ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 399

สรุปบท ตอนที่ 399 ไล่ล่า: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

สรุปตอน ตอนที่ 399 ไล่ล่า – จากเรื่อง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet

ตอน ตอนที่ 399 ไล่ล่า ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 399 ไล่ล่า

หยวนกังเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางถึงร่ำไห้อย่างสิ้นหวัง การจะปกปิดร่องรอยจากคนที่สามารถตามรอยโดยการดมกลิ่นที่คนทั่วไปไม่สามารถรับรู้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นี่คือความสามารถในการแยกแยะระบุกลิ่นอายประเภทหนึ่งได้อย่างแม่นยำ แม้จะอยู่ท่ามกลางกลิ่นอายที่ซับซ้อนปะปนกันไป ขอเพียงบนตัวยังแผ่กลิ่นอายชนิดนั้นออกมา มันก็ยากจะหนีรอดประสาทรับกลิ่นของอีกฝ่ายได้

เมื่อมนุษย์มีความสามารถประเภทนี้ขึ้นมา มันจะน่ากลัวยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก สุนัขไม่มีความสามารถในการวิเคราะห์แยกแยะในแบบที่มนุษย์มี หากเป็นสุนัขเมื่อกลิ่นอายขาดหายไปกลางทางก็จะตกอยู่ในความสับสนได้ง่าย

ทั้งสองคนไม่มีทางซ่อนตัวใต้น้ำเพื่อกลบกลิ่นไปได้ตลอด สุดท้ายก็ต้องหายใจ และทันทีที่หายใจกลิ่นอายก็จะแผ่ออกไป

ใกล้จะหลบหนีพ้นจากเขตแคว้นฉีอยู่แล้วเชียว ไม่คิดเลยว่าจะประสบเรื่องเช่นนี้เข้า

ตอนนี้เห็นได้ชัดเจนว่าต่อให้หนีพ้นจากเขตแคว้นฉีแล้ว สำหรับหอจันทร์กระจ่างแล้วพรมแดนระหว่างแคว้นไม่มีความหมายใดๆ พวกเขายังคงตามไล่ล่าสังหารได้อยู่ดี ในจุดนี้หอจันทร์กระจ่างสามารถทำในเรื่องที่ทางกองทัพไม่สามารถทำได้ ทางกองทัพไม่มีทางกล้ายกทัพใหญ่ข้ามพรมแดนไปยังแคว้นอื่นเพื่อไล่ล่า

เขาเหลียวมองไปรอบๆ โล่งกว้างว่างเปล่า ไม่มีคนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดที่จะให้ความช่วยเหลือได้เลย หาไม่แล้วเขาก็สามารถถอดเสื้อผ้าออกแล้วฝากให้สิ่งมีชีวิตอื่นพาจากไป อย่างน้อยก็คงถ่วงเวลาไปได้สักพัก

แต่เขายังคงสุขุมเยือกเย็น สายตาเพ่งมองไปยังเขาสูงที่อยู่ไกลออกไปอย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงคร่ำเคร่งว่า “ซูจ้าว หากยังไม่ถึงที่สุดก็อย่าเพิ่งยอมแพ้ง่ายๆ ลองไปสำรวจสภาพแวดล้อมรอบข้างดูก่อน เผื่อจะคิดหาทางออกได้ ดูว่าพอจะมีชัยภูมิพิเศษอันใดที่สามารถช่วยแก้ปัญหาให้พวกเราได้หรือไม่ หากหาวัสดุบางอย่างตามที่ข้าต้องการได้จะดีที่สุด” เขากล่าวพลางชี้ไปยังเขาสูงที่อยู่ไกลออกไป

จากนั้นเขาก็ปีนขึ้นมาจากน้ำ ชักดาบง้าวที่สะพายไว้ด้านหลังออกมาปักลงบนพื้น โยนห่อสัมภาระที่สะพายไว้ลงไปด้วย ก่อนจะยื่นมือไปดึงซูจ้าวขึ้นฝั่ง

จากนั้นเขาก็ชูแขนที่เปียกชุ่มขึ้นมาทดสอบทิศทางลมเล็กน้อย จากนั้นก้มตัวลงถอนต้นหญ้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วถักทอเป็นตะกร้อขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งอย่างรวดเร็ว

“ถอดเสื้อผ้าออก เร็วเข้า!” หยวนกังเอ่ยเร่ง ตัวเขาเองก็ถอดเสื้อตัวนอกออกอย่างรวดเร็วเช่นกัน ถอดจนร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า

