ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 397

สรุปบท ตอนที่ 397 ปิดล้อม: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

อ่านสรุป ตอนที่ 397 ปิดล้อม จาก ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 397 ปิดล้อม คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตอนที่ 397 ปิดล้อม

ภายในเรือนเมฆาขาวถูกรื้อค้นกระจัดกระจายเช่นเดียวกับบ้านเรือน สถานที่ใดที่สามารถซ่อนคนไว้ได้ หากเปิดไม่ออกก็จะใช้กำลังทุบทำลาย ผนังกำแพงหลายแห่งถูกทุบให้เปิดอ้า

ไม่นานนักภายในสถานเริงรมย์แห่งนี้ก็ถูกรื้อค้นทำลายจะเละเทะ

“หลีกไป!”

มีเสียงตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยวแว่วมาจากหัวถนน ทหารที่สกัดเส้นทางอยู่ตรงหัวถนนถูกผลักออกไป เฮ่าอวิ๋นเซิ่งเดินกะเผลกๆ เข้ามาพร้อมผู้ติดตาม

เมื่อเผชิญหน้ากับซีย่วนต้าอ๋องคนนี้โดยที่ทางกองทัพไม่ได้สั่งการใดๆ ไว้ เหล่าทหารก็ลำบากใจเช่นกัน นี่คือพระอนุชาแท้ๆ ขององค์ฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าควรจะขวางไว้ดีหรือไม่ ไม่กล้าล่วงเกินส่งเดช

พอเห็นเหตุการณ์ด้านหน้า สีหน้าของเฮ่าอวิ๋นเซิ่งที่อยู่ภายใต้แสงไฟดูอึมครึมคร่ำเคร่ง ดวงตาฉายโกรธเกรี้ยวยากจะปกปิดไว้ได้

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนะเพคะ!”

“ท่านอ๋องช่วยพวกเราด้วยเถิดเพคะ!”

พอเห็นว่าที่พึ่งทรงอำนาจมาถึงแล้ว นางโลมคนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่บนพื้นพลันคลานลุกขึ้นมา ผลักทหารที่เฝ้าอยู่ออกไป คุกเข่าขวางกลางถนนพลางร้องขอความเป็นธรรม

พอมีเสียงนี้แว่วนำ นางโลมหลายคนก็คลานออกมาจากแถวที่คุกเข่าอยู่ ออกมาขวางทางร้องขอความเป็นธรรมด้วยกัน

นางโลมที่เหลือก็พากันร้องห่มร้องไห้ขึ้นมาในทันใด เหล่าโฉมงามต่างพากันร้องขอความเป็นธรรม หันหน้ามาคุกเข่าให้ทางเฮ่าอวิ๋นเซิ่ง ในยามนี้มีเสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วท้องถนน

เหล่าบุรุษที่คุกเข่าอยู่อีกฟากถนนแอบสังเกตการณ์ ทว่ายังคงสงบนิ่งอยู่ บางคนทถึงขนาดยักคิ้วหลิ่วตาสื่อสารกัน เตรียมรอชมเรื่องครื้นเครง

เฮ่าอวิ๋นเซิ่งมองดูกลุ่มคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าตนเล็กน้อย ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยสายตาเย็นชา ตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ข้าเปิดกิจการถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ใดมอบอำนาจให้พวกเจ้ากระทำการเหิมเกริมเช่นนี้ ยังเห็นกฎหมายอยู่ในสายตาบ้างหรือเปล่า? ไปเรียกฮูเหยียนอู๋เฮิ่นมาพบข้า!”

ทางนี้เพิ่งพูดจบ จู่ๆ ก็มีพลธนูโผล่หน้าออกมาตามช่องหน้าต่างข้างถนนกันพรึบพรับ

เสียงน้าวสายขึ้นธนูแว่วดังขึ้นพร้อมกัน ห่าธนูโถมเข้าโจมตี

เฮ่าอวิ๋นเซิ่งสะดุ้งโหยง ฝ่าซือติดตามที่ประกบอยู่ด้านหลังซ้ายขวาพลันถลาออกมาขวางหน้า ใช้พลังปกป้องเขาไว้

