ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 400

สรุปบท ตอนที่ 400 ยากจะหลบหนีได้: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 400 ยากจะหลบหนีได้ – ตอนที่ต้องอ่านของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนนี้ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 400 ยากจะหลบหนีได้ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 400 ยากจะหลบหนีได้

การพาคนผู้หนึ่งทะยานไปด้วยค่อนข้างเปลืองพลังปราณ ยามที่ร่อนอยู่ในอากาศ จะมีแรงต้านมากเพียงใด เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว

หยวนกังสังเกตเห็นว่าระยะการเหินร่อนขึ้นลงของซูจ้าวเริ่มหดสั้น ไม่ได้ไกลเหมือนตอนแรกแล้ว ขณะที่จะร่อนลงสู่พื้นอีกครั้ง เขาก็ร้องบอกว่า “หยุดก่อน!”

เมื่อทั้งสองลงสู่พื้น ซูจ้าวมองเขาด้วยความเข้าไม่ใจ หยวนกังเอ่ยไปว่า “เจ้าต้องพาข้าหนีมาแบบนี้ สูญเสียพลังไปมากแล้ว พักผ่อนฟื้นฟูกำลังหน่อยเถอะ มิเช่นนั้นหากปะทะกับฝ่ายเข้าจะลำบาก”

ซูจ้าวเอ่ยว่า “ตอนนี้จะพักได้อย่างไร นั่นมิเท่ากับรอให้ฝ่ายไล่ตามมาทันหรือ?”

หยวนกังตอบว่า “ข้าจะแบกเจ้าเอง”

“…..” ซูจ้าวผงะไปเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแบกไม่แบกเลย แต่การที่เจ้าวิ่งบนพื้นทรายจะทำให้ทิ้งร่องรอยไว้ได้ง่าย หอจันทร์กระจ่างจะต้องนำวิหคยักษ์มาใช้ไล่ล่าแน่ รอยเท้าเด่นชัดเช่นนี้ทำให้สังเกตเห็นจากบนฟ้าได้ง่าย ไม่เป็นไร ข้ายังพอไปต่อได้อีกราวหนึ่งชั่วยาม”

แม้จะยิ้มอย่างขมขื่น แต่ในใจกลับหวานชื่น การมีใครสักคนอยู่เคียงข้างนางเช่นนี้ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ ทะเลทรายรกร้างเบื้องหน้าดูราวกับเป็นสวนบุปผาขึ้นมา

หยวนกังเอ่ยว่า “หากไล่ตามมาถึงที่นี่ได้ จะเหลือรอยเท้าทิ้งไว้หรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว รักษากำลังเอาไว้ถึงจะมีโอกาสเผชิญหน้า เชื่อข้าเถอะ”

การที่เอ่ยเช่นนี้ออกมาได้ ก็แปลว่าแม้แต่เขาก็รับรู้ได้เช่นกันว่าความหวังในการหนีรอดมีน้อยนิดนัก ตอนนี้นับว่าไปตามเอาดาบหน้าแล้วจริงๆ หนีไปได้ไกลเท่าไรก็เอาเท่านั้น มองหาเสี้ยวโอกาสที่อาจจะปรากฏขึ้นในท้ายที่สุด

ในเมื่อเอ่ยมาเช่นนี้ก็แปลว่าเตรียมใจที่จะเผชิญหน้าไว้แล้ว ซูจ้าวจึงสงบใจลงเช่นกัน เอ่ยไปว่า “ไม่ต้องแบกหรอก เจ้าวิ่งไป ส่วนข้าจะเหินทะยานไป”

“เจ้าต้องเร่งฟื้นฟูพลัง” หยวนกังไม่ยอมให้นางปฏิเสธ ดึงสัมภาระหมุนไปไว้ที่หน้าอกแล้วดึงตัวนางเข้ามา หันหลังย่อกายเล็กน้อย โอบสองขาของนางแล้วแบกนางขึ้นขี่หลังทันที จากนั้นกางเท้าออกแล้วเริ่มวิ่งฝ่าทะเลทรายไปอย่างบ้าคลั่ง

ซูจ้าวทั้งรู้สึกเขินอายแล้วก็ดีใจเช่นกัน ขณะเดียวกันก็เอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “การวิ่งในทะเลทรายกินแรงมาก เจ้าแบกข้าแล้ววิ่งไปด้วยจะไหวหรือ?”