“….” ซูจ้าวมึนงง พอจะรู้ว่าเขาไม่ได้หมายความอะไรแบบนั้น แต่พอเหลียวมองรอบข้างแล้วจะให้สตรีอย่างนางถอดเสื้อผ้าออกเช่นนี้ก็ออกจะเกินไปหน่อย

หยวนกังไม่พูดพร่ำทำเพลง ดึงนางเข้ามาแล้วลงมือทันที ช่วยคลายสายรัดเอวของนางอย่างว่องไว จากนั้นช่วยถอดเสื้อผ้าจนนางเปลือยเปล่า

ถึงแม้ทั้งสองจะไม่ได้เพิ่งเคยเปลือยกายต่อหน้ากันเป็นครั้งแรก แต่นางยังคงยกสองมือปิดทรวงอกไว้อย่างกระดากอาย มองไปรอบๆ ด้วยความประหม่า ทำให้ความรู้สึกสิ้นหวังคลายลงชั่วขณะ

หยวนกังหาได้มีอารมณ์มาชื่นชมร่างอันงดงามไม่ เขาเอ่ยไปว่า “เอาเสื้อผ้าในห่อสัมภาระมาใส่”

ซูจ้าวย่อตัวลง เปิดห่อสัมภาระทันที หยิบเสื้อผ้าที่เปียกชื้นเช่นกันมาสวมลงบนร่าง

ส่วนหยวนกังก็นำเสื้อผ้าที่ทั้งสองถอดออกยัดใส่เข้าไปในตระกร้อหญ้าสาน ใช้หญ้ารัดไว้จนแน่นหนาแล้วปล่อยตะกร้อหญ้าสานลงน้ำไป ปล่อยให้ไหลไปตามกระแสน้ำพร้อมกับเสื้อผ้า

ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ แต่การกระจายกลิ่นของทั้งสองออกไปอย่างน้อยก็คงพอจะรบกวนผู้ที่ค้นหาจากการตามกลิ่นได้ไม่มากก็น้อย ซื้อเวลาได้สักเล็กน้อยก็ยังดี

ซูจ้าวเข้าใจแผนการของเขาแล้ว เอ่ยถามไปว่า “เจ้าทิ้งร่องรอยไว้บนพื้นเด่นชัดเช่นนี้จะไม่เป็นการเปิดเผยร่องรอยหรอกหรือ?”

หยวนกังตอบว่า “กลับจริงเป็นเท็จกลับเท็จเป็นจริง ทำศึกมิหน่ายเล่ห์! หากว่าหนีไม่รอด อย่างนั้นก็ไม่สนใจเลยว่าร่องรอยจะเปิดเผยไปหรือไม่ ลองดูก่อนก็ไม่เสียหายอะไร”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจ้าวสวมอาภรณ์เสร็จเรียบร้อย หยวนกังหยิบสัมภาระขึ้นมาสะพายแล้วชักดาบง้าวขึ้นมา “ไป!” กล่าวจบก็ออกวิ่งนำไปก่อน วิ่งรวดเร็วดั่งติดปีก แม้แต่อาภรณ์ก็คร้านจะสวมใส่แล้ว วิ่งโทงๆ ไปทั้งที่เปลือยท่อนบนเช่นนี้

ซูจ้าวค่อนข้างตกใจกับความเร็วในการวิ่งของเขา นางหยิบห่อสัมภาระขึ้นมาสะพายแล้วหยิบกระบี่เร่งไล่ตามไป

หลังจากไล่ตามมาทันก็คว้าแขนของหยวนกังไว้แล้วพาเหินทะยานไปด้วยกัน แต่ความเร็วกลับช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

ลากชายร่างใหญ่อย่างหยวนกังไปด้วยเช่นนี้ ไม่ช้าลงสิถึงจะแปลก ทั้งสองเหินไปด้วยกันเช่นนี้ยังเร็วสู้หยวนกังวิ่งด้วยตัวเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“แบบนี้ไม่ได้ มันส่งผลต่อความเร็ว ปล่อยข้าลง” หยวนกังกล่าวออกไป

ซูจ้าวถาม “แม้จะดูเหมือนใกล้ แต่หนทางอีกยาวไกล ด้วยพละกำลังของเจ้าจะวิ่งไปได้นานแค่ไหน?”