ทว่าธนูห่านั้นเพียงเล็งมาทางเฮ่าอวิ๋นเซิ่งเท่านั้น แต่กลับไม่ได้ยิงใส่เฮ่าอวิ๋นเซิ่ง กลับเป็นกลุ่มคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเฮ่าอวิ๋นเซิ่งที่ส่งเสียงร้องโหยหวนแว่วระงมขึ้นมา

“อ๊า…”

นางโลมสิบกว่าคนที่วิ่งออกมาร้องขอความเป็นธรรมเมื่อครู่นี้กรีดร้องโหยหวนทรุดฮวบลงบนพื้น แต่ละคนถูกยิงธนูใส่จนดูคล้ายเม่น ล้มจมกองเลือดไปในชั่วพริบตา

เสียงยิงธนูดังขึ้นตามด้วยเสียงร้องโหยหวน จากนั้นที่เกิดเหตุก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดวังเวง เหล่านางโลมที่เมื่อครู่ร้องห่มร้องไห้ประสมโรงอยู่ต่างตัวสั่นงันงก รู้สึกตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงอีก

เหล่าบุรุษที่คุกเข่าอยู่อีกฝั่งหดหัวด้วยความตกใจ แต่ละคนมีสีหน้าดูแย่ รู้สึกขวัญเสียเช่นกัน ไม่มีอารมณ์ชมเรื่องครื้นเครงแล้ว เริ่มกังวลว่ากองทหารม้าองอาจจะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่หรือไม่

เฮ่าอวิ๋นเซิ่งเองก็เรียกได้ว่าตกใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เขาถึงขั้นหลงคิดไปว่ามีคนต้องการฉวยโอกาสลงมือกับเขา

เงาร่างหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าโผล่มาตั้งแต่ตอนไหนปรากฏตัวขึ้นบนถนนเบื้องหน้าที่มีโคมไฟห้อยส่องสว่าง เฮ่าอวิ๋นเซิ่งนึกว่าตนตาฝาดไป กระทั่งร่างคนค่อยๆ เดินเข้ามาหา พอมองเห็นชัดเจนว่าเป็นผู้ใด ม่านตาเขาพลันหดตัว

ฉาหู่ที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันเดินเข้ามา หยุดลงตรงกองซากศพที่ขวางอยู่บนถนน เหลือบมองไปยังขาที่พิการข้างนั้นของเขา “เป็นถึงท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ แต่กลับมาออกหน้าให้หอนางโลมส่ำส่อนแห่งหนึ่งต่อหน้าผู้คนมากมาย ดูไม่เหมาะสม แล้วก็ดูน่าขันอย่างยิ่งนะพ่ะย่ะค่ะ!”

เฮ่าอวิ๋นเซิ่งชี้หน้าเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “เคลื่อนทัพใหญ่ในเมืองหลวงส่งเดช พวกเจ้าคิดจะก่อกบฏหรือ?”

ฉาหู่กล่าวว่า “อย่าได้ปรักปรำส่งเดชสิพ่ะย่ะค่ะ เมื่อสั่งเคลื่อนกำลังทหารย่อมมีเหตุผลจำเป็นแน่นอน ท่านอ๋องไม่มีอำนาจแทรกแซงกองทัพ การแทรกแซงภารกิจกองทัพโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษถึงตาย โปรดถอยออกไปโดยเร็วเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าอวิ๋นเซิ่งเอ่ยว่า “ไปเรียกฮูเหยียนอู๋เฮิ่นมาพบข้า!””ฮณ๊ฯดฯฌซ,

ฉาหู่ประสานมือไว้ตรงหน้าท้อง เอ่ยเนิบๆ ว่า “ท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพใหญ่มีคำสั่งลงมาว่าหากผู้ใดขัดขวางภารกิจของกองทัพให้สังหารได้เลย!” ระหว่างที่พูดก็มองไปยังฝ่าซือที่ประกบอยู่สองฝั่งซ้ายขวาของเฮ่าอวิ๋นเซิ่งด้วยแววตาเย็นชา ค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้น

พอเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา เหล่าพลธนูที่อยู่ริมหน้าต่างอาคารสองฝั่งถนนพลันน้าวสายขึ้นธนูอีกครั้ง เหล่าทหารติดอาวุธที่อยู่สองฝั่งซ้ายขวาก็เล็งอาวุธไปทางเฮ่าอวิ๋นเซิ่ง

