ตอนที่ 421 ลักพาตัว
ในหุบเขาลึกที่อยู่ห่างไกล ป่าเขาเขียวชอุ่ม แสงตะวันสาดส่องลงบนหน้าผาแห่งหนึ่ง ใต้ต้นสนเก่าแก่มีชิงช้าอันหนึ่งถูกผูกไว้ ก่วนฟางอี๋นั่งแกว่งไกวบนชิงช้า ชายกระโปรงพลิ้วตามสายลม ดูอิสระและผ่อนคลาย
หนิวโหย่วเต้าอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย นั่งสมาธิหันรับแสงตะวัน
กงซุนปู้ทะยานขึ้นเขามา เอียเรียกอยู่ห่างๆ “เต้าเหยี่ยขอรับ!”
หนิวโหย่วเต้าได้ยินจึงเก็บลมปราณแล้วค่อยๆ ลืมตาลุกขึ้นมา กงซุนปู้ถึงได้เดินเข้ามาหา เอ่ยรายงานว่า “ศึกทางมณฑลหนานโจวใกล้จบแล้วขอรับ กำลังเตรียมปิดฉากแล้ว หากไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายอะไรขึ้น มณฑลหนานโจวจะต้องตกอยู่ในมือของสำนักหยกสวรรค์แน่นอนขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ “นึกว่าคงจะใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าจะจบลงเร็วถึงเพียงนี้ ดูเหมือนแผนการเดิมก่อนหน้านี้คงใช้การไม่ได้แล้ว แจ้งทางเจ้าลิงให้ลงมือเถอะ!”
“ขอรับ!” กงซุนปู้ตอบรับแล้วทะยานลงเขาไปอีกครั้ง
ก่วนฟางอี๋ที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนชิงช้าพลันเหินออกมาขณะที่ชิงช้าแกว่งอยู่ ร่อนลงข้างกายหนิวโหย่วเต้า เอ่ยถามออกไป “เจ้าจะทำอะไรกันแน่?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องถามมาก ถามไปข้าก็ไม่มีทางบอกอยู่ดี เมื่อถึงเวลาที่สมควรรู้เจ้าย่อมได้รู้เอง อย่าปล่อยให้คนของทางเจ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นก็พอ”
ก่วนฟางอี๋กลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “วางใจเถอะ ลุงเฉินพาคนไปด้วยตัวเอง จะปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าแดงคนนั้นของเจ้าแน่นอน”
….
ณ มณฑลจินโจว ภายในรถม้าคันหนึ่ง มีผู้ติดตามมาด้วยสิบกว่าคน แต่งกายธรรมเรียบง่าย เคลื่อนตัวผ่านออกมาจากประตูเมืองทิศตะวันออก
เซียวเทียนเจิ้นที่อยู่ในรถม้าคล้ายจะตัวสูงใหญ่ขึ้นไม่น้อย บนใบหน้าเองก็มีเลือดฝาดแล้ว เห็นได้ชัดว่าแข็งแรงขึ้นมาก เพียงแต่สีหน้าแววตากลับมีความรู้สึกหม่นหมองปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งคราว คอยเหลือบมองหยวนกังที่นั่งข้างกันในรถม้าเป็นระยะๆ
หยวนกังหลับตาพักผ่อน สีหน้าไร้อารมณ์ เขารู้ดีว่าเซียวเทียนเจิ้นกำลังพิจารณาเขาอยู่
เนื่องจากทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างหยวนกังและไห่หรูเยวี่ย หนิวโหย่วเต้าจึงให้เขามาหาทางไห่หรูเยวี่ยอย่างเงียบๆ
ผลคือหลังจากมาถึงทางนี้แล้ว หยวนกังค่อนข้างแปลกใจเมื่อพบว่าเซียวเทียนเจิ้นลอบแสดงเจตนาอยากติดต่อกับเขาเป็นการส่วนตัวออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ที่ผ่านมาหยวนกังไม่เคยแยแสเลย แต่ครั้งนี้หลังจากได้รับข้อความจากทางหนิวโหย่วเต้า ในที่สุดเขาก็ตอบรับอีกฝ่าย ยอมออกมาล่าสัตว์กับเซียวเทียนเจิ้น
ทั้งคณะเดินทางออกจากตัวเมืองมาหลายสิบลี้ มายังแถบป่าเขาแห่งหนึ่ง รถม้าไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้ผู้โดยสารจึงต้องลงมาจากรถม้า เซียวเทียนเจิ้นและหยวนกังเปลี่ยนมาขี่ม้าสะพายธนูไว้บนหลัง ควบม้าเข้าสู่ป่าเขาอันกว้างใหญ่
หยวนกังสะพายธนูไว้ ไม่มีทีท่าว่าจะล่าสัตว์แม้แต่น้อย กลับเป็นเซียวเทียนเจิ้นที่น้าวธนูอยู่หลายครั้ง ยิงศรออกไปหลายดอกแล้ว แต่กลับยิงโดนกระต่ายเพียงตัวเดียวเท่านั้น ทักษะธนูของเขาเป็นอย่างไรนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่สุขภาพของเซียวเทียนเจิ้นในปัจจุบันนี้หากนำไปเทียบกับในอดีตที่มีสภาพอมโรคไม่สามารถออกกำลังกายหนักๆ ได้ก็นับว่าดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนไม่รู้ตั้งกี่เท่าแล้ว
แม้จะล่ากระต่ายมาได้เพียงตัวเดียว แต่เซียวเทียนเจิ้นกลับดีใจนัก ขอให้หยวนกังช่วยชำแหละทำความสะอาดให้ ส่วนตัวเขาไปก่อไฟบนเนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง
เมื่อหยวนกังกลับจากนำกระต่ายไปล้างชำแหละที่ลำธาร ก็นำมาย่างบนกองไฟตามความประสงค์ของเซียวเทียนเจิ้น
หยวนกังนั่งย่างกระต่ายอยู่ข้างกองไฟพลางเหลือบมองไปรอบๆ สังเกตเห็นว่าเหล่าองครักษ์ถูกเซียวเทียนเจิ้นไล่ออกไปอยู่ห่างๆ คอยเฝ้าระวังอยู่รอบๆ เนินเขาเล็กๆ ไม่ทราบเช่นกันว่าเจ้าหนูเซียวเทียนเจิ้นคนนี้อยากนัดพบตนไปเพื่ออะไรกันแน่
พอเหลือบตามองไปที่เซียวเทียนเจิ้น เขาก็พบว่าเซียวเทียนเจิ้นกำลังจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน จ้องมองตนด้วยสายตาที่ลุ่มลึกมีนัย
“ท่านผู้ว่าการมีธุระใดหรือ?” หยวนกังถาม
เซียวเทียนเจิ้นเอ่ยว่า “ผู้ว่าการอย่างนั้นหรือ? พี่หยวนคิดว่าข้ามีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้ว่าการมณฑลจินโจวได้หรือ?”
