ตอน ตอนที่ 398 เจ้าบอดมาแล้ว จาก ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 398 เจ้าบอดมาแล้ว คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ตอนที่ 398 เจ้าบอดมาแล้ว
เสียงฝีเท้าผ่อนลง กองทหารที่ปิดล้อมอยู่แหวกเปิดออกเป็นทาง กองทหารม้านับร้อยวิ่งเหยาะๆ ฝ่าเข้าในวงล้อม
ผู้ที่มาย่อมดึงดูดสายตาของหยวนกังและซูจ้าวให้มองออกไป หลังจากมองเห็นชัดเจนว่าผู้มาเป็นใคร หยวนกังก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาได้
ผู้นำขบวนปรากฏตัวขึ้นภายใต้แสงสว่างจากผีเสื้อจันทรา ทำให้แยกแยะใบหน้าได้ไม่ยาก เป็นฮูเหยียนเวยผู้มีหนวดเคราปรกหน้า ผ้าคลุมที่ห้อยอยู่ด้านหลังเปื้อนฝุ่นดิน เห็นได้ชัดว่าเร่งเดินทางมา
ฮุเหยียนเวยสบตากับหยวนกัง เขาควบม้าเหยาะๆ เข้ามาอยู่เบื้องหน้า แม้อยู่ท่ามกลางขบวนทัพที่เป็นทางการเช่นนี้ก็ยังทำตัวสบายๆ เสมือนทัพใหญ่ที่รายล้อมอยู่ไร้ตัวตน
และเนื่องด้วยเหตุนี้ ฮูเหยียนเวยในเวลานี้จึงคล้ายดูแตกต่างไปที่ผ่านมา มีมาดของแม่ทัพใหญ่!
นี่คือสิ่งที่สืบทอดกันมาในตระกูล หากเป็นคุณชายสูงศักดิ์ทั่วไปในเมืองหลวงที่ไม่เคยเห็นการปิดล้อมเต็มกำลังของกองทัพใหญ่เช่นนี้คงจะประดักประเดิดและทำตัวไม่ถูก แต่เขากลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาเคยเห็นภาพเช่นนี้มาแต่เล็ก เห็นท่วงท่าวาจาของบิดายามอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาจนชิน เมื่อเวลาผ่านไปย่อมซึมซับเข้าไปจนฝังแน่นอยู่ในกระดูก
ในบ้านมีตำราสะสมไว้ ต่อให้บุตรธิดาจะไม่เอาอ่าวแค่ไหนก็ต้องเปิดอ่านบ้าง จะมากจะน้อยก็ยังเคยได้กลิ่นหอมของตำรา
ในบ้านมีอาวุธอยู่ ต่อให้บุตรธิดาไม่ได้เรื่องเพียงใดก็ต้องเคยหยิบเคยจับอยู่บ้างเช่นกัน จะมากจะน้อยก็ยังเคยได้สัมผัสกลิ่นอายของการต่อสู้
นี่คือประเพณีที่สืบทอดต่อกันมาในบ้าน
สิ่งที่ตระกูลฮูเหยียนปลูกฝังให้ฮูเหยียนเวยมิได้มีเพียงเท่านี้ คนทั่วไปที่เข้าร่วมกองทัพจะต้องผ่านกระบวนการพัฒนาเพื่อให้ได้รับการยอมรับ แต่เขาคือบุตรชายของตระกูลฮูเหยียน ได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพตั้งแต่ถือกำเนิด ขอเพียงมาถึงก็จะกลายเป็นคนหนึ่งที่ได้รับความสำคัญเช่นกัน ถูกลิขิตให้อยู่เหนือกฎเกณฑ์บางอย่างตั้งแต่เกิด
ฮูเหยียนเวยรั้งบังเหียนหยุดอยู่ตรงหน้าหยวนกัง อาชาของเขาหอบหายใจฟืดฟาดจากการเร่งเดินทางไกล
“ไยถึงจากไปโดยไม่ร่ำลาเลยล่ะ?” ฮูเหยียนเวยเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีรอยยิ้มเฉื่อยชาขี้เล่นเช่นในอดีต เรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วก็สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าก็ยากจะทำให้เขายิ้มออกมาได้เช่นกัน
หยวนกังถาม “ถามเรื่องนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
เสียงฮูเหยียนเวยดังขึ้นกว่าเดิม แฝงไว้ด้วยความรู้สึกโกรธเคือง “ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอันซยงหรือหยวนซยงดีเล่า?”