เมื่อฝ่าซือติดตามของเฮ่าอวิ๋นเซิ่งเผชิญกับสายตาของฉาหู่ก็ดูเหมือนจะหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยกระซิบกระซาบข้างหูเฮ่าอวิ๋นเซิ่งสองสามประโยค

สุดท้ายเฮ่าอวิ๋นเซิ่งก็เหวี่ยงแขนเสื้อสะบัดหน้าหันหลังจากไป สีหน้าดูแย่เป็นอย่างมาก

เหตุผลที่เหล่าลูกหลานในราชวงศ์ชอบแย่งชิงบัลลังก์กัน บางครั้งก็มิใช่เพราะอำนาจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่สภาพของผู้ที่ต้องตกอยู่ใต้อำนาจนั้นสามารถบ่งบอกได้เป็นอย่างดี เมื่อไม่มีอำนาจก็ไร้ซึ่งเกียรติ ยกตัวอย่างเช่นเฮ่าอวิ๋นเซิ่งที่ในตอนนี้ต้องจากไปพร้อมกับความโกรธเกรี้ยวอัปยศ ความรู้สึกที่ต้องอับอายต่อหน้าคนมากมายช่างไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย

….

กริ๊ง!

เสียงกระดิ่งแว่วดัง ครั้งนี้แม้แต่หยวนกังเองก็ได้ยินชัดเจนเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ก็ได้ยินเสียงกระดิ่งรางๆ ซูจ้าวไปตรวจดูแล้วก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงนึกว่าหูแว่วไปเอง

ภายใต้ท้องฟ้าดาษหมู่ดาว ทั้งสองรั้งบังเหียนหยุดม้าอย่างเร่งด่วน สบตากันเล็กน้อยแล้วลงจากม้าพร้อมกัน ตรวจสอบหาต้นตอที่มาของเสียงกะดิ่ง

ไม่นานนัก ทั้งสองคนก็ค้นพบกระดิ่งลูกหนึ่งบนต้นไม้เตี้ยๆ ต้นหนึ่ง

กระดิ่งนั้นไม่สำคัญเท่าไร สิ่งสำคัญคือมีด้ายเส้นหนึ่งมัดเชื่อมอยู่กับกระดิ่ง หยวนกังสาวไปตามเส้นด้ายอย่างรวดเร็ว พบว่าเส้นด้ายขาดไปแล้ว

ซูจ้าวปล่อยผีเสื้อจันทราออกมาทันที ค้นหาไปตามทิศทางที่เส้นด้ายขาดลงกลางคัน ไม่นานนักก็ดึงเส้นด้ายขาดๆ อีกเส้นหนึ่งขึ้นมาจากพงหญ้าด้านข้าง สาวตามรอยไปอีกครั้ง สาวตามไปนับร้อยจั้งก็ยังไม่พบปลายอีกด้านหนึ่ง

ในสายตาของนาง หยวนกังเป็นเพียงคนธรรมดา ถ้านางยังอยู่ก็ยังพอจะช่วยปกป้องได้ จะให้นางทอดทิ้งหยวนกังหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวนางยอมรับไม่ได้

มัวแต่ชักช้ากันอยู่เช่นนี้ ถึงทั้งสองอยากหนีก็หนีไม่รอดแล้ว กองทหารที่ไล่ตามมาจากด้านหลังมีทักษะการขี่ม้าที่ยอดเยี่ยม มิใช่ทักษะที่ทั้งสองจะเทียบชั้นได้ เพียงครู่เดียวก็ตามพวกเขาทันแล้ว เสียงดังสนั่นชวนตกใจ ดูคล้ายสามารถกวาดกลืนทุ่งใหญ่อันกว้างใหญ่แห่งนี้ไปได้

ทหารม้าขบวนใหญ่พลันแปรแถวในทันใด กองทหารแยกตัวเป็นสองทาง ตั้งขบวนเป็นเหมือนหัวลูกศร

