ตอนที่ 387 อวยพรจากจังหวัดชิงซานอันห่างไกล
เมื่อถึงเวลาที่สมควรไปย่อมรั้งไม่อยู่ กุ่ยหมู่ไม่อยากรั้งอยู่นาน บอกจะไปก็ไปทันที
หนิวโหย่วเต้าไปส่งด้วยตัวเอง อีกฝ่ายไม่อยากใช้เส้นทางหลักของหุบเขา เลือกจะเดินทางผ่านป่าทึบด้านหลังเขาแทน ชั่วพริบตาเดียวก็หายลับไป
“ดูท่าทางของเจ้าเหมือนจะไม่อยากให้กุ่ยหมู่จากไปนะ” ก่วงฟางอี๋ที่มาด้วยเห็นสีหน้าหนิวโหย่วเต้าผิดแปลกไปจึงเอ่ยถาม
“เฮ้อ!” หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ
เขาไม่อยากให้กุ่ยหมู่จากไปเสียที่ไหนกัน แค่ไม่อยากให้กุ่ยหมู่ไปที่เขาข้ามเมฆาเท่านั้น กุ่ยหมู่กับสหายสนิทของอวิ๋นจี เขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับบุตรชายของอวิ๋นจี ต่อมาเขาก็กลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับกุ่ยหมู่อีก
ไอ๊หยา! ความสัมพันธ์นี้เขาคิดกับตัวเองก็ยังกระอักกระอ่วนเลย หากว่ากุ่ยหมู่ทราบเรื่องเข้า เห็นทีว่าจะกระอักกระอ่วนมากเช่นกัน
….
ณ วังหลวงภายในเมืองหลวงแคว้นฉี เฮ่าอวิ๋นถูเงยหน้าจากราชกิจที่สะสางอยู่ เอ่ยอย่างแปลกใจ “อยากให้ปล่อยลิ่งหูชิวไป?”
ปู้สวินที่ยืนอยู่ด้านข้างค้อมกายเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ หนิวโหย่วเต้าส่งจดหมายมาฝากฝัง บอกว่าลิ่งหูชิวเป็นพี่ชายร่วมสาบานของเขา ไม่อยากเห็นพี่ชายต้องทนรับความลำบากอีก จึงอยากทูลขอพระเมตตาจากฝ่าบาทให้ปล่อยลิ่งหูชิวไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่อยากเห็นพี่ชายต้องทนรับความลำบากอย่างนั้นหรือ?” เฮ่าอวิ๋นถูหัวเราะหยันเหอะๆ “คนที่ส่งพี่ชายร่วมสาบานเข้าไปรับความลำบากในคุกหลวงก็คือตัวเขาเองมิใช่หรือ? เด็กคนนี้หน้าซื่อใจคด ปล้นม้าศึกของมณฑลเป่ยโจวไปแล้วยังจะมาใช้ไม้นี้อีก มากอุบายนัก สรุปแล้วจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่?”
ปู้สวินกล่าวว่า “บ่าวก็คิดว่าเรื่องนี้มีเลศนัย ฝ่าบาท เช่นนั้นจะปล่อยตัวลิ่งหูชิวหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เฮ่าอวิ๋นถูวางพู่กันลง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ใคร่ครวญอยู่สักพักก็เอ่ยเนิบๆ ว่า “เขาตกอยู่ในกำมือพวกเราแล้ว หอจันทร์กระจ่างน่าจะตัดทุกช่องทางที่สมควรตัดทิ้งแล้ว แล้วก็น่าจะเตรียมการในเรื่องที่ควรเตรียมไว้เช่นกัน เก็บไว้กับพวกเราก็ไม่ประโยชน์อีก แต่ทางฝั่งซางเฉาจง เดี๋ยวพอถึงเวลาเรายังต้องใช้ประโยชน์จากเจ้านั่นอยู่ ลิ่งหูชิวคนนี้ไม่มีค่าอะไรแล้ว อย่างมากก็คงใช้ล่อแมลงวันออกมาให้ตบตายได้ตัวสองตัวเท่านั้น น่าเบื่อสิ้นดี ปล่อยไปเถอะ! แต่ทางที่ดีคอยจับตามองไว้สักหน่อย ดูว่าเจ้าหนิวโหย่วเต้าจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่ เด็กคนนั้นแม้แต่ม้าศึกจำนวนมากขนาดนั้นของมณฑลเป่ยโจวก็ยังปล้นไปได้ มีฝีมือด้านการจัดการเรื่องราวเป็นอย่างมาก จับตามองเอาไว้ให้ดี”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ปู้สวินตอบรับ
ช่วงเย็นย่ำ ณ สวนไม้เลื้อย ตู๋กูจิ้งรีบเดินเข้าไปในเรือนเล็กที่เงียบสงัดหลังหนึ่ง
ภายในลานเรือน อวี้ชางเดินกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวาย พอเห็นตู๋กูจิ้งเดินเข้ามาก็มีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที สอบถามผ่านสายตา
ตู๋กูจิ้งพยักหน้าให้เล็กน้อย อวี้ชางรีบโบกแขนเสื้อสื่อว่าให้ไปคุยกันในเรือน
สองศิษย์อาจารย์เข้าไปในเรือนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ปิดประตูโดยเร็ว
อวี้ชางหันหลังมา ถามอย่างอดรนทนไม่ไหว “ของล่ะ?”