หยวนกังถาม “สำคัญด้วยหรือ?”
ฮูเหยียนเวยเอ่ยว่า “ตระกูลฮูเหยียนดีต่อเจ้า ข้าเห็นเจ้าเป็นดั่งพี่น้อง แต่เจ้ากลับตอบแทนกันเช่นนี้หรือ? ท่านพ่อก็ให้ความสำคัญกับเจ้าอย่างมากเช่นกัน ขอเพียงเจ้ายอมกลับใจติดตามข้ากลับไป เบื้องหน้าย่อมมีอนาคตสดใสรอคอยเจ้าอยู่”
หยวนกังตอบว่า “กลับไปไม่ได้แล้ว”
ฮูเหยียนเวยเอ่ยถาม “เพราะเหตุใด? ข้าขอรับรองต่อหน้าเหล่าพี่น้องในกองทหารม้าองอาจว่าจะไม่เอาความกับเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา จะทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น ตระกูลฮูเหยียนของพวกเราจะแบกรับไว้ให้ ขอเพียงตามข้ากลับไปก็พอ!”
ซูจ้าวค่อนข้างแปลกใจ นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ เคยได้ยินว่าตระกูลฮูเหยียนชื่นชมหยวนกังเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะให้ความสำคัญมากขนาดนี้
หยวนกังกล่าวว่า “หากข้าไม่ได้มาด้วยมีจุดประสงค์แอบแฝง ข้าก็คงตอบรับความเมตตาของท่านแม่ทัพไว้ได้ แต่ในเมื่อเจ้าเองก็รู้ฐานะของข้าแล้ว น่าจะเข้าใจดีว่านับตั้งแต่ที่ข้ามาเยือนเมืองหลวงแคว้นฉี นั่นก็นับว่าข้าได้เลืองทางเดินไปแล้ว”
ฮูเหยียนเวยเอ่ยถาม “ต่อให้สิ้นใจตายร่างแหลกเหลวก็ตามน่ะหรือ?”
“ขอเพียงจิตใจสัตย์ซื่อไร้ละอายก็พอ!” หยวนกังเอ่ยตอบอย่างเยือกเย็น จากนั้นชี้ไปทางซูจ้าว “ข้าจะรอดไปได้หรือไม่ไม่สำคัญ แต่นางไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ พลอยเดือดร้อนไปด้วยเพราะข้า โปรดปล่อยนางไปด้วย”
ซูจ้าวร้อนใจ “หยวนกัง…”
หยวนกังยกมือพลางเอ่ยตัดบทว่า “ใช้ชีวิตให้ดี แจ้งเต้าเหยี่ยว่าข้าไม่มีความแค้นเคืองต่อตระกูลฮูเหยียน นี่คือเส้นทางที่ข้าเลือกเอง เต้าเหยี่ยต้องเข้าใจแน่”
“เจ้ามันจะไม่รู้จักดีชั่วเกินไปแล้ว!” ฮูเหยียนเวยชี้หน้าหยวนกังพลางสบถด้วยความโกรธ
หยวนกังมองไปที่เขา เฝ้ารอคำตอบจากเขา
สองฝ่ายที่เผชิญหน้ากันตกอยู่ในความเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งฮูเหยียนเวยจึงยกมือขึ้นมาที่เอว ปลดป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งลงมา โยนออกไปด้านหน้า
หยวนกังคว้าไว้แล้วมองเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่ามีเจตนาอย่างไร
ฮูเหยียนเวยอธิบายว่า “ก่อนที่เจ้าจะพ้นจากแคว้นฉี หากพบการสกัดกั้นจากคนของราชสำนักอีก ก็ให้แสดงป้ายคำสั่งนี้เพื่อผ่านไปได้ หากพบปัญหาเดือดร้อนก็สามารถใช้ป้ายคำสั่งนี้ขอความช่วยเหลือจากกองกำลังของราชสำนักได้”
กล่าวจบก็บังคับม้าหักเลี้ยว สองเท้ากระทุ้งสีข้างม้าเล็กน้อย ตะโกนเสียงดัง “ไป!”
