ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 420

ตอนที่ 420 ปลิดชีพตัวเอง

เผิงโย่วไจ้หันไปมองเฟิ่งหลิงปอที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นโบกมือสื่อให้คนอื่นถอยไปแล้วเอ่ยกับเฟิ่งหลิงปอว่า “หลังจบศึกนี้ไม่อาจเก็บคนผู้นี้ไว้ได้อีก คิดหาทางจัดการซะ”

เฟิ่งหลิงปอไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงสอบถามไปอย่างนอบน้อม “ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไร?”

เผิงโย่วไจ้พยักเพยิดหน้าไปทางกลุ่มคนที่ห่างออกไปไกลแล้ว

เฟิ่งหลิงปอถามหยั่งเชิง “เหมิงซานหมิงหรือขอรับ?”

เผิงโย่วไจ้พยักเล็กน้อย

เฟิ่งหลิงปอพลันกังวลขึ้นมา ถามออกไปว่า “เพราะเหตุใดขอรับ?”

เผิงโย่วไจ้เอ่ยว่า “ชื่อเสียงเลื่องลือย่อมมิใช่คนไร้ความสามารถ เจ้าเองก็ได้ประจักษ์แล้ว คนผู้นี้เก่งกาจจริงๆ หากเขายังมีชีวิตอยู่ ต่อให้เราควบคุมซางเฉาจงเอาไว้ได้ เขาก็ยังช่วยสนับสนุนให้ซางเฉาจงพลิกสถานการณ์ได้อยู่ดี ดังนั้นระหว่างเขาและซางเฉาจง จะมีคนรอดได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เจ้าจะเลือกผู้ใดเล่า?”

เฟิ่งหลิงปอเข้าใจเจตนาของเขาแล้ว ไม่ว่าจะพูดกันอย่างไ รซางเฉาจงก็เป็นลูกเขยของเขา ถึงแม้เรื่องที่เขากระทำจะไม่เป็นผลดีต่อซางเฉาจง แต่หากว่าไม่จำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่อยากจะเอาชีวิตของซางเฉาจงเลย ภายใต้สถานการณ์ที่มีเงื่อนไข เขายังคงต้องพิจารณาถึงทางบุตรสาวบ้างไม่มากก็น้อย การตัดกำลังเสริมของซางเฉาจงจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

หากว่าแม้แต่บุตรเขยของตนก็ยังเอาชีวิตได้ง่ายๆ ล่ะก็ แล้วจะให้คนอื่นๆ มองเขาอย่างไร?

ถ้าให้เขาเลือก เขาย่อมต้องเลือกให้ซางเฉาจงรอด

“จัดการเขาอย่างเงียบๆ อย่าให้ปรากฏพิรุธใดๆ ขึ้น” เผิงโย่วไจ้เหลือบมองพลางเอ่ยกำชับ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

เฟิ่งหลิงปอค้อมกายน้อมส่ง จากนั้นก็หันกลับไปมองคนบนรถเข็นที่อยู่ไกลออกไป ทำได้เพียงทอดถอนใจอยู่ภายในใจ

เขาเองก็ไม่คิดเช่นกันว่าสุดท้ายแล้วยอดขุนพลเลื่องชื่ออย่างเหมิงซานหมิงจะต้องจบชีวิตลงด้วยฝีมือเขา ถึงแม้จะอดสะท้อนใจไม่ได้ แต่เขาก็ไม่คิดจะใจอ่อนอยู่ดี คำพูดบางส่วนของพ่อตามีเหตุผล เหมิงซานหมิงเป็นบุคคลที่ก่อให้เกิดผลกระทบได้แน่นอน เป็นแขนขาของซางเฉาจง

…..

