต่อได้ เพราะอย่างน้อยก็ยังมีอนาคตให้ก้าวต่อไป บางทีอาจจะไม่เรียกว่ายอมถอยด้วยซ้ำ ข้าเพียงแต่เบี่ยงตัวหลบลงข้างทางเล็กน้อยเพื่อหลบภัยคุกคามชั่วคราวเท่านั้น ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า