ตอนที่ 418 เร่งจบศึกโดยเร็ว
ความเห็นหรือ? ภายในบริเวณนั้นเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดปริปากเลย
จู่ๆ ทางฝั่งราชสำนักก็ปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น สำนักหยกสวรรค์และเฟิ่งหลิงปอต่างทราบกันมาก่อนแล้ว พวกเขาเคยหารือเรื่องนี้กันมาก่อนแล้วด้วย อันที่จริงครั้งนี้พวกเขาตั้งใจมาพูดให้พวกซางเฉาจงฟัง เพราะพวกเหมยหลินเซิ่งทั้งสามต่างแยกย้ายกลับไปเฝ้าฐานทัพของตนแล้ว
เดิมทีเฟิ่งหลิงปอรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องบอกให้รู้เลย เป็นเผิงโย่วไจ้ที่ยืนกรานให้บอกไป เผิงโย่วไจ้ต้องการฟังความเห็นจากซางเฉาจง หากพูดให้ถูกก็คืออยากฟังความเห็นจากเหมิงซานหมิง
เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง เอาแค่ในเรื่องของการรบแล้ว เผิงโย่วไจ้ทราบถึงความสามารถของเหมิงซานหมิงดี กิตติศัพท์ด้านการรบในกาลก่อนของคนผู้นี้ไม่จำเป็นต้องยกมากล่าวอีก สรุปคือไม่ว่าจะเป็นศึกเล็กหรือศึกใหญ่ อีกฝ่ายล้วนเคยประสบมาอย่างโชกโชน โดยเฉพาะในบรรดาคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ มีเพียงเหมิงซานหมิงเท่านั้นที่เคยมีประสบการณ์บัญชากองทัพใหญ่ขนาดนี้เพื่อออกศึก การให้เฟิ่งหลิงปอนำทัพ แม้แต่เผิงโย่วไจ้เองก็ไม่มีความมั่นใจเช่นกัน
แต่เรื่องนี้กลับทำให้เฟิ่งหลิงปอรู้สึกค่อนข้างอึดอัด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้บัญชาการหลักของศึกนี้ อีกอย่างอีกฝ่ายก็หาใช่คนโง่ไม่ รังแกอีกฝ่ายถึงขนาดนี้แล้วยังอยากได้ความเห็นจากอีกฝ่ายอีก ไม่กลัวจะถูกอีกฝ่ายหลอกเอาหรือ?
แต่ไม่ว่าจะเป็นซางเฉาจง หลานรั่วถิงหรือว่าเหมิงซางหมิงก็ล้วนแต่ไม่มีผู้ใดปริปากเลย
บรรยากาศตอนนี้กระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายยังคงเป็นเผิงโย่วไจ้ที่ยิ้มละไมพลางเอ่ยไปว่า “แม่ทัพเหมิง ท่านเป็นยอดขุนพล พอจะมีความเห็นอันใดชี้แนะหรือไม่?”
เหมิงซานหมิงเอ่ยว่า “ชมเกินไปแล้ว หากยอดเยี่ยมอย่างที่เจ้าสำนักเผิงชมจริงๆ ไหนเลยจะถูกคนทุบตีจนพิการนั่งรถเข็นเช่นนี้”
เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “ทุกคนต่างทราบสาเหตุที่ทำให้แม่ทัพเหมิงต้องพิการดี แต่ก็หาได้กระทบต่อความปราดเปรื่องของแม่ทัพเหมิงไม่ หากว่ากันในแง่ของการรบแล้ว ทุกคนในที่นี้ล้วนอ่อนประสบการณ์กว่าท่านทั้งสิ้น ความเห็นและประสบการณ์ของท่านมีคุณค่าต่อพวกเขามากนัก! หากศึกนี้มีชัยล้วนจะเป็นผลดีต่อทุกคน ท่านว่าใช่หรือไม่?” วาจาแฝงเจตนาข่มขู่ไว้
เหมิงซานหมิงตอบอย่างสุขุมว่า “ไม่ว่าราชสำนักจะส่งกำลังเสริมมาหรือไม่ ข้าก็อยากถามเพียงประโยคเดียว จะสู้หรือไม่สู้?”
เผิงโย่วไจ้ตอบอย่างผ่าเผยว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ธนูขึ้นสายแล้ว อย่างไรก็ต้องยิง”
เขาไม่เหลือทางถอยแล้ว ขอร้องสามสำนักใหญ่จนได้รับความยินยอมแล้ว หากถอยในเวลานี้ ไม่ว่าราชสำนักจะฉวยโอกาสเข้าโจมตีหรือไม่ แต่สามสำนักใหญ่คงต้องหน่ายแหนงสำนักหยกสวรรค์แน่นอน คิดจะล้อพวกเราเล่นอย่างนั้นหรือ? หากทำไม่ได้จะแส่หาเรื่องทำไม?
เหมิงซานหมิงกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็สู้เถอะ!” เขาเหลือบมองไปทางเผิงโย่วไจ้ ท่าทีนั้นคล้ายกำลังบอกว่าก็ให้เฟิ่งหลิงปอบัญชาทัพเอาเองสิ
เผิงโย่วไจ้ถามเขาไปตรงๆ ว่า “แม่ทัพเหมิงคิดว่าควรสู้อย่างไร?”
เหมิงซานหมิงกลับหันไปถามเฟิ่งหลิงปอ “ท่านผู้ว่าการเตรียมจะสู้อย่างไร?”
