ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 42

ตอนที่ 42 เฟิ่งรั่วหนาน

ซ่งเฉวียนพยุงน้องสามที่มีสีหน้าโศกศัลย์ไว้ เขาเข้าใจความโศกเศร้าเสียใจของน้องสามดี น้องสามมีซ่งเหยี่ยนชิงเป็นลูกชายเพียงคนเดียว

“แม่ทัพใหญ่ ตระกูลซ่งของพวกเราผิดต่อท่าน!” ซ่งจิ่วหมิงถอนหายใจคราหนึ่ง ประสานมือค้อมกายให้

จิตใจของหวังเหิงเรียกได้ว่าว้าวุ่นนัก แต่เขาก็เข้าใจเช่นกัน เรื่องนี้ไม่อาจกล่าวโทษตระกูลซ่งได้ ชะตาฟ้ายากขัดขืน คนที่สิ้นชีพคือทายาทตระกูลซ่ง ตระกูลซ่งโศกเศร้ากว่าเขามากนัก ว่ากันตามหลักแล้วคนทรามอย่างซ่งเหยี่ยนชิงตายได้เสียก็ดี เขาเคยก่นด่าเช่นนี้ในใจหลายต่อหลายครั้ง ทว่าพอเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เขาก็ไม่รู้เลยว่าควรกลับไปอธิบายกับบุตรสาวว่าอย่างไร

ยามนี้ผู้คุ้มกันที่ติดตามมาด้วยพอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้คุ้มกันคนหนึ่งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ฝีมือผู้ใด?” น้ำเสียงแฝงเจตนาสังหารชัดเจนยิ่ง

เมื่อได้ยินคำถามนี้ หวังเหิงดึงสติกลับมา เอ่ยถามว่า “หนิวโหย่วเต้าผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไร ถึงขนาดกล้าสังหารทายาทตระกูลซ่ง เบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง?”

ซ่งเฉวียนที่พยุงน้องสามอยู่เอ่ยชี้แจง “เป็นศิษย์ของตงกัวเฮ่าหราน”

“ตงกัวเฮ่าหรานหรือ?” หวังเหิงรู้จักคนผู้นี้ เมื่อครั้งที่หนิงอ๋องยังมีชีวิตอยู่ คนผู้นี้ใกล้ชิดกับหนิงอ๋องมากที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมด และเคยเป็นคนมีชื่อเสียงของเมืองหลวงเช่นกัน เขาเคยพบอยู่หลายครั้ง สมัยที่หนิงอ๋องยังมีชีวิตอยู่ ในมือกุมอำนาจทางการทหาร เขาจึงไม่กล้ายุแหย่หาเรื่องตงกัวเฮ่าหรานส่งเดช ยามนี้ทนไม่ไหวจึงกัดฟันกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นศิษย์ของไอ้ชั้นต่ำผู้นี้ ข้าจะขยี้ศิษย์อาจารย์ชั้นต่ำคู่นี้ให้แหลกเป็นเถ้าธุลีซะ!”

ซ่งเฉวียนกล่าวว่า “ตงกัวเฮ่าหรานจากโลกไปนานแล้ว”

“ตายแล้วหรือ?” หวังเหิงตะลึงงัน ด้วยความที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีเจตนาจะปกปิดเรื่องไว้ ข่าวการจากไปของตงกัวเฮ่าหรานจึงไม่เล็ดลอดออกมาสู่โลกภายนอกเลย เขาดึงสติกลับมา แสดงสีหน้าดุร้ายอีกครั้ง “หนิงอ๋องตายแล้ว สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังกล้ากำแหงอีก ข้าจะถล่มสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ให้ราบคาบ!”