“ต่อให้แบกเจ้าอีกสองคนก็ยังวิ่งได้!” หยวนกังเอ่ยออกทิ้งท้าย ตั้งใจวิ่งฝ่าทะเลทรายไป วิ่งขึ้นๆ ลงๆ ไปตามเนินทรายสูงชันราวกับวิ่งบนพื้นราบ วิ่งห้อไปดั่งควันสายหนึ่ง ระดับความเร็วในการวิ่งยังคงรวดเร็วนัก

ผ่านไปสักพักหนึ่ง มีหมอกแดงเลือนรางปรากฏวนเวียนผ่านทางปากและจมูกตามจังหวะหายใจของเขาอีกครั้ง

เริ่มแรกซูจ้าวยังคงกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ค่อยๆ สังเกตเห็นว่าคนผู้นี้ไม่รู้จักเลยว่าความเหนื่อยล้าเป็นเช่นไร ราวกับพละกำลังในร่างกายมีให้เผาผลาญได้ไม่รู้หมดรู้สิ้น ลมหายใจยังคงมั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย นางจึงค่อยๆ เบาใจลง คิดเอาไว้ในใจว่าถ้ามีโอกาสจะต้องสอบถามเขาหน่อยว่าร่างกายของเขานี่มันเป็นอย่างไรกันแน่

สายลมแว่วหวีดหวิวอยู่ข้างหู พัดต้องร่างของนาง ความรู้สึกที่ได้ปะทะสายลมเช่นนี้เป็นความรู้สึกที่ยามเหินทะยานไม่เคยได้สัมผัส เนื่องเพราะมีกระแสพลังปราณคอยคุ้มกายอยู่ รู้สึกเหมือนตอนที่ควบขี่บนหลังอาชา ทว่าไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิคอยบังคับม้า สามารถปล่อยใจไปตามสบายได้

นางหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาใส่เข้าปากแล้วค่อยๆ ฟุบลงกับแผ่นหลังของเขา สูดดมกลิ่นอายความเป็นชายจากร่างของเขา รับรู้ได้ว่าชายคนนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมากจริงๆ จึงค่อยๆ สงบใจโคจรลมปราณฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไป

….

ท่ามกลางทะเลทรายที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เขาวิ่งห้อไปอย่างคุ้มคลั่ง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทว่ากลับพานพบกับอุปสรรคไม่คาดฝันเข้ามารบกวน

ขณะที่แบกคนวิ่งไปทางเนินทรายลูกหนึ่ง จู่ๆ ก็ปรากฏรอยปริแตกขึ้นบนเนินทราย แมงป่องทรายตัวหนึ่งที่มีสีเดียวกับผืนทรายพลันพุ่งทะลุขึ้นมาจากพื้นทราย ดีดตัวเข้าหาหยวนกัง

จู่ๆ ก็มีสัตวประหลาดที่ตัวใหญ่เท่าลูกวัวปรากฏตัวขึ้น ทำให้หยวนกังตกใจเป็นอย่างมาก เขาคลายแขนที่โอบป้องร่างซูจ้าวออกมาข้างหนึ่งแล้วตวัดแขนเหวี่ยงดาบฟันออกไป

ตอนแรกแมงป่องทรายตัวนั้นโถมเข้ามาอย่างดุร้าย ทว่าต่อมาจู่ๆ ก็สะบัดก้ามส่ายไปมาอย่างร้อนรน ส่ายหัวโบกหางคล้ายอยากจะหันหลังหลบหนีไป แต่ด้วยผลของแรงเฉื่อยทำให้ยังคงพุ่งเข้าหาหยวนกังอยู่ดี

“อย่า!” เสียงของซูจ้าวพลันแว่วดังมาจากด้านหลัง

แต่เรื่องราวมันเกิดขึ้นกะทันหัน เอ่ยเตือนช้าไปเสียแล้ว ดาบฟันออกไปเต็มแรง ดาบง้าวผ่าร่างแมงป่องทรายขาดเป็นสองท่อน โลหิตสีสันเด่นชัดบาดตากระฉูดออกมา สาดกระจายใส่ร่างหยวนกัง

เลือดของแมงป่องทรายแดงสดกว่าเลือดธรรมดาทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด

หลังจากสังหารแมงป่องทรายทิ้งภายในกระบวนท่าเดียว หยวนกังที่พบว่าสัตว์ประหลาดชนิดนี้จัดการได้ไม่ยากเย็นอะไรก็มิได้หยุดชะงัด เขาวิ่งขึ้นไปบนเนินทราย ห้อตะบึงไปทางเบื้องหน้าต่อ

ซูจ้าวถอนหายใจ เอ่ยว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าแมงป่องทรายที่อยู่ในทะเลทรายแห่งนี้ไม่อาจสังหารได้?”

