ตอนที่ 400 ยากจะหลบหนีได้
การพาคนผู้หนึ่งทะยานไปด้วยค่อนข้างเปลืองพลังปราณ ยามที่ร่อนอยู่ในอากาศ จะมีแรงต้านมากเพียงใด เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว
หยวนกังสังเกตเห็นว่าระยะการเหินร่อนขึ้นลงของซูจ้าวเริ่มหดสั้น ไม่ได้ไกลเหมือนตอนแรกแล้ว ขณะที่จะร่อนลงสู่พื้นอีกครั้ง เขาก็ร้องบอกว่า “หยุดก่อน!”
เมื่อทั้งสองลงสู่พื้น ซูจ้าวมองเขาด้วยความเข้าไม่ใจ หยวนกังเอ่ยไปว่า “เจ้าต้องพาข้าหนีมาแบบนี้ สูญเสียพลังไปมากแล้ว พักผ่อนฟื้นฟูกำลังหน่อยเถอะ มิเช่นนั้นหากปะทะกับฝ่ายเข้าจะลำบาก”
ซูจ้าวเอ่ยว่า “ตอนนี้จะพักได้อย่างไร นั่นมิเท่ากับรอให้ฝ่ายไล่ตามมาทันหรือ?”
หยวนกังตอบว่า “ข้าจะแบกเจ้าเอง”
“…..” ซูจ้าวผงะไปเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแบกไม่แบกเลย แต่การที่เจ้าวิ่งบนพื้นทรายจะทำให้ทิ้งร่องรอยไว้ได้ง่าย หอจันทร์กระจ่างจะต้องนำวิหคยักษ์มาใช้ไล่ล่าแน่ รอยเท้าเด่นชัดเช่นนี้ทำให้สังเกตเห็นจากบนฟ้าได้ง่าย ไม่เป็นไร ข้ายังพอไปต่อได้อีกราวหนึ่งชั่วยาม”
แม้จะยิ้มอย่างขมขื่น แต่ในใจกลับหวานชื่น การมีใครสักคนอยู่เคียงข้างนางเช่นนี้ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ ทะเลทรายรกร้างเบื้องหน้าดูราวกับเป็นสวนบุปผาขึ้นมา
หยวนกังเอ่ยว่า “หากไล่ตามมาถึงที่นี่ได้ จะเหลือรอยเท้าทิ้งไว้หรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว รักษากำลังเอาไว้ถึงจะมีโอกาสเผชิญหน้า เชื่อข้าเถอะ”
การที่เอ่ยเช่นนี้ออกมาได้ ก็แปลว่าแม้แต่เขาก็รับรู้ได้เช่นกันว่าความหวังในการหนีรอดมีน้อยนิดนัก ตอนนี้นับว่าไปตามเอาดาบหน้าแล้วจริงๆ หนีไปได้ไกลเท่าไรก็เอาเท่านั้น มองหาเสี้ยวโอกาสที่อาจจะปรากฏขึ้นในท้ายที่สุด
ในเมื่อเอ่ยมาเช่นนี้ก็แปลว่าเตรียมใจที่จะเผชิญหน้าไว้แล้ว ซูจ้าวจึงสงบใจลงเช่นกัน เอ่ยไปว่า “ไม่ต้องแบกหรอก เจ้าวิ่งไป ส่วนข้าจะเหินทะยานไป”
“เจ้าต้องเร่งฟื้นฟูพลัง” หยวนกังไม่ยอมให้นางปฏิเสธ ดึงสัมภาระหมุนไปไว้ที่หน้าอกแล้วดึงตัวนางเข้ามา หันหลังย่อกายเล็กน้อย โอบสองขาของนางแล้วแบกนางขึ้นขี่หลังทันที จากนั้นกางเท้าออกแล้วเริ่มวิ่งฝ่าทะเลทรายไปอย่างบ้าคลั่ง
ซูจ้าวทั้งรู้สึกเขินอายแล้วก็ดีใจเช่นกัน ขณะเดียวกันก็เอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “การวิ่งในทะเลทรายกินแรงมาก เจ้าแบกข้าแล้ววิ่งไปด้วยจะไหวหรือ?”