ซ่งจิ่วหมิงยกมือปรามพลางกล่าวว่า “แตะต้องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่ได้ เบื้องบนจับตามองเรื่องบางอย่างอยู่ ท่านแม่ทัพใหญ่อย่าวู่วามจะเป็นการดีที่สุด มิเช่นนั้นจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว”

หวังเหิงเอ่ยด้วยความโกรธ “จะมีเรื่องใดได้? หากเกิดเรื่องใดขึ้นจริงข้าจะไปขอรับโทษกับฝ่าบาทเอง! ”

ซ่งจิ่วหมิงส่ายหน้า คล้ายจะสื่อไม่ให้เขาถามมากไปกว่านี้แล้ว เอ่ยไปว่า “แม่ทัพใหญ่เชื่อข้าจะดีที่สุด ส่วนจะเป็นเรื่องใดนั้นข้าบอกไม่ได้ แต่ข้าบอกท่านได้เพียงว่าหากท่านกล้าลงมือส่งเดช มิใช่ไปขอรับโทษเพียงคำเดียวก็จบเรื่องได้ ฝ่าบาทไม่มีทางละเว้นท่านแน่!”

บางเรื่องเขาไม่สะดวกจะบอกกล่าวต่อหวังเหิง เรื่องทัพกาทมิฬแสนตัวนั้นมิใช่เรื่องเล็ก เบื้องบนสงสัยมาตลอดว่าจะสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะมีเอี่ยวด้วย จึงกำลังสังเกตการณ์อยู่ หากหวังเหิงกล้าทำให้เสียเรื่อง เบื้องบนต้องโกรธเกรี้ยวเป็นแน่ ต่อให้หวังเหิงมีสิบหัวก็ไม่พอชดใช้!

“แล้วจะปล่อยไปเช่นนี้หรือ?” หวังเหิงถลึงตาถามด้วยความขุ่นเคือง

ซ่งจิ่วหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “สังหารคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต! เอาตามนี้ก่อนแล้วกัน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”

หวังเหิงเข้าใจแล้ว เขาสามารถสังหารหนิวโหย่วเต้าผู้นั้นได้ ส่วนเรื่องอื่นตอนนี้ยังเคลื่อนไหวส่งเดชไม่ได้ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเยียบเย็นว่า “เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถอะ”

ซ่งจิ่วหมิงรีบเอ่ยเตือนอย่างเคร่งขรึมว่า “เขาอยู่กับซางเฉาจง ตอนนี้ยังแตะต้องซางเฉาจงไม่ได้ ท่านอย่าได้วู่วาม”

หวังเหิงตอบว่า “ใต้เท้าหมิงวางใจได้ ข้าจะรีบส่งข่าวให้เฟิ่งหลิงปอ ให้เขาช่วยจับคนมาให้ข้า ส่วนซางเฉาจงข้าจะไม่แตะต้อง เพียงให้เฟิ่งหลิงปอส่งตัวหนิวโหย่วเต้าผู้นั้นมาที่เมืองหลวง แล้วข้าจะลงมือสับเขาเป็นหมื่นๆ ชิ้นด้วยตัวเอง!”

สำหรับเรื่องนี้ ซ่งจิ่วหมิงมิได้คัดค้านอะไร จึงนับว่าเป็นการอนุญาตไปโดยปริยาย

เพราะเขารู้แก่ใจดีว่าถึงแม้เฟิ่งหลิงปอจะซ่องสุมกองกำลังส่วนตัวต่อต้านราชสำนัก แต่ถึงอย่างไรก็ยังมิได้ก่อกบฏ เมื่อแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวงอย่างหวังเหิงออกปากร้องขอให้จับตัวผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งให้ย่อมไม่มีปัญหาอันใด เฟิ่งหลิงปอคงไม่ถึงขั้นที่จะไม่ยอมไว้หน้าหวังเหิงเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ เพราะเฟิ่งหลิงปอที่ยังมิได้แตกหักกับราชสำนักอย่างสมบูรณ์ยังมีบริวารและกิจการบางส่วนอยู่ในเมืองหลวง ยังมิได้ตัดขาดจากเมืองหลวงอย่างเด็ดขาด หากล่วงเกินหวังเหิงเพียงเพราะผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งนั้นจะเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย หากครั้งนี้ไม่ไว้หน้ากัน หวังเหิงต้องหันมาสร้างความเดือดร้อนให้กิจการในเมืองหลวงของเฟิ่งหลิงปอเป็นแน่

