ตอนที่ 386 สหายสนิทของอวิ๋นจี
“เดี๋ยวหลานจะไปนำมาให้” เฮ่าเจินเดินเข้าไปรื้อกองเอกสารที่โต๊ะอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหยิบราชโองการฉบับหนึ่งออกมา ยื่นส่งให้เขา
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งรับไปเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว เป็นราชโองการจากองค์ฮ่องเต้จริงๆ เนื้อหาคร่าวๆ สรุปได้ว่าแคว้นฉีมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล เฮ่าเจินต้องตรวจสอบทรัพย์สินราชวงศ์ทั่วแคว้นจะสิ้นเปลืองเวลานัก เพื่อไม่ให้ประสบความลำบากและเพื่อให้ปฏิบัติงานได้สะดวก จึงปลดพวกจางสิงรุ่ยออกจากสังกัดจวนประจิม ให้มาขึ้นตรงต่อเฮ่าเจินแทน
กล่าวอีกนัยคือเมื่อมีราชโองการนี้มาถึงก็แปลว่าพวกจางสิงรุ่ยกลายเป็นคนของเฮ่าเจินอย่างเป็นทางการแล้ว มิได้อยู่ในสังกัดของเฮ่าอวิ๋นเซิ่งอีกต่อไป
พอเห็นเขามีสีหน้าหมองคล้ำสับสน เฮ่าเจินที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยไปว่า “เสด็จอาไม่ทราบเรื่องนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ? การโยกย้ายคนมาให้หลาน ตามหลักแล้วเอกสารจากทางการน่าจะถูกส่งไปที่จวนประจิมด้วยถึงจะถูก”
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งปิดราชโองการ สีหน้าเคร่งเครียด เขาไม่รู้เรื่องนี้เลยจริงๆ เอกสารทางการน่าจะส่งไปที่จวนประจิมแล้ว คงเป็นเพราะเขาอยู่ระหว่างเดินทางจึงไม่ได้เห็น ด้วยมิใช่เรื่องเร่งด่วนอันใด ทางจวนประจิมจึงไม่ได้ส่งข่าวมาหาเขาเพราะเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้
ที่สำคัญคือคนส่วนใหญ่ทางจวนประจิมไม่ทราบสถานะที่แท้จริงของจางสิงรุ่ย ตามปกติเขาก็ไม่ได้ไปมาหาสู่จางสิงรุ่ยนัก เพียงโยกย้ายเจ้าหน้าที่ระดับล่างไม่กี่คนเท่านั้น จะล่าช้าไปบ้างก็ได้ น่าจะรวบรวมส่งมาให้เขาพร้อมกับเรื่องอื่นๆ
อันที่จริงเรื่องที่ทำให้เขาฉงนงงงวยองค์ฮ่องเต้ย้ายจางสิงรุ่ยตอนไหนไม่ย้าย ดันมาย้ายให้มาอยู่กับเฮ่าเจินเอาตอนนี้ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ ฮ่องเต้ทรงไปทราบเรื่องใดมาใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นเหตุใดเวลาถึงประจวบเหมาะบังเอิญปานนี้ กำลังเล่นงานเขาอย่างนั้นหรือ?