หยวนกังไม่ทราบว่าวาจานี้ของเขามีความหมายว่าอย่างไร “หรือว่าคุณชายมิใช่ผู้ว่าการมณฑล?”
เซียวเทียนเจิ้นเอ่ยโดยไม่หลบเลี่ยงเลยสักนิด “ข้าเป็นเพียงหุ่นเชิดแต่ในนามเท่านั้น ผู้มีอำนาจควบคุมมณฑลจินโจวอย่างแท้จริงคือท่านแม่ข้า”
หยวนกังเอ่ยว่า “แต่ก็อยู่ในมือของพวกท่านแม่ลูกอยู่ดี”
เซียวเทียนเจิ้นเอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “ข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตามหลักแล้วสมควรเข้ารับหน้าที่ดูแลด้านการทหารและการปกครองได้แล้ว แต่ท่านแม่ไม่ยอมมอบอำนาจให้ บางทีอาจจะมีคนที่ไม่ต้องการให้ข้าได้รับอำนาจก็เป็นได้”
หัวข้อสนทนาค่อยๆ อ่อนไหวมากขึ้น หยวนกังไม่คิดเลยว่าเขาจะเอาเรื่องเช่นนี้มาพูดกับคนนอก พอได้ฟังก็เลิกคิ้วนิดๆ พลางพลิกกระต่ายที่อยู่ในมือย่างไปมา “ผู้ใดเล่าที่ไม่ต้องการให้คุณชายได้อำนาจ?”
ดวงตาเซียวเทียนเจิ้นฉายแววหม่นหมอง ฉากเหตุการณ์มากมายระหว่างหลีอู๋ฮวาแห่งวังสวรรค์หมื่นวิมานและไห่หรูเยวี่ยผุดขึ้นมาในสมอง เขาสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วเปลี่ยนประเด็นไปว่า “ได้ยินว่ายงผิงจวิ้นอ๋องเข้าโจมตีมณฑลหนานโจวแล้ว รุกคืบดุดันรวดเร็ว มั่นใจว่าจะต้องยึดมณฑลหนานโจวมาได้แน่”
หยวนกังเหลือบมองเขา ไม่รู้ว่าเขาพูดเช่นนี้มีเจตนาใดอยู่อีก
เซียวเทียนเจิ้นกล่าวว่า “ถ้าสำนักบำเพ็ญเพียรมีอำนาจควบคุมโลกมนุษย์ธรรมดามากเกินไปล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ปกครองมณฑลหนานโจว หรือว่าคนที่ปกครองมณฑลจินโจว คาดว่าคงไม่มีทางได้อยู่ดีอย่างแน่นอน หากว่าทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันคงทำการใหญ่ได้สำเร็จ เท่าที่ข้าทราบมา หนิวโหย่วเต้ามีอิทธิพลต่อซางเฉาจงไม่น้อยเลย แล้วก็คอยช่วยแบ่งเบาภาระให้ซางเฉาจงเสมอมา ข้าหวังว่าพี่หยวนจะช่วยนำคำพูดของข้าไปถ่ายทอดให้หนิวโหย่วเต้า หวังว่าจะได้พบหน้ากันเพื่อเจรจา”
ในที่สุดหยวนกังก็เข้าใจเจตนาของเขาแล้ว ตอนนี้เขาถูกจำกัดอำนาจในมณฑลจินโจวเอาไว้ จึงต้องการแรงสนับสนุนจากภายนอกเพื่อช่วงชิงอำนาจ
“ได้!” หยวนกังตอบรับ จากนั้นก็ชักดาบสามคำรามที่เหน็บอยู่ทางด้านหลังออกมา ตวัดดาบวาดมือออกไป คมดาบจ่อทาบเข้าที่ลำคอของเซียวเทียนเจิ้น
เซียวเทียนเจิ้นค่อนข้างมึนงง เอ่ยถามตะกุกตะกัก “ท่าน…ท่านคิดจะทำอะไร?”
หยวนกังใช้ดาบดันคางของเขา ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเขา
“บังอาจ!” องครักษ์คนหนึ่งที่อยู่ด้านล่างเนินสังเกตเห็นแล้ว พลันตวาดกร้าวพลางพุ่งเข้ามา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า