“ลองดูเดี๋ยวก็รู้เอง!” หยวนกังกล่าวเท่านี้ ไม่ได้อธิบายอะไรอีก พอร่อนลงพื้นก็ปัดแขนให้พ้นจากการเกาะกุมของนางแล้วออกวิ่งด้วยสองขาอีกครั้ง ความเร็วกลับเร็วยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ พุ่งตัดผ่านพงหญ้าจนเกิดเสียงดังฟิ้วราวกับสายลมพัดผ่าน

กล้ามเนื้อทั่วร่างกระตุกไปตามท่วงท่าการวิ่งของเขา เคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะจะโคน มีความรู้สึกงดงามของเพศผู้

แรกเริ่มซูจ้าวหลงนึกว่าหยวนกังฝืนกำลังตัวเอง แต่หลังจากติดตามไปด้วยกันระยะหนึ่ง นางก็ค่อยๆ ตกใจขึ้นมา สังเกตเห็นว่าหยวนกังคล้ายว่ามีเรี่ยวแรงให้ใช้งานได้ไม่สิ้นสุด รักษาระดับความเร็วที่เหมือนกับอาชาดโผนทะยานอย่างบ้าคลั่งไว้ได้ ไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนช้าลงเลยแม้แต่น้อย

มีเพียงสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือการหายใจของหยวนกัง มีหมอกแดงเบาบางค่อยๆ ไหลวนเวียนระหว่างปากและจมูก

ซูจ้าวจึงเปิดใช้เนตรทิพย์มองดูเล็กน้อย มองเห็นรางๆ ว่ามีไอวิญญาณฟ้าดินเริ่มแทรกซึมเข้าสู่ร่างของหยวนกัน เรื่องนี้ทำให้นางค่อนข้างตกตะลึง

หากจะบอกว่าหยวนกังเป็นผู้บำเพ็ญเพียร แต่นางก็รู้ดีว่าหยวนกังไม่มีพลังจากการบำเพ็ญเพียรเลย มิเช่นนั้นคงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการวิ่งด้วยสองขาของตน

….

วิหคยักษ์ตัวหนึ่งโฉบต่ำเลียบไปตามกระแสน้ำที่คดเคี้ยวอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้า มีคนสวมผ้าคลุมหมวกดำสามคนยืนอยู่บนหลังวิหคยักษ์

คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดมีผมหน้าม้าที่ค่อนข้างยาวแพลมออกมาจากใต้หมวก ผมสีดอกเลาบดบังดวงตาไว้ เขายื่นจมูกออกมาสูดดมกลิ่นจากในอากาศเป็นครั้งคราว

บางครั้งสายลมก็พัดผมหน้าม้าให้เปิดออก เผยให้เห็นเบ้าตากลวงเปล่าไร้ลูกตาที่อยู่ภายใต้ผมหน้าม้า ค่อนข้างน่าหวาดกลัว

ส่วนอีกสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็สวมหน้ากากสีดำเอาไว้แม้จะอยู่ในช่วงกลางวันแสกๆ กวาดสายตามองสำรวจไปรอบๆ อย่างละเอียดรอบคอบ

ทั้งสองคนนี้ มีคนหนึ่งไว้หนวดเครา ส่วนอีกคนไม่มีหนวดเครา

หยวนกังชะโงกหน้าจากด้านหลังโขดหินก้อนหนึ่ง มองลงไปทางตีนเขา มองเห็นเงาดำเลือนรางจุดหนึ่งอยู่ไกลๆ กำลังมุ่งหน้ามาทางด้านนี้อย่างรวดเร็ว หากมิใช่เพราะอีกฝ่ายสวมชุดสีดำจนเห็นได้ชัดเจน พวกเขาก็คงสังเกตเห็นไม่ได้ง่ายๆ เช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “ดูเหมือนจะตามร่องรอยของพวกเรามา ใช่เจ้าบอดหรือไม่?”

ซูจ้าวตอบว่า “เจ้าบอดไม่สามารถเดินทางเพียงลำพังได้ แต่ขอเพียงเป็นคนของหอจันทร์กระจ่าง การที่สามารถตามมาถึงที่นี่ได้ ก็แปลว่าเจ้าบอดก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เช่นกัน” สุ้มเสียงของนางเปี่ยมด้วยความร้อนรน

หยวนกังหันกลับไปมองทะเลทรายด้านหลังอีกครั้ง “จะมัวรอต่อไปไม่ได้แล้ว หนีไปได้ไกลเท่าไรก็เท่านั้นแล้วกัน มัวแต่นั่งรอคงไม่มีโอกาสให้หนี ระหว่างทางค่อยมองหาโอกาสอีกทีแล้วกัน หากว่าไม่ได้จริงๆ ล่ะก็ ก็ต้องลองดูว่าหากฝังตัวหลบซ่อนอยู่ในทรายจะได้ผลหรือไม่”