หลังได้รับอนุญาตจากเขา ชายชาตรีหยาบกระด้างอย่างหวังเหิงกลับแสดงสีหน้าหม่นหมองพลางกล่าวว่า “ใต้เท้าหมิง ข้าอยากพาฟางเอ๋อร์กลับไปอยู่ที่บ้านสักระยะ”

ซ่งจิ่วหมิงพยักหน้ารับ ทอดถอนใจพร้อมเอ่ยว่า “ก็ดี! แม้นเหยี่ยนชิงจะไม่อยู่แล้ว แต่ที่นี่ยังคงเป็นบ้านของนาง หากตระกูลหวังเผชิญปัญหาอันใดก็บอกมาได้เลย หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ตระกูลซ่งย่อมต้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่!” นี่ถือเป็นการเอ่ยปากรับรอง ด้วยหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ยุติสายสัมพันธ์ของสองตระกูลลงเพราะการตายของซ่งเหยี่ยนชิง

หวังเหิงพยักหน้ารับ แม้แต่คำอำลาตามมารยาทก็ไม่นึกถึงแล้ว หันหลังเดินจากไป จิตใจสับสนว้าวุ่น เขาไม่รู้เลยว่าจะบอกเรื่องนี้กับบุตรสาวอย่างไรดี…

…….

ซ่งเฉวียนออกไปส่งด้วยตัวเอง หลังย้อนกลับมา เขามองเห็นน้องสามนั่งทึมทื่ออยู่บนเก้าอี้ จึงถอนหายใจเบาๆ อีกประเดี๋ยวพอสะใภ้สามได้ทราบเรื่องนี้ ไม่รู้เลยว่านางจะร้องไห้คร่ำครวญปานใด

ซ่งจิ่วหมิงที่ยกมือไพล่หลังหันหน้าออกไปทางประตูพลันแค่นเสียงเอ่ยขึ้นว่า “ถังซู่ซู่ใจกล้าไม่เบา ทั้งๆ ที่สั่งห้ามมิให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มอบคนให้ซางเฉาจงแล้ว คิดไม่ถึงว่านางจะกล้าทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก!”

ซ่งเฉวียนกล่าวว่า “ท่านพ่อ เมื่อดูจากรายงานที่ได้รับมา เกรงว่าถังซู่ซู่จะมีเจตนาส่วนตัว เหยี่ยนชิงคงจะถูกถังซู่ซู่หลอกใช้เสียแล้ว มิเช่นนั้นหนิวโหย่วเต้าติดตามซางเฉาจงออกไปนานขนาดนี้ เหตุใดเหยี่ยนชิงถึงไม่ส่งรายงานมาเลย? เกรงว่าเหยี่ยนชิงก็คงปิดบังเพราะมีเจตนาส่วนตัวด้วยเช่นกันขอรับ!”

ซ่งจิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย เข้าใจความหมายในวาจาของเขา หวังเหิงไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ทว่าตระกูลซ่งทราบดี เรื่องที่ซ่งเหยี่ยนชิงชอบพอถังอี๋มิใช่ความลับอันใด สามารถทำให้คุณชายเสเพลอย่างซ่งเหยี่ยนชิงรั้งอยู่ในป่าเขาได้นานหลายปีขนาดนั้น ซ่งเหยี่ยนชิงชอบถังอี๋มากเพียงใดเพียงแค่นึกดูก็รู้แล้ว หากมิใช่เพราะตระกูลซ่งกดดัน เกรงว่าซ่งเหยี่ยนชิงคงมิยอมรามือ เมื่อทางนี้ได้อ่านรายงานลับ ภายในใจก็พอจะคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ซ่งจิ่วหมิงมองซ่งซูที่สติหลุดลอยไปแล้ว เอ่ยสั่งการเบาๆ ว่า “ตอนนี้ยังแตะต้องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่ได้ แต่ก็ควรทำให้นังเฒ่าเจ้าเล่ห์คนนั้นได้เห็นดีกันบ้าง! แจ้งไปทางสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ให้ทางนั้นมอบคำอธิบายเรื่องนี้มา!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า