ริมทะเลสาบ เหมิงซานหมิงยกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย หลัวอันหมุนล้อเข็นให้หันเข้าหาทะเลสาบสีคราม

ขุนเขาที่อยู่ไกลออกไปถูกปกคลุมด้วยแสงอาทิตย์ยามอัสดง เหมิงซานหมิงทอดสายตามองออกไกลๆ อย่างสงบลุ่มลึก จอนผมหงอกสีขาวที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดงยิ่งขับเน้นให้ดูหงอยเหงา เขานิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน ไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่

พวกซางเฉาจงสบตากัน ซางซูชิงเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างรถเข็น เอ่ยขึ้นว่า “ท่านลุงเหมิง ท่านไม่ได้พักผ่อนมานานมากแล้ว กลับไปพักเถอะเจ้าค่ะ”

เหมิงซานหมิงได้สติกลับมา เงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองนาง มองดูใบหน้าของนาง พลันเอ่ยขึ้นอย่างเศร้าๆ ว่า “ยังไม่ได้เห็นท่านหญิงออกเรือนเลย ท่านหญิง ท่านก็อายุไม่น้อยแล้ว สมควรจะแต่งกับใครสักคนได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ คาดว่านี่คงเป็นเรื่องที่ท่านอ๋องผู้ล่วงลับไปอยากจะเห็นเช่นกัน”

ซางซูชิงย่อตัวลงนั่งยองอยู่ๆ ข้างรถเข็น เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ชิงเอ๋อร์เคยชินกับการอยู่คนเดียวมานานแล้ว มีความสุขดี ชิงเอ๋อร์ไม่อยากออกเรือนเจ้าค่ะ”

เหมิงซานหมิงลูบศีรษะนางด้วยความเอ็นดู ดวงตาฉายแววรักใคร่ทะลุถนอม “เด็กโง่ สตรีจะไม่ออกเรือนได้อย่างไรกัน อยากจมอยู่กับความเสียใจไปชั่วชีวิตอย่างนั้นหรือ? กระหม่อมเข้าใจความคิดของพระองค์ดี ในอนาคตหากได้พบเต้าเหยี่ยอีกก็ลองถามเต้าเหยี่ยดู ดูว่าเขาพอจะมีวิธีการใดบ้างหรือไม่ ปานบนใบหน้าของพระองค์ถูกประทับไว้โดยอาจารย์ตงกัว เขาคือลูกศิษย์ของอาจารย์ตงกัว ทั้งยังมาจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ด้วย บางทีเขาอาจจะมีวิธีช่วยแก้ไขให้พระองค์ก็เป็นได้”

ซางซูชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุงเหมิง ไม่จำเป็นจริงๆ เจ้าค่ะ แบบนี้ดีมากแล้วจริงๆ หรือท่านลุงเหมิงต้องการให้ชิงเอ๋อร์แต่งกับชายที่มองคนจากรูปลักษณ์ภายนอกเจ้าคะ?”

ดวงตาของเหมิงซานหมิงทอแววรักใคร่เอ็นดู “สาวน้อย พระองค์จงจำไว้ ขอเพียงมีจิตใจซื่อตรง ถึงจะเป็นคนที่มองคนจากรูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่ได้เลวร้ายอันใด นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ จะเป็นความผิดไปได้อย่างไร? อีกอย่าง สตรีคนใดบ้างจะไม่รักสวยรักงาม หลายปีมานี้ท่านทุกข์ทนมามากแล้วจริงๆ สาวน้อยโง่งมของพวกเราคือสมบัติล้ำค่า ผู้ใดได้ครอบครองนับเป็นวาสนาของคนผู้นั้น จนใจที่มนุษย์โลกมีตาแต่ไร้แวว ไม่รู้จริงๆ ว่าการที่ตอนนั้นอาจารย์ตงกัวประทับปานอัปลักษณ์นี้ไว้บนหน้าท่านถือเป็นการช่วยท่านหรือเป็นการทำร้ายท่านกันแน่”

….

กองทัพใหญ่หลั่งไหลมาจากหลายทิศทาง ปิดล้อมเมืองเอาไว้

ในขบวนทัพมีธงที่เขียนว่า ‘อู๋’ ถูกยกเชิดไว้ อู๋เทียนตั้งในชุดเกราะวาววับถูกห้อมล้อมด้วยธง

ทหารรักษาการณ์บนกำแพงเมืองตัวสั่นขวัญผวา

อู๋เทียนตั้งหยุดม้าอยู่นอกเมือง ประกาศศักดาด้วยการชักกระบี่ออกมาจากฝัก ชี้เล็งไปทางกำแพงเมือง ตะโกนกร้าวดังสนั่น “แม่ทัพรักษาการณ์บนกำแพงเมืองจงฟัง เร่งเปิดประตูยอมจำนนเดี๋ยวนี้ ผู้ใดยอมจำนน เรื่องที่ผ่านมาก็นับว่าแล้วกันไป หากดึงดันขัดขืนจนถึงที่สุด ทันทีที่ตีเมืองแตก จะกวาดล้างสังหารไม่มีเว้น!”

