ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 40

ตอนที่ 40 สมราคาคุย

ซางซูชิงรู้สึกว่ามีความนัยบางอย่างแฝงอยู่ในคำพูดนี้ คล้ายเป็นกังวลอยู่บ้างว่าพี่ชายจะเสียเปรียบ กลัวว่าพี่ชายจะใจร้อนด่วนตกลง จึงรีบเอ่ยถามว่า “ลำบากใจเล็กน้อยหรือ? ไม่ทราบว่าเต้าเหยี่ยพอจะช่วยอธิบายให้กระจ่างได้หรือไม่?”

หลานรั่วถิงฟังแล้วพยักหน้าเห็นด้วย เขาเองก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างเฉยชา “ก็ไม่นับว่าลำบากใจอันใดนักหรอกพ่ะย่ะค่ะ นั่นเป็นเพราะทรัพยากรของท่านอ๋องมีให้ใช้สอยอย่างจำกัดจริงๆ ไปครานี้กระหม่อมอาจต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เมื่อถึงเวลานั้นหวังว่าท่านอ๋องจะยอมให้ความร่วมมือ ไม่กล่าวโทษกัน”

ซางซูชิงเอ่ยขึ้นว่า “มีคำกล่าวไว้ว่ากองทัพไม่หน่ายเล่ห์[1] เต้าเหยี่ยไปครานี้หากจะใช้กลอุบายอันใดบ้างย่อมเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่หากเลวทรามชั่วช้าเกินไป พี่ชายข้าจะพลอย…”

หนิวโหย่วเต้าโบกมือพลางเอ่ยขัด “ท่านหญิงวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเองก็วางใจได้เลยพ่ะย่ะค่ะ แซ่หนิวขอรับรองว่าจะไม่ทำให้ท่านอ๋องต้องแบกรับคำครหาว่าเป็นคนเลวทรามชั่วร้ายเด็ดขาด และจะไม่ทำให้เกิดเรื่องอันใดที่ท่านอ๋องยากจะทนรับได้ด้วย สรุปคือการไปครั้งนี้จะไม่มีการกระทำใดๆ ที่ส่งผลร้ายต่อท่านอ๋องแน่นอน หากผิดคำพูดที่ให้ไว้ ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องยอมรับว่ามีความสัมพันธ์อันใดกับกระหม่อมก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเอ่ยมาเช่นนี้ พวกเขาถึงได้เบาใจลงเล็กน้อย แต่ยังคงรู้สึกยากจะเชื่ออยู่ดี เฟิ่งหลิงปอจะยอมให้หยิบยืมทหารได้อย่างไร?

หลานรั่วถิงที่ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ พลันเอ่ยขึ้นว่า “เต้าเหยี่ย หากรั้งอยู่ในอาณาเขตจังหวัดกว่างอี้นานเกินไปเกรงว่าคงไม่เหมาะ มิรู้ว่าทางราชสำนักจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร ทั้งยังมีทางฝั่งตระกูลซ่งด้วย เต้าเหยี่ยสังหารซ่งเหยี่ยนชิง แต่กลับยังรั้งอยู่ในจังหวัดกว่างอี้ เปิดเผยตัวเด่นชัดเช่นนี้ เกรงว่าตระกูลซ่งคงจะต้องพุ่งเป้ามาเล่นงานเต้าเหยี่ยเป็นแน่”

“ทางราชสำนักนั้นจัดการได้ไม่ยาก การพลีชีพขององครักษ์กว่าสามสิบนายนั้นทำให้ท่านอ๋องโศกศัลย์อยู่บ้าง การรั้งอยู่ที่นี่สักหลายวันเพื่อเซ่นไหว้จึงนับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้” หนิวโหย่วเต้าไม่รู้สึกผิดกับการสิ้นชีพขององครักษ์เหล่านั้นแม้แต่น้อย “ส่วนทางตระกูลซ่ง กระหม่อมไปครั้งนี้ก็เพื่อสะสางเรื่องนี้ กระหม่อมย่อมมีวิธีจัดการในแบบของตัวเอง!”

ซางซูชิงพยักหน้าตอบรับ “เอาตามที่เต้าเหยี่ยว่ามา ไม่ทราบว่าเต้าเหยี่ยจะออกเดินทางยามไหน ไปครานี้ต้องจัดเตรียมสิ่งใดบ้าง?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เรื่องด่วนมิอาจรั้งรอได้ กระหม่อมจะเร่งเดินทางไปให้ถึงตัวจังหวัดในชั่วข้ามคืน นอกจากนี้ ขอท่านอ๋องโปรดมอบองครักษ์ที่มีไหวพริบเฉียบแหลมจำนวนยี่สิบนายร่วมเดินทางไปกับกระหม่อม อีกทั้งกระหม่อมต้องการของมีค่าเล็กน้อย เอาเป็นเงินหมื่นเหรียญทองพ่ะย่ะค่ะ!”

