เรื่องราวเป็นอย่างที่เขากล่าวมาจริงๆ เขาทุ่มเทความคิดเตรียมทางออกไว้ให้ซูจ้าวมานานแล้ว หากเกิดปัญหาขึ้น เขาจะพยายามหลบเลี่ยงไม่ให้อันตรายคุกคามมาถึงชีวิตซูจ้าว ดังนั้นซูจ้าวจึงไม่ได้เข้าไปพัวพันกับความลับบางส่วน กลับเป็นฉินเหมียนที่รู้มากกว่า ดูแล้วคล้ายว่าให้ความสำคัญกับฉินเหมียนมากกว่า
และขอเพียงฉินเหมียนทำผลงานได้ดี อีกทั้งมีเขาคอยดูแลอยู่เบื้องหลัง ซูจ้าวย่อมได้รับประโยชน์ไปด้วย
แต่เรื่องที่ซูจ้าวไม่สมควรกระทำอย่างยิ่งก็คือหลบหนี การทรยศต่อหอจันทร์กระจ่างมันคืออย่างไรน่ะหรือ?
หลบหนี! เช่นนั้นถือว่าเป็นคนทรยศอย่างไรล่ะ!
เมื่อกลายเป็นคนทรยศ ไม่ว่าผู้ใดก็ช่วยปกป้องไม่ได้ มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่สามารถอธิบายกับท่านประมุขได้ แล้วก็ไม่สามารถอธิบายต่อสมาชิกคนอื่นๆ ได้ด้วย ไม่สามารถอธิบายต่อสมาชิกทั้งบนและล่างในองค์กรได้
เมื่อกลายเป็นคนทรยศ แม้แต่ท่านประมุขก็ปกป้องไว้ไม่ได้!
ทางฝั่งท่านประมุขก็ปราณีต่อพวกเขาศิษย์อาจารย์อย่างถึงที่สุดแล้ว เขาเองก็รับปากท่านประมุขไปแล้วว่าจะไม่เกิดปัญหาอื่นใดขึ้นอีก หากเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ เขาจะลงมือจัดการเอง
ไม่คิดเลยว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะทำให้เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ได้ ตอนนี้เขาจำเป็นต้องมอบคำอธิบายสักอย่างให้ท่านประมุข แล้วก็จำเป็นต้องมอบคำอธิบายให้คนในองค์กรด้วย!
ดังนั้นเขาถึงมาตามล่าด้วยตัวเอง
ซูจ้าวขบริมฝีปาก สีหน้าหม่นหมองลงหลายส่วน เข้าใจความหมายในวาจาท่านอาจารย์ดี หอจันทร์กระจ่างจะทุ่มเทกำจัดผู้ทรยศโดยไม่สนว่าต้องแลกด้วยอะไร เพื่อไม่ให้กลายเป็นเยี่ยงอย่าง มิเช่นนั้นจะไม่สามารถข่มขวัญคนอื่นๆ ได้ หาไม่แล้วจะนำพาปัญหามาให้ทั่วทั้งหอจันทร์กระจ่างอย่างไม่รู้จบ!
นางมองไปที่หยวนกัง แต่กลับกล่าวกับคนไว้เคราว่า “อาจารย์ ความผิดทั้งปวงล้วนเป็นความผิดของข้าทั้งสิ้น ขอเพียงท่านยอมไว้ชีวิตเขา ข้ายินดีรับโทษตามแต่จะจัดการ!”
หยวนกังหันไปมองนางทันที “ไม่จำเป็น!”