“เหตุใดข้าถึงได้ยินมาว่าเป็นเจ้าที่เป็นคนเอ่ยปากขอคนจากฝ่าบาท?” เฮ่าอวิ๋นเซิ่งถามอย่างเย็นชา
เฮ่าเจินเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เสด็จอาไปฟังเรื่องเหลวไหลมาจากไหนพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีเรื่องเช่นนี้แน่นอน ไปตรวจสอบได้เลย! อีกอย่างหลานรังเกียจปัญหายุ่งยากเป็นที่สุด แล้วจะร้องขอคนของเสด็จอามาทำไมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จอาโปรดตรวจสอบให้ชัดเจนด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งโยนราชโองการในมือกลับไปบนโต๊ะ “ข้าย่อมไปตรวจสอบให้ชัดเจนแน่” พูดจบก็หันหลังเดินออกไป
“เสด็จอา!” เฮ่าเจินไล่ตามออกไปนอกกระโจม มองเห็นเฮ่าอวิ๋นเซิ่งเดินไปขึ้นม้า จึงรีบเข้าไปขวางไว้ “เสด็จอาเพิ่งมาถึง ยังไม่ได้จิบชาสักคำเลยด้วยซ้ำ นี่จะไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งกล่าวว่า “หลีกไป ข้ายังมีธุระต่อ”
เฮ่าเจินเอ่ยถาม “เสด็จอา ท่านบอกว่าจางสิงรุ่ยหายไป เป็นความจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร? ตอนนี้เขาเป็นคนของเจ้าแล้ว เจ้าไปคิดหาทางจัดการเองเถอะ” เฮ่าอวิ๋นเซิ่งบังคับม้าหักเลี้ยวอ้อมผ่านเขาไป จากนั้นตวัดแส้คราหนึ่ง ควบม้าจากไปอย่างรวดเร็ว ผู้ติดตามก็ควบม้าไล่ตามไป
ไม่นานนักขบวนม้าหลายร้อยตัวก็ค่อยๆ ห่างออกไป
เฮ่าเจินมองตามด้วยสีหน้าราบเรียบ
อันที่จริงราชโองการนั้นขององค์ฮ่องเต้ เขาเป็นทูลขอมาจริงๆ แต่เขาไม่ได้ออกหน้าเอง และเขาเองก็ไม่มีทางออกหน้าเพื่อให้เรื่องราวสาวมาถึงตัวเขาได้ง่ายๆ ในราชสำนักย่อมมีคนที่ออกหน้ากราบทูลเรื่องนี้ต่อองค์ฮ่องเต้ เรื่องราวที่กราบทูลไปก็มีความหมายเหมือนกับเนื้อความในราชโองการ แยกแยะข้อดีข้อเสียชัดเจน องค์ฮ่องเต้จึงตอบตกลง
การจัดการเรื่องแบบนี้ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงเขาเลย ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องที่เขาไปกราบทูลอย่างแน่นอน ทันทีที่เฮ่าอวิ๋นเซิ่งเอ่ยออกมา เขาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังลองเชิงเขาอยู่
เขาหันหลังเดินไปที่กระโจมอีกหลังหนึ่ง
เมื่อแหวกม่านกระโจมออกก็เห็นคนผู้หนึ่งนั่งจัดการเอกสารอยู่ที่โต๊ะ มิใช่ใครอื่น เป็นจางสิงรุ่ยนั่นเอง
มีผู้บำเพ็ญเพียรผีสองรายเฝ้าประกบอยู่สองฝั่งซ้ายขวาด้วย
เมื่อเห็นเฮ่าเจิน จางสิงรุ่ยรีบลุกขึ้นมาถวายความเคารพ “ท่านอ๋อง!”
….
ปีกทองตัวหนึ่งโฉบเข้ามาจากท้องนภา ร่อนลงในคฤหาสน์บนเขา
ไม่นานนัก ลู่หลีจวินมุดออกมาจากห้องหนึ่ง ทะยานกายขึ้นไปบนหอสูงหลังหนึ่ง ประคองจดหมายด้วยสองมือยื่นส่งให้กุ่ยหมู่ที่เท้าราวกั้นอยู่ “นายหญิง คนปลอดภัยดีขอรับ โยกย้ายไปอยู่ในสังกัดอิงอ๋องแล้ว ได้รับราชโองการโยกย้ายจากทางเมืองหลวงแคว้นฉีแล้วด้วยขอรับ”
กุ่ยหมู่เปิดจดหมายอ่าน หลังจากอ่านดูก็มีท่าทางเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก หันไปสั่งว่า “เชิญหนิวโหย่วเต้ามาที”
“ขอรับ!” ลู่หลีจวินตอบรับแล้วออกไป
ท่ามกลางหมู่ศาลาในอีกด้านหนึ่ง ชายชุดดำวางตั๋วแลกทองลงบนโต๊ะ จากนั้นยื่นมือออกไปตรงหน้าหนิวโหย่วเต้า “ของล่ะ?”