ทั้งสองเองก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน การปรากฏตัวของเจ้าบอดทำให้โอกาสหนีรอดของพวกเขาลดน้อยลงไปเป็นอย่างมาก ทำได้เพียงไปตายเอาดาบหน้า

ทั้งสองหารือกันเล็กน้อย ไม่ได้รีบพุ่งลงจากภูเขาเข้าสู่ทะเลทรายในทันที ภูมิประเทศของที่นี่หากมองจากมุมสูงลงไปจะมองเห็นความเคลื่อนไหวในทะเลทรายได้อย่างง่ายดาย

ซูจ้าวจับแขนหยวนกัง เหินทะยานไปทางด้านข้างของภูเขา

การลงเขาต่างจากการเดินทางบนพื้นราบ ความเร็วในการวิ่งของหยวนกังสู้การที่ซูจ้าวพาเขาร่อนโฉบลงเนินไปไม่ได้เลย

พอมาถึงตีนเขาก็ยังไม่ได้เข้าสู่ทะเลทราย หากแต่วิ่งเลียบไปตามตีนเขา อ้อมวนจนไปโผล่อีกด้านหนึ่งของภูเขาที่ยื่นออกไปในทะเลทราย ค้นหาสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งสามารถบดบังสายตาที่มองลงมาจากบนยอดเขาได้ จากนั้นค่อยเข้าสู่ทะเลทรายอันเวิ้งว้างอย่างเป็นทางการ

ครั้งนี้หยวนกังก็ไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือจากซูจ้าวเช่นกัน ปล่อยให้ซูจ้าวพาเขาเหินทะยานไป ทุกครั้งยามที่ซูจ้าวร่อนลงพื้นแล้วดีดตัวขึ้นอีกครั้ง นางจะใช้พลังกลบรอยเท้าที่ทิ้งไว้ในพื้นทราย

……

คนไว้หนวดเคราในชุดผ้าคลุมสีดำเหินทะยานขึ้นสู่ยอดเขาไปเช่นกัน กวาดสายตาเย็นชามองสำรวจไปทั่วทะเลทรายผืนนี้ ทว่าไม่พบเห็นเงาร่างคนเลย

เขาไล่ตามร่องรอยไป จากนั้นก็ย่อตัวกระโจนสู่อากาศแล้วร่อนลงสู่ทะเลทรายด้านหน้า ก่อนที่เท้าจะแตะถึงพื้นก็สำรวจดูจากกลางอากาศอย่างละเอียดว่ามีรอยเท้าใดๆ อยู่บนทะเลทรายหรือไม่

หลังเท้าแตะลงพื้น เขาก็ทะยานมุ่งไปทางซ้ายครู่หนึ่ง แล้วทะยานไปทางขวาครู่หนึ่ง วนเวียนเป็นวงกลมขนาดใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่พบร่องรอยใดๆ

เขาย้อนกลับมาบนยอดเขาอย่างรวดเร็ว ทอดมองออกไปจากมุมสูงอีกครั้ง ไม่นานนักสายตาก็เพ่งมองไปยังแนวเขาเส้นหนึ่งที่บดบังสายตาได้ เขาทะยานขึ้นสู่ท้องนภาราวกับนกอินทรีเหิน พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

คนไว้หนวดเคราร่อนลงบนปลายด้านหน้าของแนวเขาที่ยื่นเข้าไปในทะเลทราย ทอดสายตามองออกไกลอยู่สักพัก จากนั้นย่อตัวกระโจนออกไปอีกครั้ง ทะยานเข้าไปในทะเลทราย

เขากวาดมองด้วยสายตาเย็นชาอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นดวงตาพลันทอประกายวาบ เหินสู่อากาศในทันใด ไล่ตามไปในทิศทางที่หยวนกังและซูจ้าวหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้ซูจ้าวจะกลบรอยเท้าในพื้นทรายของตนจนเรียบแล้ว แต่การจะทำให้ราบเรียบกลมกลืนเป็นธรรมชาติกลับยากนัก สุดท้ายยังคงมีร่องรอยหลงเหลืออยู่บ้าง ขอเพียงตั้งใจมองให้ดี ก็ย่อมต้องสังเกตเห็นร่องรอยเหล่านั้น

………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า