รออยู่ครู่หนึ่งก็มีตะกร้าแขวนถูกหย่อนลงมาจากกำแพงเมือง ส่งคนผู้หนึ่งออกมาเจรจา

หนึ่งชั่วยามให้หลัง ประตูเมืองเปิดกว้าง แม่ทัพรักษาการณ์ถอดเกราะเดินเปลือยท่อนบนออกมาโดยสะพายกิ่งหนามไว้บนหลัง แบกกิ่งหนามมายอมจำนน

อู๋เทียนตั้งตอบรับการยอมจำนน ทัพใหญ่เคลื่อนพลเข้าสู่เมือง เข้ายึดครองทั้งเมืองอย่างเป็นทางการ

แรกเริ่มประชาชนในเมืองหวาดกลัวสุดขีด แต่เมื่อเห็นว่าไม่ได้เข้ามาระรานประชาชนถึงได้ค่อยๆ เบาใจลง

สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้ ปรากฏขึ้นซ้ำๆ ในเขตต่างๆ ของหกจังหวัดตอนบนในมณฑลหนานโจว

….

ณ วังหลวงในเมืองหลวงแคว้นเยี่ยน โคมไฟส่องสว่าง ภายในตำหนักใหญ่โอ่อ่า บุรุษผมสีดอกเลาในชุดคลุมสีเหลืองปล่อยผมยาวสยาย เดินวนกลับไปกลับมาด้วยเท้าที่เปลือยเปล่า ตวาดเสียงกร้าวว่า “กองทัพใหญ่แปดแสนคน ทัพใหญ่แปดแสนคนเชียวนะ! เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันก็แตกพ่ายยับเยินแล้ว โจวโส่วเสียน ไอตัวโง่งม ทำให้ข้าต้องผิดหวัง เจ้าทำให้ข้าเสียหาย เจ้าทำให้ข้าต้องเสียหาย!”

ภายในตำหนัก เจ้ากรมโยธาถงโม่ ผู้ดูแลหลวงเถียนอวี้และหัวหน้าผู้ดูแลราชยานก่าเหมี่ยวสุ่ยต่างยืนก้มหน้าอย่างเงียบๆ บางคนมีสีหน้าหนักใจ บางคนมีสีหน้าเสียใจ บางคนมีสีหน้าตึงเครียด…

….

ภายในค่ายทหารแห่งหนึ่ง ทหารสวมเกราะเดินลาดตระเวนกลับไปกลับมา มีปีกทองบินเข้าบินออกไม่ขาดสาย

ภายในกระโจมหลัก มีเจ้าหน้าที่เดินเข้าๆ ออกๆ เพื่อรับรายงานข่าวจากเขตต่างๆ และถ่ายทอดคำสั่งกองทัพออกไป โจวโส่วเสียนที่อยู่ด้านหน้าแผนที่ยังคงสวมชุดเกราะเอาไว้ สีหน้าอิดโรย แต่ที่มากกว่านั้นคือความร้อนใจ เขาไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันแล้ว เบ้าตาดำคล้ำไปหมด

เขายังคิดจะกอบกู้สถานการณ์อยู่ เพราะว่าในมณฑลหนานโจวก็ยังมีไพร่พลอยู่อีกหลายแสนคน แต่ทัพกบฏที่เข้ายึดครองมณฑลหนานโจวไม่ยอมให้โอกาสเขาเลย บีบคั้นให้ไพร่พลหลายแสนนายของเขาแตกแยกกระจัดกระจาย ติดอยู่ในเขตมณฑลหนานโจวอย่างไร้กำลัง ทัพหลักแตกพ่าย ทัพย่อยไม่สามารถไปรวมกับกลุ่มอื่นๆ ได้ ข่าวที่ส่งเข้ามาเต็มไปด้วยข้อความอ้อนวอนขอกำลังเสริม”ฮณ๊ฯดฯฌซ,

โจวโส่วเสียนก็อยากช่วย แต่เขาจะช่วยอะไรได้เล่า?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า