ตอนที่ 399 ไล่ล่า
หยวนกังเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางถึงร่ำไห้อย่างสิ้นหวัง การจะปกปิดร่องรอยจากคนที่สามารถตามรอยโดยการดมกลิ่นที่คนทั่วไปไม่สามารถรับรู้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นี่คือความสามารถในการแยกแยะระบุกลิ่นอายประเภทหนึ่งได้อย่างแม่นยำ แม้จะอยู่ท่ามกลางกลิ่นอายที่ซับซ้อนปะปนกันไป ขอเพียงบนตัวยังแผ่กลิ่นอายชนิดนั้นออกมา มันก็ยากจะหนีรอดประสาทรับกลิ่นของอีกฝ่ายได้
เมื่อมนุษย์มีความสามารถประเภทนี้ขึ้นมา มันจะน่ากลัวยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก สุนัขไม่มีความสามารถในการวิเคราะห์แยกแยะในแบบที่มนุษย์มี หากเป็นสุนัขเมื่อกลิ่นอายขาดหายไปกลางทางก็จะตกอยู่ในความสับสนได้ง่าย
ทั้งสองคนไม่มีทางซ่อนตัวใต้น้ำเพื่อกลบกลิ่นไปได้ตลอด สุดท้ายก็ต้องหายใจ และทันทีที่หายใจกลิ่นอายก็จะแผ่ออกไป
ใกล้จะหลบหนีพ้นจากเขตแคว้นฉีอยู่แล้วเชียว ไม่คิดเลยว่าจะประสบเรื่องเช่นนี้เข้า
ตอนนี้เห็นได้ชัดเจนว่าต่อให้หนีพ้นจากเขตแคว้นฉีแล้ว สำหรับหอจันทร์กระจ่างแล้วพรมแดนระหว่างแคว้นไม่มีความหมายใดๆ พวกเขายังคงตามไล่ล่าสังหารได้อยู่ดี ในจุดนี้หอจันทร์กระจ่างสามารถทำในเรื่องที่ทางกองทัพไม่สามารถทำได้ ทางกองทัพไม่มีทางกล้ายกทัพใหญ่ข้ามพรมแดนไปยังแคว้นอื่นเพื่อไล่ล่า
เขาเหลียวมองไปรอบๆ โล่งกว้างว่างเปล่า ไม่มีคนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดที่จะให้ความช่วยเหลือได้เลย หาไม่แล้วเขาก็สามารถถอดเสื้อผ้าออกแล้วฝากให้สิ่งมีชีวิตอื่นพาจากไป อย่างน้อยก็คงถ่วงเวลาไปได้สักพัก
แต่เขายังคงสุขุมเยือกเย็น สายตาเพ่งมองไปยังเขาสูงที่อยู่ไกลออกไปอย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงคร่ำเคร่งว่า “ซูจ้าว หากยังไม่ถึงที่สุดก็อย่าเพิ่งยอมแพ้ง่ายๆ ลองไปสำรวจสภาพแวดล้อมรอบข้างดูก่อน เผื่อจะคิดหาทางออกได้ ดูว่าพอจะมีชัยภูมิพิเศษอันใดที่สามารถช่วยแก้ปัญหาให้พวกเราได้หรือไม่ หากหาวัสดุบางอย่างตามที่ข้าต้องการได้จะดีที่สุด” เขากล่าวพลางชี้ไปยังเขาสูงที่อยู่ไกลออกไป
จากนั้นเขาก็ปีนขึ้นมาจากน้ำ ชักดาบง้าวที่สะพายไว้ด้านหลังออกมาปักลงบนพื้น โยนห่อสัมภาระที่สะพายไว้ลงไปด้วย ก่อนจะยื่นมือไปดึงซูจ้าวขึ้นฝั่ง
จากนั้นเขาก็ชูแขนที่เปียกชุ่มขึ้นมาทดสอบทิศทางลมเล็กน้อย จากนั้นก้มตัวลงถอนต้นหญ้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วถักทอเป็นตะกร้อขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“ถอดเสื้อผ้าออก เร็วเข้า!” หยวนกังเอ่ยเร่ง ตัวเขาเองก็ถอดเสื้อตัวนอกออกอย่างรวดเร็วเช่นกัน ถอดจนร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า