“ต่อให้แบกเจ้าอีกสองคนก็ยังวิ่งได้!” หยวนกังเอ่ยออกทิ้งท้าย ตั้งใจวิ่งฝ่าทะเลทรายไป วิ่งขึ้นๆ ลงๆ ไปตามเนินทรายสูงชันราวกับวิ่งบนพื้นราบ วิ่งห้อไปดั่งควันสายหนึ่ง ระดับความเร็วในการวิ่งยังคงรวดเร็วนัก
ผ่านไปสักพักหนึ่ง มีหมอกแดงเลือนรางปรากฏวนเวียนผ่านทางปากและจมูกตามจังหวะหายใจของเขาอีกครั้ง
เริ่มแรกซูจ้าวยังคงกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ค่อยๆ สังเกตเห็นว่าคนผู้นี้ไม่รู้จักเลยว่าความเหนื่อยล้าเป็นเช่นไร ราวกับพละกำลังในร่างกายมีให้เผาผลาญได้ไม่รู้หมดรู้สิ้น ลมหายใจยังคงมั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย นางจึงค่อยๆ เบาใจลง คิดเอาไว้ในใจว่าถ้ามีโอกาสจะต้องสอบถามเขาหน่อยว่าร่างกายของเขานี่มันเป็นอย่างไรกันแน่
สายลมแว่วหวีดหวิวอยู่ข้างหู พัดต้องร่างของนาง ความรู้สึกที่ได้ปะทะสายลมเช่นนี้เป็นความรู้สึกที่ยามเหินทะยานไม่เคยได้สัมผัส เนื่องเพราะมีกระแสพลังปราณคอยคุ้มกายอยู่ รู้สึกเหมือนตอนที่ควบขี่บนหลังอาชา ทว่าไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิคอยบังคับม้า สามารถปล่อยใจไปตามสบายได้
นางหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาใส่เข้าปากแล้วค่อยๆ ฟุบลงกับแผ่นหลังของเขา สูดดมกลิ่นอายความเป็นชายจากร่างของเขา รับรู้ได้ว่าชายคนนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมากจริงๆ จึงค่อยๆ สงบใจโคจรลมปราณฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไป
….
ท่ามกลางทะเลทรายที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เขาวิ่งห้อไปอย่างคุ้มคลั่ง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทว่ากลับพานพบกับอุปสรรคไม่คาดฝันเข้ามารบกวน
ขณะที่แบกคนวิ่งไปทางเนินทรายลูกหนึ่ง จู่ๆ ก็ปรากฏรอยปริแตกขึ้นบนเนินทราย แมงป่องทรายตัวหนึ่งที่มีสีเดียวกับผืนทรายพลันพุ่งทะลุขึ้นมาจากพื้นทราย ดีดตัวเข้าหาหยวนกัง
จู่ๆ ก็มีสัตวประหลาดที่ตัวใหญ่เท่าลูกวัวปรากฏตัวขึ้น ทำให้หยวนกังตกใจเป็นอย่างมาก เขาคลายแขนที่โอบป้องร่างซูจ้าวออกมาข้างหนึ่งแล้วตวัดแขนเหวี่ยงดาบฟันออกไป
ตอนแรกแมงป่องทรายตัวนั้นโถมเข้ามาอย่างดุร้าย ทว่าต่อมาจู่ๆ ก็สะบัดก้ามส่ายไปมาอย่างร้อนรน ส่ายหัวโบกหางคล้ายอยากจะหันหลังหลบหนีไป แต่ด้วยผลของแรงเฉื่อยทำให้ยังคงพุ่งเข้าหาหยวนกังอยู่ดี
“อย่า!” เสียงของซูจ้าวพลันแว่วดังมาจากด้านหลัง
แต่เรื่องราวมันเกิดขึ้นกะทันหัน เอ่ยเตือนช้าไปเสียแล้ว ดาบฟันออกไปเต็มแรง ดาบง้าวผ่าร่างแมงป่องทรายขาดเป็นสองท่อน โลหิตสีสันเด่นชัดบาดตากระฉูดออกมา สาดกระจายใส่ร่างหยวนกัง
เลือดของแมงป่องทรายแดงสดกว่าเลือดธรรมดาทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากสังหารแมงป่องทรายทิ้งภายในกระบวนท่าเดียว หยวนกังที่พบว่าสัตว์ประหลาดชนิดนี้จัดการได้ไม่ยากเย็นอะไรก็มิได้หยุดชะงัด เขาวิ่งขึ้นไปบนเนินทราย ห้อตะบึงไปทางเบื้องหน้าต่อ
ซูจ้าวถอนหายใจ เอ่ยว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าแมงป่องทรายที่อยู่ในทะเลทรายแห่งนี้ไม่อาจสังหารได้?”