เขาควบม้านำหน้า พุ่งฝ่าวงล้อมออกไปก่อน เสื้อคลุมปลิวสะบัด
เหล่าผู้คุ้มกันที่ติดตามมาก็จากไปด้วย
เมื่อได้รับคำสั่ง กองทัพใหญ่ที่ปิดล้อมอยู่ต่างบังคับม้าหักเลี้ยว ติดตามฮูเหยียนเวยจากไป
เสียงฝีเท้าม้ากึกก้องแว่วห่างไกลออกไป กองทหารที่เข้าปิดล้อมไปมาดั่งวายุ พริบตาเดียวก็แยกย้ายไปจนหมดสิ้น
ซูจ้าวตะลึงงัน มองรอบข้างที่ว่างเปล่า ค่อนข้างมึนงง กองทัพใหญ่ลำบากลำบนเสียเวลาไล่ตามมา สุดท้ายก็เพียงเท่านี้อย่างนั้นหรือ?
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรอย่างนางแล้ว เรื่องบางเรื่องนั้นไม่อาจเข้าใจได้
หยวนกังเฝ้ามองขบวนม้าอันยิ่งใหญ่จากไป จนกระทั่งไม่เห็นร่องรอยและไร้ซึ่งเสียงฝีเท้าม้าอย่างสิ้นเชิงแล้ว ริมฝีปากเขาถึงได้เม้มแน่นขึ้นมาเล็กน้อย บีบป้ายคำสั่งภายในมือไป พลันบังคับม้าหักเลี้ยวแล้วเอ่ยว่า “ไป!”
ชายหญิงทั้งสองควบม้าต่อไปภายในแสงจันทรา…
อันที่จริงต่อให้เขาไม่ปลุกระดมยุแยง ขุนนางใหญ่ในราชสำนักเหล่านั้นก็ต้องการทำให้เป็นเรื่องอยู่แล้ว เมื่อเรื่องราวเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยและผลประโยชน์ของตน คนเหล่านั้นจะมีใครนิ่งเฉยดูดายได้เล่า?
ทว่าตอนนี้ มีคนส่งคำเตือนให้เขาแล้ว หากว่าเขาไม่จัดการทำให้เหล่าขุนนางราชสำนักเหล่านั้นสงบเสงี่ยมลง อีกฝ่ายก็จะคิดบัญชีทั้งหมดกับเขา เมื่อถึงเวลานั้นย่อมไม่เกิดเหตุอะไรขึ้นกับฮูเหยียนอู๋เฮิ่น แต่จะเกิดขึ้นกับเขาแทน อีกฝ่ายสามารถจัดการเขาอย่างมีเหตุผลชอบธรรมได้ทุกเมื่อ
ตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจขึ้นมาว่าอำนาจควบคุมจวนประจิมที่เขาทุ่มเทกำลังแย่งชิงมานั้นมิได้ขึ้นอยู่กับเขาเลย หากแต่อยู่ในมือของคนอื่น ซีย่วนต้าอ๋องอย่างเขาเป็นเพียงตัวหมากในมือของใครบางคนเท่านั้น เมื่อถึงเวลาที่ต้องการ อีกฝ่ายสั่งให้เขาไปทางซ้าย เขาย่อมไม่กล้าเลี้ยวไปทางขวา
……
ท่ามกลางแม่น้ำเชี่ยวกรากสายหนึ่ง ซูจ้าวโผล่ขึ้นมาก่อน จากนั้นหยวนกังก็โผล่ตามขึ้นมา
สุดท้ายแล้วปัญหาที่ควรจะเกิดก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ดี คนของหอจันทร์กระจ่างไล่ตามมา โชคดีที่หยวนกังไหวตัวทันสังเกตเห็นความผิดปกติขณะที่จับจ่ายซื้อของที่เมืองเมืองหนึ่ง จึงสลัดคนติดตามทิ้งได้ทันท่วงที
ทว่าหลังจากเปิดเผยร่องรอยไปในครั้งนั้นก็ดูเหมือนทั้งสองจะสลัดการสะกดรอยตามไม่พ้นอีกต่อไป ภายหลังซูจ้าวจึงลากเขากระโดดลงน้ำ หลบหนีมาตลอดทางจนถึงที่นี่
ซูจ้าวที่แช่อยู่ในน้ำซบหน้าลงกับริมฝั่งแล้วร้องไห้ออกมา
หยวนกังเอ่ยถาม “เจ้าเป็นอะไรไป?”