หนิวโหย่วเต้าหยิบตั๋วแลกทองไป ยื่นส่งให้ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านข้างตรวจนับ ก่อนจะล้วงเอาคันฉ่องสัมฤทธิ์ออกมาจากแขนเสื้อ โยนส่งให้เหมือนโยนผ้าขี้ริ้วอีกครั้ง เกิดเสียงดังเคร้ง
บนคันฉ่องยังมีคราบหมึกจากครั้งก่อนเปื้อนอยู่ คนชุดดำหยิบขึ้นมาดูจากนั้นเปิดภาพลอกลายในครั้งก่อนเพื่อเทียบดูอีกครั้ง สุดท้ายจึงหยิบคันฉ่องขึ้นมาโบกไปมาตรงหน้า “หากว่าเป็นของปลอม เจ้าคงทราบผลที่จะตามมากระมัง”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “พูดกันตามตรง ของจะใช่ของจริงหรือไม่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่นี่คือสิ่งที่ตงกัวเฮ่าหรานมอบให้ข้าจริงๆ คาดว่าคงมิใช่ของปลอม”
“เฮอะ!” คนชุดดำแค่นเสียงทีหนึ่ง ลุกขึ้นหมายจะจากไป
“ช้าก่อน!” หนิวโหย่วเต้าเรียกเขาไว้ เอียงหัวไปทางของในมือก่วนฟางอี๋เล็กน้อย ความหมายคือการแลกเปลี่ยนยังไม่นับว่าเสร็จสมบูรณ์
คนชุดดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “วางใจเถอะ เงินครบแน่นอน”
เป็นอย่างที่กล่าวมาจริงๆ ก่วนฟางอี๋ตรวจนับอย่างรวดเร็วแล้วพยักหน้ารับ “ห้าล้านเหรียญทองครบถ้วน”
เดิมทีตกลงกันที่สิบล้านเหรียญทอง แต่ทั้งสองฝ่ายต่อรองไปมา ด้านเงื่อนไขอื่นๆ หอจันทร์กระจ่างล้วนรับปากหมดแล้ว แต่เรื่องเงินยอมจ่ายแค่สามล้านเท่านั้น สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ยอมถอยกันคนละก้าว จบลงที่ห้าล้าน!
คนชุดดำถาม “ข้าไปได้หรือยัง?”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางลุกขึ้นมาส่ง “เชิญตามสบาย! แต่โปรดถ่ายทอดข้อความเหล่านี้ต่อเบื้องบนด้วย ไม่ต่อยตีไม่รู้จัก เรื่องราวที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป ไม่จำเป็นต้องวางตัวเป็นอริกัน ศัตรูลดน้อยลงไปหนึ่ง เส้นทางก็ราบรื่นขึ้น อันที่จริงการผูกมิตรไว้ก็เป็นทางเลือกอย่างหนึ่งเช่นกัน ตัวข้าเป็นคนชอบผูกมิตร ทุกเรื่องราวในใต้หล้า ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร เพียงผีเสื้อกระพือปีกก็สะเทือนถึงดวงดาว ไม่แน่ต่อไปทุกคนอาจจะมีโอกาสได้ร่วมงานกัน หากว่าเบื้องบนไม่รังเกียจ นับจากนี้ไปพวกเราก็ทิ้งข้อมูลติดต่อกันและกันเอาไว้ เพื่อจะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดขึ้นในอนาคต ข้อความมีเท่านี้ รบกวนท่านช่วยส่งข้อความแทนข้าด้วย”
แววตาคนชุดดำวูบไหวคล้ายกำลังตริตรองวาจานี้อยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากเงียบงันอยู่สักพักก็หันหลังเดินอาดๆ จากไป
พอเห็นว่าทางนี้เสร็จธุระแล้ว ต้วนหู่ที่ขวางลู่หลีจวินไว้ถึงเข้ามาแจ้งว่า “เต้าเหยี่ย ลู่หลีจวินต้องการเข้าพบท่านขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าตอบอืมคำหนึ่ง “เชิญเข้ามา!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า