“หมื่นเหรียญทอง…” ซางเฉาจงและซางซูชิงแสดงสีหน้าลำบากใจ นี่มิใช่จำนวนน้อยๆ เลย เงินจำนวนนี้เพียงพอให้ทหารหลายร้อยนายใช้ไปได้อีกหลายปี

สองพี่น้องนึกไม่ออกเลยว่าเขาจะเอาเงินมากมายขนาดนี้ไปทำอะไร จะนำเงินจำนวนนี้ไปแลกกำลังทหารมาหรือ? เงินหมื่นเหรียญทองแม้จะมิใช่น้อย แต่เห็นได้ชัดว่าไม่เพียงพอจะนำไปแลกเป็นกำลังทหารที่มากพอสำหรับการตั้งหลักที่อำเภอชางหลูได้ อีกทั้งเฟิ่งหลิงปอเองก็ไม่มีทางตอบตกลงได้ อีกฝ่ายคงไม่ยากไร้จนถึงขั้นต้องมอบกำลังทหารให้เจ้าเพื่อเงินหมื่นเหรียญทองกระมัง

หลานรั่วถิงยิ้มเจื่อนพลางกล่าว “ขอบอกเต้าเหยี่ยตามตรง หากไปถึงอำเภอชางหลูแล้ว น่าจะรวบรวมเงินหมื่นเหรียญทองมาได้ไม่มีปัญหา แต่เวลานี้เงินที่มีอยู่นับรวมกันแล้วยังมีไม่ถึงพันเหรียญทองด้วยซ้ำ เกรงว่าจะหาเงินหมื่นเหรียญทองมาให้ไม่ได้จริงๆ”

หนิวโหย่วเต้าโบกมือไปมา “ไม่มีก็แล้วไปเถิด เงินน่ะเรื่องเล็ก เอาไว้ไปถึงตัวจังหวัดแล้วข้าค่อยคิดหาวิธีการอื่น ตอนนี้มอบเงินร้อยเหรียญทองให้ข้าไว้ใช้ในยามฉุกเฉินก่อนแล้วกัน”

พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง ต่อให้เป็นคนที่มีสถานะอย่างพวกเขา เงินหมื่นเหรียญทองก็มิใช่จำนวนเล็กน้อยเลย ไม่รู้ว่าคนผู้นี้จะไปหาเงินหมื่นเหรียญทองจากในจังหวัดกว่างอี้ได้อย่างไร นี่เตรียมจะใช้วิชาความสามารถไปรีดไถหรือปล้นชิงเอากันเล่า? แต่อย่าได้ก่อเรื่องวุ่นวายในจังหวัดกว่างอี้จนไปยั่วโทสะเฟิ่งหลิงปอเข้าล่ะ เพราะคนที่สามารถนำเงินจำนวนมากขนาดนี้ออกมาได้ย่อมมิใช่ชาวบ้านทั่วไปในจังหวัดกว่างอี้เด็ดขาด หากแต่ต้องเป็นคนไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

ที่ว่ามอบเงินหมื่นเหรียญทองให้ไม่ได้นั้นเป็นความจริง เมื่อครู่หลานรั่วถิงถึงขนาดนึกสงสัยอยู่ว่าหนิวโหย่วเต้าจะเชิดทรัพย์หลบหนีไปหรือเปล่า แต่พอได้ยินว่าร้อยเหรียญทอง ลดลงมาร้อยเท่าในชั่วพริบตา เขาตระหนักได้ทันทีว่าตนใช้ความคิดคนถ่อยประเมินสุภาพชน[2]เสียแล้ว ด้วยความสามารถของอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องลงแรงมากขนาดนี้เพื่อเงินร้อยเหรียญทองเลย

หลานรั่วถิงมองท่าทีของซางเฉาจง จากนั้นพยักหน้าตอบตกลง “เต้าเหยี่ยรอสักครู่ ข้าจะไปหยิบให้เดี๋ยวนี้ พร้อมทั้งจัดการเรื่องผู้ติดตามด้วย”

หนิวโหย่วเต้ากำชับทันที “จำเอาไว้ ต้องหลบเลี่ยงพวกชวีอู่ อย่าให้พวกเขารู้ตัว ยื้อเวลาไว้ให้ข้าสักระยะ”