“….” ซูจ้าวมึนงง พอจะรู้ว่าเขาไม่ได้หมายความอะไรแบบนั้น แต่พอเหลียวมองรอบข้างแล้วจะให้สตรีอย่างนางถอดเสื้อผ้าออกเช่นนี้ก็ออกจะเกินไปหน่อย
หยวนกังไม่พูดพร่ำทำเพลง ดึงนางเข้ามาแล้วลงมือทันที ช่วยคลายสายรัดเอวของนางอย่างว่องไว จากนั้นช่วยถอดเสื้อผ้าจนนางเปลือยเปล่า
ถึงแม้ทั้งสองจะไม่ได้เพิ่งเคยเปลือยกายต่อหน้ากันเป็นครั้งแรก แต่นางยังคงยกสองมือปิดทรวงอกไว้อย่างกระดากอาย มองไปรอบๆ ด้วยความประหม่า ทำให้ความรู้สึกสิ้นหวังคลายลงชั่วขณะ
หยวนกังหาได้มีอารมณ์มาชื่นชมร่างอันงดงามไม่ เขาเอ่ยไปว่า “เอาเสื้อผ้าในห่อสัมภาระมาใส่”
ซูจ้าวย่อตัวลง เปิดห่อสัมภาระทันที หยิบเสื้อผ้าที่เปียกชื้นเช่นกันมาสวมลงบนร่าง
ส่วนหยวนกังก็นำเสื้อผ้าที่ทั้งสองถอดออกยัดใส่เข้าไปในตระกร้อหญ้าสาน ใช้หญ้ารัดไว้จนแน่นหนาแล้วปล่อยตะกร้อหญ้าสานลงน้ำไป ปล่อยให้ไหลไปตามกระแสน้ำพร้อมกับเสื้อผ้า
ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ แต่การกระจายกลิ่นของทั้งสองออกไปอย่างน้อยก็คงพอจะรบกวนผู้ที่ค้นหาจากการตามกลิ่นได้ไม่มากก็น้อย ซื้อเวลาได้สักเล็กน้อยก็ยังดี
ซูจ้าวเข้าใจแผนการของเขาแล้ว เอ่ยถามไปว่า “เจ้าทิ้งร่องรอยไว้บนพื้นเด่นชัดเช่นนี้จะไม่เป็นการเปิดเผยร่องรอยหรอกหรือ?”
หยวนกังตอบว่า “กลับจริงเป็นเท็จกลับเท็จเป็นจริง ทำศึกมิหน่ายเล่ห์! หากว่าหนีไม่รอด อย่างนั้นก็ไม่สนใจเลยว่าร่องรอยจะเปิดเผยไปหรือไม่ ลองดูก่อนก็ไม่เสียหายอะไร”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจ้าวสวมอาภรณ์เสร็จเรียบร้อย หยวนกังหยิบสัมภาระขึ้นมาสะพายแล้วชักดาบง้าวขึ้นมา “ไป!” กล่าวจบก็ออกวิ่งนำไปก่อน วิ่งรวดเร็วดั่งติดปีก แม้แต่อาภรณ์ก็คร้านจะสวมใส่แล้ว วิ่งโทงๆ ไปทั้งที่เปลือยท่อนบนเช่นนี้
ซูจ้าวค่อนข้างตกใจกับความเร็วในการวิ่งของเขา นางหยิบห่อสัมภาระขึ้นมาสะพายแล้วหยิบกระบี่เร่งไล่ตามไป
หลังจากไล่ตามมาทันก็คว้าแขนของหยวนกังไว้แล้วพาเหินทะยานไปด้วยกัน แต่ความเร็วกลับช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
ลากชายร่างใหญ่อย่างหยวนกังไปด้วยเช่นนี้ ไม่ช้าลงสิถึงจะแปลก ทั้งสองเหินไปด้วยกันเช่นนี้ยังเร็วสู้หยวนกังวิ่งด้วยตัวเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“แบบนี้ไม่ได้ มันส่งผลต่อความเร็ว ปล่อยข้าลง” หยวนกังกล่าวออกไป
ซูจ้าวถาม “แม้จะดูเหมือนใกล้ แต่หนทางอีกยาวไกล ด้วยพละกำลังของเจ้าจะวิ่งไปได้นานแค่ไหน?”