เฟิ่งหลิงปอสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง พออยู่ต่อหน้าผู้ทรงความสามารถด้านการบัญชาทัพคนนี้ ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรเช่นกัน แต่สุดท้ายยังคงหันหลังกลับไปบอกให้ลูกชายสองคนถอยออกไป ส่วนตัวเองเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าแผนที่ที่แขวนเอาไว้ ชี้พลางเอ่ยว่า “เมื่อพิจารณาจากข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับมา โจวโส่วเสียนได้ส่งไพร่พลไปประจำในแถบภูเขาทิศเหนือแล้ว ต้องการจะสกัดกองทัพใหญ่ของพวกเรา ทางทัพเราควรจะส่งไพร่พลส่วนหนึ่งไปแสร้งโจมตีหลอกล่อความสนใจของทัพหลักของศัตรู จากนั้นค่อยส่งกำลังทหารแยกเป็นสองทางเข้าโจมตีขนาบภูเขาเขตเหนือทั้งสองฝั่งซ้ายขวา…”
กล่าวยังไม่ทันจบ เหมิงซานหมิงก็ทนฟังต่อไปไม่ไหว โบกมือพลางเอ่ยว่า “ผู้ว่าการเตรียมจะนำทัพเข้าปะทะกับโจวโส่วเสียนที่แถวภูเขาทิศเหนือหรือ?”
เฟิ่งหลิงปอพยักหน้ารับ “ถูกต้อง หลอกล่อความสนใจทัพหลักฝ่ายศัตรู จากนั้นเข้าต่อสู้ตัดสินกับโจวโส่วเสียนที่ภูเขาแถบเหนือ ด้วยข้อได้เปรียบด้านระยะห่างจะทำให้ทางฝั่งเราสามารถใช้กลยุทธ์รอโจมตียามศัตรูอ่อนแรงได้ กว่าทัพหลักของศัตรูจะตามมาเสริมกำลังก็คงอ่อนล้ากันแล้ว สามารถเผด็จศึกในคราวเดียวได้…”
เหมิงซานหมิงเอ่ยขัดอีกครั้ง “หากว่าทัพหลักของศัตรูไม่มาช่วยจะทำอย่างไร?”
เฟิ่งหลิงปอกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราก็จะฉวยโอกาสกวาดล้างไพร่พลที่ภูเขาแถบเหนือเสีย อาศัยภูมิประเทศภูเขาแถบเหนือที่เหมาะทั้งรุกโจมตีและถอยเพื่อป้องกัน หากโจวโส่วเสียนไม่มาช่วยก็เท่ากับประเคนภูเขาแถบเหนืออันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญให้พวกเรา”
เหมิงซานหมิงถาม “เช่นนั้นผู้ว่าการวางแผนจะจบสงครามนี้ลงเมื่อใด?”
เฟิ่งหลิงปอกล่าวว่า “ไหนเลยจะกำหนดช่วงเวลาสิ้นสุดสงครามได้ตั้งแต่ตอนนี้? ขอเพียงมีชัยในศึกแรกได้ ขวัญและกำลังใจของทัพเราจะเพิ่มพูนมหาศาล แล้วก็จะเป็นการฉวยโอกาสซื้อเวลาให้กองทัพด้วย รอสังเกตความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และเคลื่อนทัพไปตามสถานการณ์ได้ แม่ทัพเหมิงผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน พอจะกำหนดได้หรือไม่ว่าศึกนี้จะจบลงเมื่อใด?”
พวกเผิงโย่วไจ้ได้ฟังก็มองไปทางเหมิงซานหมิง
เหมิงซานหมิงเอ่ยว่า “หากข้าเป็นโจวโส่วเสียน ท่านก็สู้ของท่านไป ข้าก็สู้ของข้าไป ผู้ว่าการไม่กล้าชักไฟสงครามให้ลามไปถึงมณฑลข้างเคียง มิเช่นนั้นจะต้องเผชิญศึกหลายด้าน อีกทั้งมณฑลในแถบใกล้เคียงนอกจากมณฑลจิวโจวแล้ว ที่เหลือล้วนอยู่ในการปกครองของแคว้นเยี่ยน อาศัยเพียงจุดนี้ข้าก็สามารถลัดผ่านมณฑลข้างเคียงหรือถอยทัพเข้าสู่มณฑลข้างเคียงได้ แล้วก็สามารถเข้าโจมตีจากเขตพรมแดนทั้งเหนือใต้ของมณฑลหนานโจวได้ตามต้องการ ท่านบุกมา ข้าล่าถอย จากนั้นค่อยสลับไปโจมตีจากทางอื่น ข้าไม่จำเป็นต้องเข้าปะทะตรงๆ ให้แพ้ท่านเลย ทรัพยากรสำหรับทำศึกของท่านมีจำกัด ลำพังเพียงมณฑลหนานโจวไม่มีทางเทียบกับแคว้นเยี่ยนทั้งแคว้นได้ กระทั่งทรัพยากรและเรี่ยวแรงของทางท่านร่อยหรอแล้ว ถึงท่านไม่สู้ก็ต้องแพ้อยู่ดี ข้าจะเสี่ยงเข้าปะทะกับท่านไปไยเล่า? ถ่วงเวลาให้ท่านสิ้นท่าไปเองก็พอแล้ว!”
เมื่อเขากล่าวไปเช่นนี้ เผิงโย่วไจ้ก็รู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมา หากโจวโส่วเสียนใช้วิธีนี้ล่ะก็ เขาก็รับมือไม่ไหวจริงๆ ลำพังวิธีนี้ก็เพียงพอจะบั่นทอนกำลังของห้าจังหวัดของทางฝั่งนี้ให้สิ้นท่าได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นสำนักหยกสวรรค์ก็จะสู้อะไรอีก ฝันอันงดงามทั้งหมดที่วาดไว้ล้วนแต่จะกลายเป็นความว่างเปล่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า