“มีปัญหาอะไรหรือ?” หยวนกังวิ่งไปด้วยพลางเอ่ยถาม

ซูจ้าวถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ดูเหมือนเจ้าจะไม่รู้จริงๆ ในทะเลทรายแห่งนี้มีแมงป่องทรายอยู่เป็นจำนวนมาก เข็มพิษตรงปลายหางมีพิษร้ายแรง อีกทั้งความเร็วในการคืบคลานก็รวดเร็วอย่างมาก เคลื่อนไหวในทะเลทรายว่องไวดั่งสายลม ความสามารถในการดีดตัวพุ่งโจมตีแข็งแกร่งนัก ด้วยความอดอยากกระหายเหยื่อในทะเลทรายแห่งนี้ ทำให้พวกมันมีประสาทสัมผัสเฉียบไวต่อกลิ่นคาวเลือดเป็นพิเศษ หากว่ามีสิ่งมีชีวิตใดได้รับบาดเจ็บจนทำให้มันได้กลิ่นคาวเลือด นั่นจะทำให้แมงป่องทรายจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบข้างรู้ตัวแล้วหลั่งไหลกันมาออกล่าเหยื่อ หากว่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ได้รับบาดเจ็บก็จะกลายเป็นเหยื่อของพวกมันเช่นกัน เจ้าก่อปัญหาใหญ่ขึ้นแล้ว”

หยวนกังเงียบไป พอจะเข้าใจถึงความรู้สึกเหนื่อยใจที่แฝงอยู่ในเสียงถอนใจของนางแล้ว

เขาไม่สามารถเหาะเหินได้ ทำได้เพียงวิ่งทะยานไปตามพื้น ถ้าหากให้ซูจ้าวพาเขาเหินทะยานไปก็คงจะไปต่อได้ไม่นาน หลังจากนี้จะต้องตกอยู่ท่ามกลางการปิดล้อมโจมตีอย่างไม่หยุดหย่อนภายในทะเลทรายแห่งนี้แน่นอน เกรงว่าต่อให้ซูจ้าวพาเขาเหินหนีไปก็ยังไม่แน่ว่าจะหนีพ้น

“พวกเราย้อนกลับไปเถอะ หากมุ่งหน้าลึกเข้าไปกว่านี้…ไปเผชิญหน้ากับหอจันทร์กระจ่างยังอาจจะพอมีหนทางรอด แต่สัตว์ประหลาดพวกนี้มันไม่มีทางคุยกันด้วยเหตุผลได้” ซูจ้าวหัวเราะแห้งๆ

ทว่าเริ่มมีแมงป่องทรายขนาดน้อยใหญ่ทยอยปรากฏตัวขึ้นในทะเลทรายแห่งนี้ ราวกับเป็นการยืนยันถ้อยคำที่ซูจ้าวกล่าวไปก่อนหน้านี้ พอมองเห็นเหยื่อเป็นๆ พวกมันก็ตื่นเต้นกันอย่างยิ่ง พากันถลาเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ซูจ้าวร้องบอก “ปล่อยข้าลง”

“ช้าก่อน!” หยวนกังปฏิเสธ สายตาจ้องมองไปยังทิศทางใต้ลม คล้ายอยากจะพิสูจน์ยืนยันอันใด

จู่ๆ แมงป่องทรายที่พุ่งเข้ามาจากทิศทางใต้ลมก็พากันชะลอความเร็วในการเข้าโจมตี คล้ายจะหยุดนิ่งกันหมด ดวงตาหยวนกังพลันส่องประกายขึ้นมา เอ่ยไปว่า “ไม่เป็นไร เจ้าฟื้นฟูพลังต่อไปเถอะ พวกเราอาจจะมีโอกาสรอดแล้ว”

“ชั่วชีวิตนี้เรื่องที่ข้าไม่เคยนึกเสียใจเลยก็คือการเลือกติดตามเจ้า” ซูจ้าวพึมพำข้างหูเขา

หยวนกังคล้ายไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างเดียว

ส่วนชายไว้หนวดเคราที่ไล่ตามมาทางด้านหลังก็เผชิญปัญหาเล็กน้อยเข้าจริงๆ จังหวะที่ร่อนลงพื้นก็ถูกฝูงแมงป่องทรายดีดตัวเข้ามาปิดล้อมโจมตี

เขาสะบัดแขนเสื้อ พลังปราณแกร่งกล้าสายหนึ่งพัดแมงป่องทรายที่ดาหน้าเข้ามาจากทั่วสารทิศให้กระเด็นออกไป จากนั้นทะยานร่างขึ้นไปอีกครั้ง