คนไว้เคราเอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชัง “เจ้ายังคิดจะปกป้องเขาอีกหรือ? หนิวโหย่วเต้าเตรียมหนทางรอดไว้ให้เขาล่วงหน้าแล้ว เป้าหมายที่องค์กรต้องการจำกัดในครั้งนี้ก็คือเจ้า หากเขาหนีไปย่อมไม่มีผู้ใดขัดขวาง เบื้องบนเองก็สั่งให้ปล่อยเขาไปเช่นกัน หนิวโหย่วเต้าเตรียมทางป้องกันเขาจากองค์กรไว้แล้ว เขาไม่ได้บอกเจ้าหรือ? เจ้าทำตัวโง่เขลาหนีตามเขามาด้วยทำไม ใต้หล้ากว้างใหญ่เช่นนี้ ต้องการบุรุษเช่นไรล้วนมีให้เจ้าทั้งสิ้นมิใช่หรือ? เอาชีวิตมาทิ้งเพื่อบุรุษที่หลอกลวงเจ้ามาตลอดเช่นนี้มันคุ้มกันแล้วหรือ?”
พอเขาเอ่ยมาเช่นนี้ หยวนกังพลันตะลึงงัน เต้าเหยี่ยเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ให้เขาแล้วอย่างนั้นหรือ?
ชั่วพริบตานั้นเอง อารมณ์ของเขาพลันซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง
จากคำบอกเล่าของซูจ้าวทำให้เขาทราบเพียงว่าสมาชิกระดับสูงของหอจันทร์กระจ่างออกคำสั่งห้ามมิให้แตะต้องหนิวโหย่วเต้าส่งเดช ไม่คิดเลยว่าจะเกี่ยวพันมาถึงเขาด้วย
แต่เขายังคงเชื่อในคำพูดของอีกฝ่าย เขารู้จักหนิวโหย่วเต้าดี การที่หนิวโหย่วเต้าทำเช่นนี้ เขาไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นก็มีความเป็นไปได้ที่หนิวโหย่วเต้าจะทำเช่นนี้จริงๆ เมื่อเผชิญมรสุมอันตราย เต้าเหยี่ยจะก้าวออกมาช่วยปกป้องเขาไว้แน่นอน
ซูจ้าวเองก็มองไปที่หยวนกังด้วยความตกตะลึง
หยวนกังหันไปมองนางพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้เรื่องนี้”
ซูจ้าวยิ้มออกมา พยักหน้าแล้วตอบ “อืม” นางเชื่ออีกฝ่ายอย่างไร้ข้อกังขา
หยวนกังโทษตัวเอง “เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน”
ซูจ้าวเข้าใจความหมายของเขา หากรู้เช่นนี้แต่แรก เขาไม่จำเป็นต้องพานางหนีมาด้วยเลย เขาหนีไปคนเดียวก็สิ้นเรื่องแล้ว หากทำเช่นนี้ทั้งสองคนล้วนจะไม่มีใครเดือดร้อน ตอนนี้กลับทำให้นางกลายเป็นคนทรยศสำหรับหอจันทร์กระจ่างไปเสียแล้ว
ลำบากลำบนกันมาขนาดนี้ ที่แท้การหลบครั้งนี้ก็ไม่มีความจำเป็นเลย!
แต่ซูจ้าวยังคงยิ้มพลางส่ายศีรษะเล็กน้อย สื่อว่าไม่เป็นไร
คนไว้เคราเห็นภาพนี้ก็โมโหจนแทบกระอักเลือด นับว่าได้รู้ซึ้งแล้วว่าอันใดคือบุตรีเติบใหญ่ก็รั้งไว้ไม่อยู่ แล้วก็นับว่าได้เห็นแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าแม้นตายก็ไม่นึกเสียใจ คลื่นอากาศรอบกายเขาเริ่มหมุนวน ก่อตัวเป็นสายลมค่อยๆ หมุนวนขึ้นมา
หยวนกังถือดาบปราดเข้ามาขวางอยู่ด้านหน้าซูจ้าวอย่างรวดเร็ว ดาบสามคำรามทอประกายเจิดจรัสอยู่ภายใต้แสงตะวัน ตั้งท่าระวังอีกฝ่ายอย่างเต็มกำลัง
คนไว้เคราจ่อปลายกระบี่ไปทางเขาแล้วสะบัดเล็กน้อย “นี่เป็นเรื่องภายในองค์กรเรา ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า หากไม่อยากข้าพลั้งมือทำร้ายเจ้า ก็จงรีบไสหัวไปซะ!”
