ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 414

ตอนที่ 414 โน้มน้าววังเหินเวหา

ก่วนฟางอี๋ปรากฏตัวขึ้นข้างกายเขา “จะเปิดศึกแล้วหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ด้วยกำลังของสำนักหยกสวรรค์ในปัจจุบันนี้ การจะชิงหนานโจวนั้นค่อนข้างลำบาก แต่ขอเพียงได้หนานโจวมาครอง สำนักบำเพ็ญเพียรอย่างสำนักหยกสวรรค์จะยกระดับไปอีกขั้น เผิงโย่วไจ้จะกลายเป็นเจ้าสำนักที่โดดเด่นมีผลงานที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของสำนักหยกสวรรค์ เว้นแต่จะมีผู้สืบทอดรุ่นต่อไปสร้างผลงานได้ยิ่งใหญ่กว่า มิเช่นนั้นก็ยากจะปฏิเสธความดีความชอบที่เผิงโย่วไจ้สร้างไว้ได้ เกรงว่าภายหน้ามณฑลหนานโจวคงถูกทายาทรุ่นหลังของตระกูลเผิงยึดครองไปอีกนานแสนนาน สำหรับเผิงโย่วไจ้แล้วนับว่าทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและส่วนตัวด้วย! แต่สำหรับซางเฉาจงแล้ว มณฑลหนานโจวเป็นเพียงจุดตั้งต้นที่จำเป็นสำหรับการขยายอำนาจและก้าวขึ้นสู่เวทีที่ใหญ่ยิ่งกว่านี้ สำนักหยกสวรรค์ทนรอไม่ไหวแล้ว ซางเฉาจงเองก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน”

ก่วนฟางอี๋ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “เมื่อไฟสงครามปะทุขึ้นมา คนบางส่วนจะได้สมปรารถนา แต่ไม่รู้จะมีคนมากน้อยเพียงใดที่ต้องตกตายบ้านแตกสาแหรกขาด”

“ในยุคสมัยที่โลกวุ่นวายเช่นนี้ มาทอดถอนใจเรื่องนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ไปเถอะ ไปดูกัน” หนิวโหย่วเต้าชี้มือไปทางโรงหลอม จากนั้นทั้งสองก็ทะยานลงเขาไปพร้อมกัน

พอไปถึงตีนเขาก็พบพวกหยวนกังควบม้าเข้ามา หนิวโหย่วเต้ายื่นมือออกไปขวางเล็กน้อย ต้องการพาหนะสองตัว

ตอนนี้จำนวนม้าศึกในการครอบครองของซางเฉาจงมีมากมายเหลือเฟือแล้ว จึงแบ่งม้าสามสี่ร้อยตัวมาไว้ในเขาให้คนของที่นี่ได้ใช้งาน นับว่าเหมาะสำหรับพวกหยวนกังพอดี พวกหยวนกัวจึงขอรับหน้าที่ดูแลเอง ให้ลูกน้องในบังคับบัญชาได้ฝึกซ้อมบนหลังม้าในระยะยาว

คนสองคนพลิกตัวลงมาจากหลังม้า หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองหยวนต้าหู่และกู่โหย่วเหนียนเล็กน้อย สำหรับชายแขนขาพิการสองคนนี้ ในเมื่อหยวนกังเป็นคนพามา เขาจึงไม่เคยสอบถามอันใดให้มากความ

เขาและก่วนฟางอี๋เพียงต้องการพาหนะเดินทางเท่านั้น พวกเขาไม่ได้ขี้ม้าวิ่งห้อไป เพียงขี่ม้าออกจากเขาไปอย่างไม่เร่งร้อน

ชายกระโปรงของก่วนฟางอี๋พลิ้วไหว ถือพัดกลมโบกไปมาอยู่บนหลังอาชา นัยน์ตางามเหลือบซ้ายแลขวา ดูผ่อนคลายไร้กังวล

เมื่อมาถึงเขตโรงหลอมก็ทิ้งม้าไว้ให้ทหารรักษาการณ์ ส่วนทั้งสองก็เข้าไปเยี่ยมชมด้านใน มองเห็นว่ามีดาบทวนลงน้ำมันกันสนิมกองเรียงอยู่บนเกวียน ซ้ำยังมีชุดเกราะกองซ้อนกันอยู่หลายต่อหลายกอง ทั้งหมดถูกทยอยขนขึ้นเกวียนแล้วขนออกไป