การกระทำของหยวนกังก็ทำให้เขาตกใจอย่างมากเช่นกัน คนผู้นั้นพึ่งพาเพียงข้าสองข้างก็สามารถวิ่งตะบึงไปในทะเลทรายอย่างรวดเร็วถึงเพียงนั้น ซ้ำยังแบกคนเอาไว้บนหลังด้วย ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือทางตนมีแมงป่องทรายตามตอแยตลอดทาง แต่คนผู้นั้นกลับวิ่งห้อลัดผ่านเหล่าแมงป่องทรายที่ปีนป่ายยั้วเยี้ยมากมายไปได้ ราวกับวิ่งอยู่ในสถานที่ที่รกร้างไร้ผู้คน ทว่าทางตนกลับโดนตามพัวพันไม่เลิกรา นี่มันเรื่องบ้าบออันใดกัน

หยวนกังที่แบกคนอีกคนไว้บนหลังกลับวิ่งทะยานไปในทะเลทรายโดยที่ความเร็วไม่ตกเลยจริงๆ เขาไม่ถูกรบกวนจากแมงป่องทราย ส่วนคนไว้เคราจะถูกแมงป่องทรายเข้ามาพัวพันทันมีที่เท้าแตะลงพื้น ความเร็วในการตามไล่ล่าของทั้งสองฝ่ายยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง

คนไว้เคราไหนเลยจะปล่อยให้เกิดเรื่องตลกชวนขบขันเช่นนี้ได้ ขณะที่กำลังจะร่อนแตะลงพื้นอีกครั้ง เขาพลันยื่นมือออกไปตะปบพื้นทรายด้านหน้า

ตู้ม! เสาทรายสูงหลายจั้งต้นหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากพื้น

ส่วนตัวเขาก็ร่อนเหยียบลงบนเสาทราย จากนั้นดีดตัวเหินขึ้นไปอีกครั้ง

เมื่อเหินตัวจากระดับความสูงที่สูงกว่าเดิม เขาก็ดีดตัวไปได้สูงขึ้น แล้วก็เหินไปได้ไกลกว่าเดิม แม้ว่าการทำเช่นนี้จะสิ้นเปลืองพลังมากกว่าเดิม แต่มันกลับหลีกเลี่ยงการก่อกวนจากแมงป่องทรายด้านล่างได้

ทันทีที่ตัวคนออกห่างเสาทราย เสาทรายที่สูญเสียพลังปราณที่ยึดเหนี่ยวค้ำจุนพลันสลายตัวร่วงหล่นลงไปทันที ท่วมทับร่างแมงป่องทรายด้านล่าง

หลังจากทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา ในไม่ช้าก็ไล่ตามหยวนกังที่วิ่งอยู่ทัน เขาโฉบลงมาจากบนอากาศ ร่อนลงบนพื้นแล้วหันกลับมาขวางอยู่ด้านหน้าของหยวนกัง ประกายแสงเยียบเย็นส่องวาบออกมาจากใต้ผ้าคลุม กระบี่เล่มหนึ่งถูกยกขึ้นมาขวางทางไว้

เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใด ตัวเขาเวลานี้ยืนอยู่ใต้ลม แต่แมงป่องทรายที่อยู่รอบข้างกลับนิ่งเฉยไม่ขยับเขยื้อน ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเข้ามาโจมตีเขาอีก

หยวนกังรีบหยุดฝีเท้าลงแล้วปล่อยซูจ้าวลง ถือ ‘ดาบสามคำราม’ พาดเฉียงเผชิญหน้า ปากก็หอบหายใจไปด้วย

ในที่สุดซูจ้าวก็ได้เหยียบพื้น นางมองพินิจโครงร่างของอีกฝ่ายเล็กน้อย

จากแววตาภายใต้หน้ากากของอีกฝ่าย จากเคราที่ห้อยลงมาจากด้านล่างหน้ากาก ไหนจะกระบี่ที่ถืออยู่ในมือเล่มนั้นอีก นางตระหนักถึงอะไรขึ้นมาได้ จึงส่ายหน้าพลางเอ่ยด้วยสีหน้าหม่นหมอง “อาจารย์ แม้แต่ท่านก็ไม่ยอมปล่อยข้าไปหรือ? แม้แต่ท่านก็ต้องการสังหารข้าหรือเจ้าคะ?”

คนไว้เครายกกระบี่ชี้ไปที่นาง เอ่ยอย่างปวดใจว่า “ทำไมถึงต้องหนีด้วย? ข้าพยายามทุ่มเทความคิดช่วยประคับประคองเจ้า ทุ่มแรงกายแรงใจช่วยจัดเตรียมทางถอยไว้ให้เจ้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงใดล้วนแต่ตัดขาดให้จบลงที่ตัวฉินเหมียนได้ ไม่ว่าจะเป็นภัยอันตรายใดข้าล้วนแต่คิดหาทางปกป้องเจ้าได้ แต่เหตุใดเจ้าต้องหลบหนีด้วย!” ความรู้สึกเศร้าหมองในประโยคสุดท้ายยากจะบรรยายออกมาได้

………………………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า