ตู๋กูจิ้งล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบห่อผ้าสีขาวห่อหนึ่งออกมาแล้วคลี่ผ้าออก เผยให้เห็นคันฉ่องสัมฤทธิ์ที่อยู่ด้านใน เขาประคองส่งให้ด้วยสองมือ
อวี้ชางรับไปถือไว้ พลิกไปพลิกมาเพื่อตรวจดู เดินไปที่หน้าโต๊ะอย่างรวดเร็ว เปิดตำราโบราณเก่าคร่ำครึเล่มนั้นอีกครั้ง พลิกไปยังหน้าที่มีภาพจำลองของคันฉ่องอยู่ ตรวจเทียบลาดลายบนหน้าหนังสือกับบนคันฉ่องอย่างละเอียด
ตู๋กูจิ้งที่อยู่ด้านข้างเฝ้ามองด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
ผ่านไปสักพักหนึ่ง อวี้ชางปิดตำราลง ทาบคันฉ่องแนบอก สีหน้าดื่มด่ำดั่งได้ลองลิ้มสุราเลิศรส
พอตู๋กูจิ้งเห็นผู้เป็นอาจารย์เสียกริยาอย่างที่ยากจะได้เห็นก็ทราบคำตอบแล้ว แต่ก็ยังคงอดถามยืนยันไม่ได้ “อาจารย์ เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”
อวี้ชางยิ้มอย่างมีความสุข “ตรงกัน ตรงกันทุกอย่างเลย”
“เช่นนั้นก็ดีแล้วขอรับ!” ตู๋กูจิ้งพยักหน้าหงึกๆ แต่ก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวังอีกครั้ง “อาจารย์ จะเป็นของปลอมหรือไม่ขอรับ?”
อวี้ชางตอบว่า “ยังต้องตรวจยืนยันขั้นสุดท้ายอีก”
ตู๋กูจิ้งเอ่ยถาม “ต้องการสิ่งใดบ้างขอรับ? ศิษย์จะไปจัดเตรียมให้เดี๋ยวนี้”
อวี้ชางมองท้องนภานอกบานหน้าต่าง “ของบางอย่างเจ้าจัดเตรียมมาได้ แต่บางอย่างเจ้าก็ไม่มีทางเตรียมได้”
ตู๋กูจิ้งประสานมือกล่าวไปว่า “อาจารย์ประสงค์สิ่งใดก็บอกมาได้เลยขอรับ ต่อให้ศิษย์ต้องแลกด้วยสิ่งใดก็จะหามาให้ได้”ไอรีนโนเวล
“ฮ่าๆ!” อวี้ชางหัวเราะเสียงดัง ยื่นมือไปตบไหล่เขาพลางชี้ออกไปนอกหน้าต่าง “ยังไม่ถึงเวลา แม้เจ้าอยากจัดเตรียมก็คงเตรียมไม่ได้ ต้องรอให้ตกค่ำจันทร์เพ็ญปรากฏ เรื่องปรากฏการณ์ของดวงดาวเจ้าไหนเลยจะเตรียมได้?”
“ตกค่ำหรือขอรับ?” ตู๋กูจิ้งฉงน
อวี้ชางพลิกคันฉ่องในมือดู ใช้มือลูบคลำวนซ้ำไปซ้ำมา สุดท้ายก็จัดการเก็บใส่อกเสื้อตนไว้ หลังจากจัดเก็บไว้กับตัวเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เรื่องเจรจาแลกเปลี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง?”
ตู๋กูจิ้งได้สติกลับมา ตอบไปว่า “ประหยัดเงินได้ห้าล้านเหรียญทองขอรับ”
อวี้ชางถอนหายใจ “เด็กคนนั้นอย่าได้เล่นลูกไม้อันใดเลยจะดีที่สุด ขอแค่เป็นของจริง ต่อให้ต้องจ่ายสิบล้านเหรียญทองให้เขาแล้วจะเป็นไรไป”
ตู๋กูจิ้งเอ่ยว่า “อาจารย์ หนิวโหย่วเต้ายังฝากข้อความมาถึงท่านด้วยขอรับ”
อวี้ชางร้องโอ้ กล่าวไปว่า “ลองว่ามา”
“เขาบอกว่า ไม่ต่อยตีไม่รู้จัก เรื่องราวที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป ไม่จำเป็นต้องวางตัวเป็นอริกัน ศัตรูลดน้อยลงไปหนึ่ง เส้นทางก็ราบรื่นขึ้น อันที่จริงการผูกมิตรไว้ก็เป็นทางเลือกอย่างหนึ่งเช่นกัน…” ตู๋กูจิ้งถ่ายทอดคำพูดของหนิวโหย่วเต้าออกมาตามคำพูดเดิม
หลังจากอวี้ชางฟังจบก็จมอยู่ในห้วงความคิด ลูบเคราพึมพำกับตัวเอง “ทุกเรื่องราวในใต้หล้า ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร เพียงผีเสื้อกระพือปีกก็สะเทือนถึงดวงดาว…” เขายิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้า “คนผู้นี้น่าสนใจทีเดียว เป็นคนมีปัญญาผู้หนึ่ง เจ้าคิดอย่างไรกับข้อเสนอของเขา?”
ตู๋กูจิ้งกล่าวอย่างใช้ความคิด “ศิษย์รู้สึกว่าค่อนข้างมีเหตุผลขอรับ”
อวี้ชางเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในเรือน ก้าวเดินพร้อมกล่าวเนิบๆ ว่า “คนหนุ่มอายุน้อยแต่ยืดได้หดเป็น กลับเป็นพวกเราที่หัวโบราณคร่ำครึไปเสียแล้ว นั่นสินะ ในเมื่อความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเลย หากมีโอกาสเหมาะสม ไยจะร่วมมือกันไม่ได้เล่า? ล้วนเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า