ในอากาศมีกลิ่นควันไฟคละคลุ้ง มีช่างไม้กำลังประกอบเครื่องยิงหินสำหรับใช้โจมตีอยู่

ปัง! เสียงที่ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังภูเขาดึงดูดความสนใจของทั้งสองเอาไว้ ทั้งสองคนเดินไปดูว่ามันคือเสียงอะไรกันแน่

พอมาถึงด้านหลังเขา พวกเขามองเห็นเครื่องยิงหน้าไม้ตั้งเรียงไว้เป็นแถว ช่างฝีมือกำลังทดสอบประสิทธิภาพอยู่ หอกเหล็กเนื้อดีเล่มหนึ่งถูกบรรจุขึ้นราง ช่างหลายคนออกแรงดึงคันโยกที่กินแรงอย่างยิ่งเพื่อน้าวสายขึ้นศร จากนั้นช่างคนหนึ่งก็เหวี่ยงค้อนทุบลงบนกลไกสำหรับยิง เกิดเสียงปังดังสนั่น ทวนยาวพุ่งออกไปในทันใด พุ่งเข้ากระแทกไปบนเป้าที่ใช้สีทาไว้บนผนังหิน

หินแตกกระจายร่วงกราวลงมา ทวนยาวที่สั่นไหวอยู่เล็กน้อยจมเข้าไปในผนังหิน แรงโจมตีนี้ทรงพลังอย่างมากจริงๆ

เปลือกตาของก่วนฟางอี๋ที่มองดูกระตุก เอ่ยขึ้นว่า “ในยามที่ทัพใหญ่ออกศึก สิ่งนี้เป็นภัยคุกคามต่อผู้บำเพ็ญเพียรมากที่สุด ผู้บำเพ็ญเพียรที่สภาวะต่ำกว่าโอสถทองลงไปไม่มีทางทนรับไหว”

….

เมืองหลวงแคว้นเยี่ยนก็อบอวลไปด้วยบรรยากาศยามสิ้นปีเช่นกัน ไม่ว่าจะยากดีมีจนล้วนต้องส่งท้ายปีนี้กันทั้งสิ้น

ณ จวนเจ้ากรมโยธา โจวโส่วเสียนผู้ว่าการมณฑลหนานโจวคุกเข่าก้มหัวหน้าผากแนบติดพื้น ร้องสะอึกสะอื้นหันหน้าไปทางเจ้ากรมโยธาถงโม่ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน

เดิมทีเขานั่งรถม้านำของขวัญมาอวยพรวันสิ้นปี แต่พอเอ่ยถึงเรื่องทุกข์ยากที่ประสบก็อดไม่ได้ที่จะร่ำไห้ออกมา

ถงโม่ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “โจวซยง อย่าทำแบบนี้เลย รีบลุกขึ้นมาเถิด”

โจวโส่วเสียนเงยหน้าขึ้นมา สะอึกสะอื้นพลางชี้ออกไปนอกประตู “ท่านเจ้ากรม ห้าจังหวัดตอนล่างของมณฑลหนานโจวมีการกักตุนอาวุธหญ้าแห้งและเสบียงกรังปริมาณมหาศาลไว้ ฝึกม้าฝึกทหารทั้งวี่วัน มีการลับดาบขึ้นสายธนูเตรียมพร้อมจะเข้าโจมตียึดมณฑลหนานโจวตอนบนได้ทุกเมื่อ ข้าน้อยต้องอกสั่นขวัญผวาอยู่ทุกวันราวกับเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ หากราชสำนักไม่ส่งกำลังทหารไปช่วยเหลืออีก เกรงว่าคงสายเกินแก้!”

