ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 419

ตอนที่ 419 สถานการณ์อยู่ในการควบคุม

ฟ้าสว่างขึ้นมาเล็กน้อย ขบวนเดินทางที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมกลุ่มหนึ่งควบม้าผ่านไร่นา ตัดตรงเข้าสู่ถนนหลวง เข้าสู่ถนนหลวงแล้วหลบหนีต่อไป

โจวโส่วเสียนที่นั่งบนหลังม้าสีหน้าหมองคล้ำ เหลียวมองดูสถานการณ์ของไพร่พลรอบข้างเล็กน้อย ทั้งคนทั้งม้าต่างอ่อนล้ากันหมดแล้ว

จินอู๋กวงเจ้าสำนักจิตกระจ่างและเฉาอวี้เอ๋อร์เจ้าหอบุปผาล่องต่างมีสีหน้าตึงเครียด สีหน้าค่อนข้างดูแย่

นี่เพิ่งจะเพียงไปไม่กี่วันเอง แต่กระบวนทัพกลับแตกกระเจิงไปหมดแล้ว ศึกครานี้นับว่าแตกพ่ายอย่างสิ้นเชิง อลหม่านจนไม่อาจบัญชาการทัพได้

ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าห้าจังหวัดตอนล่างจะไม่สนใจความเป็นความตายของไพร่พลหลายแสนชีวิตเลย กองทหารม้าจำนวนมหาศาลที่นำทัพโดยกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญรุกเข้าโจมตีโจวโส่วเสียนเพียงอย่างเดียว สำนักหยกสวรรค์ สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสก็ระดมผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มใหญ่คอยทำงานประสานกัน

เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายระดมกำลังผู้บำเพ็ญเพียรมามากมายปานนั้น โจวโส่วเสียนก็ทำได้เพียงล่าถอยหลบเลี่ยงการโจมตีชั่วคราว ทว่าการที่อีกฝ่ายเป็นกองทหารม้าแทบทั้งหมด ทำให้ทางนี้จำเป็นต้องสั่งการให้ไพร่พลฝ่ายตนเข้าสกัดขัดขวาง ส่วนโจวโส่วเสียนก็นำกองทหารกลุ่มเล็กๆ ล่าถอยไปก่อน

ระหว่างที่เร่งเดินทางล่าถอยอยู่ก็ได้รับข่าวร้าย ไพร่พลหนึ่งแสนนายที่ส่งไปขัดขวางแตกพ่ายแล้ว

ผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักศิษย์กระจ่างและหอบุปผาล่องก็ไม่สามารถสกัดการโจมตีประสานของทางสี่สำนักได้ เกิดความเสียหายบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ต้านไว้ไม่อยู่จริงๆ ผู้บำเพ็ญเพียรของสองสำนักที่รอดชีวิตมาได้ก็ถูกบีบให้ต้องหลบหนีไปคนละทิศละทาง

ทางฝั่งสำนักหยกสวรรค์และสามสำนักก็ไม่ได้ตามไล่ล่าผู้บำเพ็ญเพียรของสองสำนักเช่นกัน แต่ติดตามกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญไป ประสานงานกับทัพใหญ่ ตามไล่ล่าโจวโส่วเสียนต่อ

ยามนี้โจวโส่วเสียนนึกเสียใจขึ้นมาอย่างสุดซึ้งแล้ว นึกเสียใจว่าไม่ควรส่งทัพใหญ่ไปอยู่แนวหน้า นึกเสียใจว่าไม่ควรซ่อนตัวอยู่ในแนวหลังของทัพใหญ่เลย ฝ่ายศัตรูรุกเข้าโจมตีอย่างฮึกเหิมในทันทีทันใด ทำให้ต้องสั่งเคลื่อนพลกองทัพใหญ่ที่ก่อนหน้านี้เขาให้จัดแนวป้องกันซ้อนกันเป็นชั้นๆ กลับมาช่วยสนับสนุน ทว่ากองทัพฝ่ายศัตรูที่ไล่ตามหลังมากลับฉวยโอกาสจากสถานการณ์ เข้าปล้นชิงวางเพลิง เผาทำลายสัมภาระของกองทัพรักษาการณ์ไปตลอดทาง

กว่าเขาจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น กว่าจะเข้าใจแผนการของฝ่ายศัตรู มันก็สายไปแล้ว!