“ทราบแล้ว!” หลานรั่วถิงประสานมือ จากนั้นเร่งออกไปจัดการเรื่องนี้

สองพี่น้องสกุลซางต่างสงสัยกันจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต้าจะหยิบยืมทหารมาได้อย่างไร สุดท้ายซางซูชิงก็อดใจไม่อยู่ เอ่ยถามว่า “เต้าเหยี่ย พอจะเผยรายละเอียดได้หรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังบอกแน่ชัดไม่ได้ ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ถึงเวลาค่อยว่ากันอีกทีพ่ะย่ะค่ะ”

ยังคงเป็นท่าทางไม่น่าเชื่อถือและพูดจาไร้ความจริงเช่นเคย ซางซูชิงกังวลใจเล็กน้อย แต่จากที่ได้เห็นอีกฝ่ายเปิดโปงเส้นทางหลบหนีของตนเมื่อครู่นี้ นางจึงมองออกแล้วว่าสติปัญญาของหนิวโหย่วเต้าไม่ธรรมดาเลย มุมมองที่มีต่อเขาจึงเปลี่ยนไปแล้ว

จู่ๆ หยวนกังที่นิ่งเงียบอยู่ด้านข้างพลันเอ่ยขึ้นมาว่า “เต้าเหยี่ย คนจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์สองคนนั้นสารภาพว่าเจ้าอาวาสหยวนฟางคือปีศาจหมีตัวหนึ่ง”

“หือ…” หนิวโหย่วเต้าหันขวับทันที “ปีศาจ? ปีศาจที่เป็นปีศาจจริงๆ น่ะหรือ?”

ซางเฉาจงตอบรับ “มิผิด คนของข้าไต่สวนดูแล้ว เจ้าอาวาสหยวนฟางตัวจริงมรณภาพไปแล้ว เจ้าอาวาสหยวนฟางในปัจจุบันคือหมีตัวหนึ่งที่เหล่าสมณะภายในวัดหนานซานเก็บมาเลี้ยงจากในเขาเมื่อสองร้อยปีก่อน ปัจจุบันมีพลังฌานอยู่เล็กน้อย จึงแปลงกายเป็นเจ้าอาวาสหยวนฟาง และวัดหนานซานแห่งนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เลย ก่อนหน้านี้ซ่งเหยี่ยนชิงได้สู้กับปีศาจหมีตัวนี้ และบีบบังคับจนปีศาจหมีตัวนี้ยอมจำนนเท่านั้น”

หนิวโหย่วเต้าตาเป็นประกาย ปีศาจหรือ? แถมยังเป็นปีศาจหมีอีกด้วย? เขาเกิดความสนใจอย่างจริงจัง แม้จะรู้ว่าโลกนี้มีปีศาจอยู่ แต่ก็เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก เมื่อไม่เคยพบเห็นมาก่อน ย่อมต้องอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง คำเตือนเมื่อครู่ของหยวนกังสื่อให้เห็นชัดเจนว่าเขาเองก็สนใจและอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน จนใจที่ตอนนี้เขามีเรื่องอื่นต้องไปจัดการ ไม่มีเวลามาค่อยๆ ศึกษาวิเคราะห์ปีศาจ จึงได้แต่เอ่ยกำชับไว้ “ท่านอ๋อง อย่าได้ปล่อยปีศาจตัวนี้ไป รอกระหม่อมกลับมาแล้วจะคุยกับเขาเสียหน่อย”

ซางเฉาจงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ ข้าจะเก็บไว้ให้เต้าเหยี่ย!”

จากนั้นครู่หนึ่ง หลานรั่วถิงกลับมาพร้อมถุงเงินใบหนึ่ง องครักษ์ยี่สิบนายเองก็จัดเตรียมเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายทำการวางแผนกันอยู่อีกครู่หนึ่ง จากนั้นพวกซางเฉาจงก็ออกจากวัดหนานซานไปสร้างความเคลื่อนไหวดึงดูดความสนใจตามที่หนิวโหย่วเต้าบอก ไม่เพียงแต่เพื่อดึงดูดความสนใจจากพวกชวีอู่เท่านั้น ขณะเดียวกันก็เพื่อดึงดูดความสนใจของสายสืบจากราชสำนักที่อาจจะลอบจับตามองอยู่อีกด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะอำพรางพวกหนิวโหย่วเต้าที่เดินทางออกไป

ส่วนหนิวโหย่วเต้าก็พาหยวนกังและองครักษ์ทั้งยี่สิบนายอาศัยความมืดอำพรางตัว เดินลงเขาไปอย่างเงียบเชียบ

นอกวัดหนานซาน มีกระถางไฟหลายใบ เปลวไฟลุกโชน พวกซางเฉาจงดูคล้ายว่ากำลังเผากระดาษเซ่นไหว้องครักษ์ผู้สังเวยชีวิตกันอยู่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า