“มีปัญหาอะไรหรือ?” หยวนกังวิ่งไปด้วยพลางเอ่ยถาม
ซูจ้าวถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ดูเหมือนเจ้าจะไม่รู้จริงๆ ในทะเลทรายแห่งนี้มีแมงป่องทรายอยู่เป็นจำนวนมาก เข็มพิษตรงปลายหางมีพิษร้ายแรง อีกทั้งความเร็วในการคืบคลานก็รวดเร็วอย่างมาก เคลื่อนไหวในทะเลทรายว่องไวดั่งสายลม ความสามารถในการดีดตัวพุ่งโจมตีแข็งแกร่งนัก ด้วยความอดอยากกระหายเหยื่อในทะเลทรายแห่งนี้ ทำให้พวกมันมีประสาทสัมผัสเฉียบไวต่อกลิ่นคาวเลือดเป็นพิเศษ หากว่ามีสิ่งมีชีวิตใดได้รับบาดเจ็บจนทำให้มันได้กลิ่นคาวเลือด นั่นจะทำให้แมงป่องทรายจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบข้างรู้ตัวแล้วหลั่งไหลกันมาออกล่าเหยื่อ หากว่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ได้รับบาดเจ็บก็จะกลายเป็นเหยื่อของพวกมันเช่นกัน เจ้าก่อปัญหาใหญ่ขึ้นแล้ว”
หยวนกังเงียบไป พอจะเข้าใจถึงความรู้สึกเหนื่อยใจที่แฝงอยู่ในเสียงถอนใจของนางแล้ว
เขาไม่สามารถเหาะเหินได้ ทำได้เพียงวิ่งทะยานไปตามพื้น ถ้าหากให้ซูจ้าวพาเขาเหินทะยานไปก็คงจะไปต่อได้ไม่นาน หลังจากนี้จะต้องตกอยู่ท่ามกลางการปิดล้อมโจมตีอย่างไม่หยุดหย่อนภายในทะเลทรายแห่งนี้แน่นอน เกรงว่าต่อให้ซูจ้าวพาเขาเหินหนีไปก็ยังไม่แน่ว่าจะหนีพ้น
“พวกเราย้อนกลับไปเถอะ หากมุ่งหน้าลึกเข้าไปกว่านี้…ไปเผชิญหน้ากับหอจันทร์กระจ่างยังอาจจะพอมีหนทางรอด แต่สัตว์ประหลาดพวกนี้มันไม่มีทางคุยกันด้วยเหตุผลได้” ซูจ้าวหัวเราะแห้งๆ
ทว่าเริ่มมีแมงป่องทรายขนาดน้อยใหญ่ทยอยปรากฏตัวขึ้นในทะเลทรายแห่งนี้ ราวกับเป็นการยืนยันถ้อยคำที่ซูจ้าวกล่าวไปก่อนหน้านี้ พอมองเห็นเหยื่อเป็นๆ พวกมันก็ตื่นเต้นกันอย่างยิ่ง พากันถลาเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ซูจ้าวร้องบอก “ปล่อยข้าลง”
“ช้าก่อน!” หยวนกังปฏิเสธ สายตาจ้องมองไปยังทิศทางใต้ลม คล้ายอยากจะพิสูจน์ยืนยันอันใด
จู่ๆ แมงป่องทรายที่พุ่งเข้ามาจากทิศทางใต้ลมก็พากันชะลอความเร็วในการเข้าโจมตี คล้ายจะหยุดนิ่งกันหมด ดวงตาหยวนกังพลันส่องประกายขึ้นมา เอ่ยไปว่า “ไม่เป็นไร เจ้าฟื้นฟูพลังต่อไปเถอะ พวกเราอาจจะมีโอกาสรอดแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า