สงครามเพิ่งเริ่มเปิดฉาก ทว่าเสบียงกรังหญ้าแห้งของไพร่พลหลายแสนชีวิตกลับเหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว ช่างน่าตลกสิ้นดี แล้วศึกนี้ยังจะสู้ต่อไปได้อย่างไร? หลังจากนี้ยังต้องสู้อยู่อีกหรือ?

แต่จะว่าไปแล้ว เขาก็ไม่ได้วางแผนจะทำศึกแลกชีวิตกับฝ่ายศัตรูมาตั้งแต่แรกแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ไปซ่อนตัวอยู่ในแนวหลังของกองทัพ ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะคิดว่าซ่อนตัวอยู่ในแนวหลังของกองทัพจะปลอดภัยกว่าและล่าถอยหลบหนีได้ง่ายกว่ามิใช่หรือ ผลลัพธ์คือปลอดภัยจริงๆ แต่ย่ำแย่ตรงที่ทัพฝ่ายศัตรูเลือกใช้กลยุทธ์นี้ เขาไม่เคยเห็นกลยุทธ์โจมตีเช่นนี้มาก่อนเลย ไพร่พลหลายแสนชีวิตของทัพฝ่ายศัตรูรุกเข้าโจมตีโดยทิ้งสัมภาระหนักๆ เอาไว้ แม้แต่เสบียงกรังก็ไม่พกติดตัวเลย มีผู้ใดเคยเห็นทัพใหญ่หลายแสนชีวิตออกศึกโดยไม่พกเสบียงกรังบ้างเล่า? ทำเช่นนี้ไม่ต่างกับการนำชีวิตของไพร่พลหลายแสนนายมาล้อเล่นเลย

แต่สถานการณ์ได้พิสูจน์แล้วว่านี่ไม่ใช่การนำชีวิตมาล้อเล่น หากแต่มีคนเพ่งเล็งไปที่แนวป้องกันของเขา โจมตีเข้าที่จุดอ่อนของเขาอย่างดุดันและแม่นยำ ทำให้ตัวเขานึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมา!

จินอู๋กวงและเฉาอวี้เอ๋อร์ที่มีสีหน้ามืดมนยังคงจดจำพูดที่โจวโส่วเสียนกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ได้ เขาพูดจาทำนองว่าศึกครานี้ไม่มุ่งหมายชัยชนะ ขอเพียงสามารถยับยั้งคานกำลังกับทัพศัตรูได้ก็เท่ากับพวกเราชนะแล้ว ส่วนที่เหลือฝ่าบาทจะไปตกลงกับสามสำนักใหญ่เอง อิทธิพลของราชสำนักก็สร้างแรงกดดันให้สามสำนักใหญ่ได้เช่นกัน ไม่มีทางที่จะถ่วงรั้งแคว้นเยี่ยนทั้งแคว้นเอาไว้เพื่อสำนักหยกสวรรค์ที่เข้ายึดครองมณฑลหนานโจวไม่ได้เสียที เมื่อถึงเวลานั้นความตายจะมาเยือนสำนักหยกสวรรค์เอง

ในยามนั้นทั้งสองยังคงมีความมั่นใจอยู่ แต่ผลลัพธ์ในตอนนี้เล่า สงครามเพิ่งเปิดฉากไม่ได้นานก็อลหม่านเสียท่าอย่างสิ้นเชิงแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ดูเหมือนจะยื้อคานกำลังกับศัตรูได้หรือ?