ซูจ้าวส่ายหน้า “พวกเราหนีไม่รอดแล้ว”
หยวนกังมองไปตามกระแสน้ำที่ไหลต่อไป “หากใช้เส้นทางน้ำน่าจะไปต่อได้ ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะได้ผลมิใช่หรือ”
ซูจ้าวส่ายหน้ากล่าวไปว่า “ไม่มีประโยชน์ เจ้าบอดน่าจะมาแล้ว หากเจ้าบอดจับทิศทางของพวกเราไม่ได้ พวกเขาน่าย้อนกลับมาแล้วส่งคนไปดักสกัดด้านหน้าไว้ หากว่ามุ่งหน้าต่อไปย่อมต้องปะทะกับพวกเขากลางทางแน่”
หยวนกังถาม “เจ้าบอดอันใด?”
ซูจ้าวตอบว่า “ชื่อจริงคืออะไรหรือมีความเป็นมาอย่างไร ข้าเองก็ไม่ทราบ รู้เพียงว่าประสาทรับกลิ่นเฉียบไวแต่กำเนิด เพียงตามกลิ่นไปก็สามารถค้นหาเป้าหมายทุกอย่างพบ เจ้าบอดคุ้นเคยกับกลิ่นของข้า ตลอดเส้นทางนี้เขาน่าจะรับรู้ถึงกลิ่นของเจ้าที่อยู่ด้วยกันกับข้าแล้ว พวกเราหนีไม่รอดแล้ว เป็นข้าที่ทำเจ้าเดือดร้อน”
นางไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้าทำข้อตกลงกับหอจันทร์กระจ่างแล้ว มิเช่นนั้นเกรงว่าคงบอกให้หยวนกังจากไปเสีย
หยวนกังถาม “เจ้าบอกว่าเต้าเหยี่ยก็หนีรอดจากการตามล่าของหอจันทร์กระจ่างมิใช่หรือ? เหตุใดเต้าเหยี่ยถึงทำได้ล่ะ? หรือว่าในการไล่ล่าครั้งใหญ่เช่นนั้นมิได้ใช้งานเจ้าบอดที่เจ้าพูดถึง?”
ตอนที่เซ่าผิงปอสังหารพวกอนุหร่วนแม่ลูก ช่วงนั้นเขากำลังทุ่มเทจิตใจฝึกฝนบรรดาลูกน้องอยู่ จึงพลาดข่าวบางอย่างไป มิเช่นนั้นต้องทราบเหตุผลแน่นอน
ซูจ้าวส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “ข้าก็ไม่รู้ ตามหลักแล้วจะต้องเรียกใช้แน่ หรืออาจเป็นไปได้ว่าเต้าเหยี่ยคนนั้นของเจ้ามากเล่ห์เกินไป ไม่หลงเหลือสิ่งใดที่เจ้าบอดคนนั้นจะใช้ตามกลิ่นได้ ได้ยินว่าหลังจากเขาหยุดพักที่พื้นที่เลี้ยงสัตว์แห่งหนึ่งก็ได้วางเพลิงเผาสถานที่ที่ตนเคยพักจนวอดวาย ด้วยความระมัดระวังรอบคอบระดับนี้ เกรงว่าเจ้าบอดเองก็คงไม่มีช่องให้ลงมือ”
…………………………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า