กองกำลังนับร้อยพุ่งออกมาจากขบวนอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางรัตติกาลทำให้ดูคล้ายมองเห็นเพียงม้าห้อทะยาน แต่มองไม่เห็นคน คนนับร้อยลู่ตัวแนบไปกับหลังม้า หนำซ้ำยังสามารถจุดคบเพลิงขึ้นอย่างว่องไวในขณะที่ไล่ตามมาอย่างรวดเร็วได้อีก เสียงน้าวสายธนูแว่วดังขึ้น ธนูเพลิงห่าหนึ่งถูกยิงออกมา

ถึงแม้จะไม่ได้ยิงใส่ร่างทั้งสอง แต่กลับบีบคั้นให้ทั้งสองจำเป็นต้องบังคับม้าเปลี่ยนทิศทางอย่างเร่งด่วน โดยมีศรเพลิงไล่ตามกดดันไปตลอดทาง

ไม่นานนัก หยวนกังตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตามสังหารพวกเขา แต่กำลังต้อนพวกเขาไปสู่ทิศทางหนึ่ง

กว่าจะรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว เบื้องหน้าที่อยู่ภายใต้เงามืดของรัตติกาลมองเห็นผีเสื้อจันทราหลายตัวบินไปมา และใต้ผีเสื้อจันทราก็มีเงาดำทอดตัวเป็นแนวยาวคล้ายกำแพงแถบหนึ่ง

ถึงหยวนกังและซูจ้าวจะไม่อยากมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้นก็ทำได้ยากแล้ว ถูกโจมตีต้อนให้มุ่งหน้าไป

ทันใดนั้นกำแพงดำมืดแถบนั้นพลันมีคบเพลิงจำนวนมากสว่างจ้าขึ้นมา ทหารม้าเนืองแน่นขัดขวางอยู่เบื้องหน้า

ในหมู่ทหารม้าที่สกัดทางอยู่ก็มีทหารจำนวนมากที่ถือธนูตั้งท่ายิงไว้แล้วเช่นกัน ง้างสายธนูเล็งมาทางด้านนี้ พร้อมจะกระหน่ำยิงเข้ามาทุกเมื่อ

กองทหารที่ตามไล่ล่าค่อยๆ ผ่อนความเร็วลง จนในที่สุดก็หยุดนิ่ง

หยวนกังและซูจ้าวถูกกดดันด้วยรูปการณ์ ทำให้จังหวะการหลบหนีถูกควบคุมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

กระทั่งทั้งสองหยุดนิ่งลงเพราะถูกสกัดขวาง พอเหลียวมองไปรอบๆ ก็พบว่าตนถูกกองทัพใหญ่ปิดล้อมไว้แล้ว ทั่วทุกทิศมีทหารถือคบเพลิงสกัดอยู่

ผู้นำทัพโบกมือเล็กน้อย สายธนูที่ง้างอยู่ค่อยๆ ผ่อนลง ลูกศรที่เล็งอยู่ก็คว่ำลงด้านล่าง

ส่วนสองฝั่งซ้ายขวาของผู้นำทัพมีฝ่าซือติดตามอยู่หลายคน มองจากเครื่องแต่งกายแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรจากสามสำนักใหญ่

หยวนกังยกดาบง้าวขึ้นมา ซูจ้าวชักกระบี่ ทั้งสองเฝ้าตั้งท่าระวังรอบทิศทาง

ทว่ากองทหารที่ปิดล้อมพวกเขาอยู่ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาโจมตี และไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยพวกเขาไปเช่นกัน ล้วนเงียบงันกันหมด ราวกับต้องการปิดล้อมพวกเขาไว้เท่านั้น แล้วก็คล้ายว่ากำลังรออะไรอยู่

ทั้งสองคนที่ถูกปิดล้อมไว้ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามผลีผลามเช่นกัน เพราะไม่รู้ว่าฝ่าซือที่ติดตามมามีสภาวะสูงส่งเพียงใด หากว่ามีกองทหารม้าเพียงอย่างเดียว พวกเขาก็ยังพอกล้าฝ่าไปอยู่

จากนั้นไม่นาน ไกลออกไปก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับแว่วมารางๆ อีกครั้ง ขบวนม้านับร้อยควบฝ่ารัตติกาลเข้ามา

…………………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า