ปีกทองตัวหนึ่งร่อนลงมาท่ามกลางแสงอาทิตย์ยายมเช้า ไม่นานนักแม่ทัพคนหนึ่งก็เร่งม้าเข้ามา รายงานโจวโส่วเสียนว่า “ใต้เท้า สายข่าวแจ้งว่าทัพศัตรูอ่อนล้าหมดแรง หยุดการตามไล่ล่าเพื่อพักผ่อนแล้วขอรับ”

เฉาอวี้เอ๋อร์จับสายรัดเอวที่ถูกลมพัดปลิวสะบัดยุ่งเหยิงแล้วเอ่ยกับโจวโส่วเสียนว่า “มีระยะห่างระวังทัพฝ่ายศัตรูกับฝั่งเราแล้ว น่าจะไล่ตามพวกเราให้ทันได้ในระยะเวลาสั้นๆ ทางเราก็เหนื่อยล้าอ่อนแรงเช่นกัน พักผ่อนกันสักหน่อยเถิด”

โจวโส่วเสียนเอ่ยถามแม่ทัพคนนั้นทันที “อีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงติ้งโจว?”

แม่ทัพตอบว่า “ราวแปดสิบลี้ขอรับ”

โจวโส่วเสียนตะโกนบอกทุกคนว่า “ใกล้จะถึงติ้งโจวแล้ว ทุกคนแข็งใจอีกหน่อยเถิด หากไปถึงติ้งโจวก็ปลอดภัยแล้ว ศัตรูไม่กล้าบุกเข้าสู่ติ้งโจวแน่นอน”

ด้วยเหตุนี้ขบวนม้าที่เหนื่อยล้าอ่อนแรงจึงเดินทางต่อไป แต่ความเร็วในการเดินทางเชื่องช้า กว่าจะไปถึงเขตติ้งโจวก็เข้าช่วงพลบค่ำแล้ว

ทางติ้งโจวจัดกำลังคอยเฝ้าตามแถบพรมแดนแล้ว พอได้ข่าวว่าโจวโส่วเสียนมา เซวียเซียวผู้ว่าการมณฑลติ้งโจวก็รุดมาต้อนรับด้วยตัวเอง สองผู้ว่าการลงจากหลังม้าเดินเข้ามาพบกับ

เซวียเซียวคว้าแขนเขาเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “โจวซยง ไฉนจึงล่าถอยเข้าสู่ติ้งโจวของข้าเร็วขนาดนี้?”

โจวโส่วเสียนอับอายจนไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามอย่างไรดี

เซวียเซียวถามอย่างร้อนใจอีกครั้ง “โจวซยง แล้วทัพทหารสองแสนนายของติ้งโจวที่ข้าลอบส่งไปช่วยสนับสนุนอยู่ไหล่ะ?”

โจวโส่วเสียนหันกลับไปมองไพร่พลที่ติดตามตนมา พาทหารกลับมาด้วยเพียงสามพันนาย ทหารที่ติดตามมามีแค่กองทหารม้าอารักขาในกองทัพเท่านั้น ซ้ำแต่ละคนยังมีสภาพอ่อนล้าและหมดสภาพ ส่วนไพร่พลที่เหลือถูกเขาทิ้งไว้คอยสกัดกั้นทัพสัตรูที่ไล่ตามมา เกรงว่าคงยากจะหนีรอดมาได้

เซวียเซียวถามด้วยความตะลึง “โจวซยง นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเอง ไพร่พลแปดแสนคนเชียวนะ ท่านอย่าบอกข้าเชียวนะว่าถูกโจมตีจนแตกพ่ายไปเร็วถึงเพียงนี้? ต่อให้เป็นทหารโง่เง่าแปดแสนคนก็ไม่มีทางถูกทัพศัตรูกวาดล้างได้เร็วขนาดนี้หรือเปล่า?”

โจวโส่วเสียนกล่าวว่า “ตามหลักแล้วไพร่พลแปดแสนคนน่าจะยังอยู่…” เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรต่อไปดี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า