ซูจ้าวร้อนใจ ดึงหยวนกังพลางเอ่ยว่า “เขาคือท่านลุงของข้า ไม่มีทางทำอันใดข้าหรอก เจ้ารีบไปเถอะ!”
หยวนกังไม่สนใจ ยังคงจ้องมองคนไว้เครา “ต้องทำอย่างไรถึงจะยอมปล่อยนางไป?”
คนไว้เคราจ้องมองซูจ้าว กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หนทางของผู้ทรยศมีเพียงความตายเท่านั้น!”
หยวนกังพลันออกแรงสะบัดแขนคราหนึ่ง สลัดให้พ้นจากการเกาะกุมของซูจ้าว ก่อนจะพุ่งตัวออกไปพลางระดมกำลังทั้งหมดราวกับจะขว้างดาบในมือใส่คนไว้เคราก็มิปาน เปิดฉากเข้าโจมตีอย่างอาจหาญ!
“อย่า!” ซูจ้าวกรีดร้องด้วยความเสียขวัญ เนื่องจากนางรู้ดีว่าหยวนกังไม่มีทางสู้อีกฝ่ายได้
คนไว้เคราแค่นหัวเราะหึหึ พื้นทรายใต้ฝ่าเท้ากระเพื่อมไหวออกไปเป็นวง ดวงปราณทรงกลมผุดออกมาจากในร่าง ก่อนจะขยายตัวออกไปจนดูคล้ายกับมีม่านพลังโปร่งใสอันหนึ่งครอบร่างเขาไว้อยู่ นั่นคือเกราะปราณคุ้มกาย
เขาไม่เห็นหยวนกังอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ยืนนิ่งตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด
“โฮก!”
เสียงพยัคฆ์คำรามดุดันสายหนึ่งพลันระเบิดออกมาจากดาบสามคำราม ค่อนข้างข่มขวัญคน ทำให้รู้สึกราวกับมีพยัคฆ์ร้ายคำรามอยู่ใกล้ตัวจริงๆ
หยวนกังที่พุ่งเข้ามากระโดดขึ้นไป เงื้อดาบฟันลงมาจากกลางอากาศ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตวัดดาบฟันแล้วเกิดเสียงพยัคฆ์คำรามดังออกมาจากดาบสามคำราม เห็นได้ชัดว่าความเร็วในการลงมือครั้งนี้มีความรวดเร็วและทรงพลังมากเพียงใด ภายใต้แสงตะวัน ใบดาบที่พุ่งเข้ามาดูราวกับแพรขาวผืนหนึ่ง ทรงพลังน่าตกใจ
ดาบดี! คนไว้เคราเอ่ยชมอยู่ในใจ สายตามองไปที่ดาบเล่มนั้น มองออกว่าดาบเล่มนี้มิใช่ของธรรมดาสามัญ แล้วก็มองเห็นถึงความองอาจไม่ธรรมดาของหยวนกังด้วย
ตูม!
เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น เกราะปราณคุ้มกายของคนไว้เคราพลันถูกฟันทำลายลงในชั่วพริบตา
สิ่งที่ถูกทำลายลงพร้อมกันยังมีความสุขุมเยือกเย็นของคนไว้เคราด้วย สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าคนธรรมดาที่อาศัยเพียงสองขาวิ่งทะยานไปบนพื้นผู้นี้จะสามารถใช้ดาบทำลายเกราะปราณคุ้มกายของเขาได้ด้วย
ซูจ้าวที่ชักกระบี่ออกมาถือไว้ในมือเพื่อเตรียมจะเข้าไปช่วยเสริมกำลังก็ตกใจอย่างมากเช่นกัน คิดไม่ถึงเช่นกันว่าหยวนกังจะมีพลังโจมตีที่รุนแรงปานนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า