ที่ต้องมาขอร้องถึงที่นี่ก็เพราะว่าหมดหนทางแล้ว ก่อนจะมาที่นี่เขาได้เดินไปวังหลวงมาก่อน อ้อนวอนขอร้ององค์ฮ่องเต้มาก่อนแล้ว ทว่าเห็นได้ชัดว่าองค์ฮ่องเต้พะวงว่าหากเกิดศึกใหญ่ภายในแคว้นเยี่ยนขึ้นมาแล้วจะถูกศัตรูภายนอกฉวยโอกาสเข้ารุกราน เมื่อถึงเวลานั้นทั้งแคว้นเยี่ยนจะตกอยู่ในอันตราย จึงลังเลไม่กล้าตัดสินใจมาตลอด

บุตรีเขาคือพระสนมที่ได้รับความโปรดปรานจากองค์ฮ่องเต้ ที่เขากลายเป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจวได้ เป็นเพราะบุตรสาวของเขาลงทุนลงแรงไปไม่น้อย แต่ครั้งนี้บุตรสาวเขาช่วยเขาโน้มน้าวฝ่าบาทให้ส่งทหารไปช่วยเหลือหลายครั้งจนทำให้องค์ฮ่องเต้โมโห แม้แต่หน้าขององค์ฮ่องเต้ก็ไม่ได้พบมาหลายวันแล้ว

สำหรับเขาแล้ว ตอนนี้ตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลหนานโจวเป็นเสมือนกองไฟที่กำลังจะแผดเผาเขา

ถงโม่ทราบดีว่าสถานการณ์วิกฤตแล้ว ทว่ายังคงเอ่ยปลอบไปว่า “โจวซยง เรื่องไม่ได้หนักหนาอย่างที่เจ้าคิดหรอก มีวังเหินเวหา วิมานม่วงทองและสำนักเขากระบี่วิญญาณคอยข่มไว้ ห้าจังหวัดตอนล่างของมณฑลหนานโจวไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือแน่”

โจวโส่วเสียนกล่าวว่า “หากสามารถมอบผลประโยชน์มหาศาลได้ สามสำนักใหญ่ก็อาจจะยอมปล่อยผ่านก็ได้!”

ถงโม่เอ่ยว่า “เจ้าวางใจเถอะ ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือว่าฝ่าบาทล้วนไม่มีทางนั่งดูดาย ข้าจะไปเจรจากับทางสามสำนักใหญ่ให้เอง”

….

ณ วังเหินเวหาที่อยู่บนเขาสูงอบอวลด้วยไอหมอก เมื่อทอดสายตามองจากที่ไกลๆ แล้วดูราวกับแดนเซียน

ณ เชิงเขาของวังเหินเวหา ม้าหลายสิบตัวควบทะยานออกมาจากเขา วิ่งไปตามถนนหลวงจนกระทั่งห่างออกไปไกล

ขบวนม้านี้คือสองสำนักใหญ่ที่ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังมณฑลหนานโจว เป็นคนจากสำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่อง วันสิ้นปีใกล้เข้ามาแล้ว นับเป็นช่วงเวลาสำหรับส่งส่วยให้วังเหินเวหาพอดี จินอู๋กวงเจ้าสำนักจิตกระจ่างและเฉาอวี้เอ๋อร์เจ้าสำนักหอบุปผาล่องพาคนเดินทางมาส่งมอบให้ด้วยตัวเอง

ช่วยไม่ได้จริงๆ วังเหินเวหา วิมานม่วงทองและเขากระบี่วิญญาณเป็นสามสำนักที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นเยี่ยน อิทธิพลปกคลุมอยู่เหนือแคว้นเยี่ยน แคว้นเยี่ยนทั้งแคว้นคือเขตอิทธิพลของสามสำนักนี้ สำนักบำเพ็ญเพียรทั้งหมดในแคว้นเยี่ยนล้วนใช้ชีวิตอยู่ในขอบเขตอิทธิพลของสามสำนักนี้ หากคิดจะครอบครองเขตใดเขตหนึ่ง หากไม่ได้รับอนุญาตจากสามสำนักนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้

สำนักบำเพ็ญเพียรที่อยู่ในขอบเขตพื้นที่แคว้นเยี่ยนล้วนต้องส่งส่วยให้สามสำนักใหญ่ มิเช่นนั้นอาจตกอยู่ในอันตราย ถูกทำลายล้างสำนัก

มิใช่แค่ในแคว้นเยี่ยนเท่านั้น แต่สถานการณ์ในเจ็ดแคว้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ ในทุกแคว้นจะมีสำนักที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่สองสามสำนัก มีตำแหน่งอยู่ภายในหอเลือนสลัว เสพสุขกับส่วยที่ได้รับจากสำนักบำเพ็ญเพียรอื่นๆ ที่อยู่ในเขตอิทธิพลของตน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า