“ลองดูเดี๋ยวก็รู้เอง!” หยวนกังกล่าวเท่านี้ ไม่ได้อธิบายอะไรอีก พอร่อนลงพื้นก็ปัดแขนให้พ้นจากการเกาะกุมของนางแล้วออกวิ่งด้วยสองขาอีกครั้ง ความเร็วกลับเร็วยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ พุ่งตัดผ่านพงหญ้าจนเกิดเสียงดังฟิ้วราวกับสายลมพัดผ่าน
กล้ามเนื้อทั่วร่างกระตุกไปตามท่วงท่าการวิ่งของเขา เคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะจะโคน มีความรู้สึกงดงามของเพศผู้
แรกเริ่มซูจ้าวหลงนึกว่าหยวนกังฝืนกำลังตัวเอง แต่หลังจากติดตามไปด้วยกันระยะหนึ่ง นางก็ค่อยๆ ตกใจขึ้นมา สังเกตเห็นว่าหยวนกังคล้ายว่ามีเรี่ยวแรงให้ใช้งานได้ไม่สิ้นสุด รักษาระดับความเร็วที่เหมือนกับอาชาดโผนทะยานอย่างบ้าคลั่งไว้ได้ ไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนช้าลงเลยแม้แต่น้อย
มีเพียงสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือการหายใจของหยวนกัง มีหมอกแดงเบาบางค่อยๆ ไหลวนเวียนระหว่างปากและจมูก
ซูจ้าวจึงเปิดใช้เนตรทิพย์มองดูเล็กน้อย มองเห็นรางๆ ว่ามีไอวิญญาณฟ้าดินเริ่มแทรกซึมเข้าสู่ร่างของหยวนกัน เรื่องนี้ทำให้นางค่อนข้างตกตะลึง
หากจะบอกว่าหยวนกังเป็นผู้บำเพ็ญเพียร แต่นางก็รู้ดีว่าหยวนกังไม่มีพลังจากการบำเพ็ญเพียรเลย มิเช่นนั้นคงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการวิ่งด้วยสองขาของตน
….
วิหคยักษ์ตัวหนึ่งโฉบต่ำเลียบไปตามกระแสน้ำที่คดเคี้ยวอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้า มีคนสวมผ้าคลุมหมวกดำสามคนยืนอยู่บนหลังวิหคยักษ์
คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดมีผมหน้าม้าที่ค่อนข้างยาวแพลมออกมาจากใต้หมวก ผมสีดอกเลาบดบังดวงตาไว้ เขายื่นจมูกออกมาสูดดมกลิ่นจากในอากาศเป็นครั้งคราว
บางครั้งสายลมก็พัดผมหน้าม้าให้เปิดออก เผยให้เห็นเบ้าตากลวงเปล่าไร้ลูกตาที่อยู่ภายใต้ผมหน้าม้า ค่อนข้างน่าหวาดกลัว
ส่วนอีกสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็สวมหน้ากากสีดำเอาไว้แม้จะอยู่ในช่วงกลางวันแสกๆ กวาดสายตามองสำรวจไปรอบๆ อย่างละเอียดรอบคอบ
ทั้งสองคนนี้ มีคนหนึ่งไว้หนวดเครา ส่วนอีกคนไม่มีหนวดเครา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า