ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 42

ตอนที่ 42 เฟิ่งรั่วหนาน

ซ่งเฉวียนพยุงน้องสามที่มีสีหน้าโศกศัลย์ไว้ เขาเข้าใจความโศกเศร้าเสียใจของน้องสามดี น้องสามมีซ่งเหยี่ยนชิงเป็นลูกชายเพียงคนเดียว

“แม่ทัพใหญ่ ตระกูลซ่งของพวกเราผิดต่อท่าน!” ซ่งจิ่วหมิงถอนหายใจคราหนึ่ง ประสานมือค้อมกายให้

จิตใจของหวังเหิงเรียกได้ว่าว้าวุ่นนัก แต่เขาก็เข้าใจเช่นกัน เรื่องนี้ไม่อาจกล่าวโทษตระกูลซ่งได้ ชะตาฟ้ายากขัดขืน คนที่สิ้นชีพคือทายาทตระกูลซ่ง ตระกูลซ่งโศกเศร้ากว่าเขามากนัก ว่ากันตามหลักแล้วคนทรามอย่างซ่งเหยี่ยนชิงตายได้เสียก็ดี เขาเคยก่นด่าเช่นนี้ในใจหลายต่อหลายครั้ง ทว่าพอเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เขาก็ไม่รู้เลยว่าควรกลับไปอธิบายกับบุตรสาวว่าอย่างไร

ยามนี้ผู้คุ้มกันที่ติดตามมาด้วยพอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้คุ้มกันคนหนึ่งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ฝีมือผู้ใด?” น้ำเสียงแฝงเจตนาสังหารชัดเจนยิ่ง

เมื่อได้ยินคำถามนี้ หวังเหิงดึงสติกลับมา เอ่ยถามว่า “หนิวโหย่วเต้าผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไร ถึงขนาดกล้าสังหารทายาทตระกูลซ่ง เบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง?”

ซ่งเฉวียนที่พยุงน้องสามอยู่เอ่ยชี้แจง “เป็นศิษย์ของตงกัวเฮ่าหราน”

“ตงกัวเฮ่าหรานหรือ?” หวังเหิงรู้จักคนผู้นี้ เมื่อครั้งที่หนิงอ๋องยังมีชีวิตอยู่ คนผู้นี้ใกล้ชิดกับหนิงอ๋องมากที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมด และเคยเป็นคนมีชื่อเสียงของเมืองหลวงเช่นกัน เขาเคยพบอยู่หลายครั้ง สมัยที่หนิงอ๋องยังมีชีวิตอยู่ ในมือกุมอำนาจทางการทหาร เขาจึงไม่กล้ายุแหย่หาเรื่องตงกัวเฮ่าหรานส่งเดช ยามนี้ทนไม่ไหวจึงกัดฟันกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นศิษย์ของไอ้ชั้นต่ำผู้นี้ ข้าจะขยี้ศิษย์อาจารย์ชั้นต่ำคู่นี้ให้แหลกเป็นเถ้าธุลีซะ!”

ซ่งเฉวียนกล่าวว่า “ตงกัวเฮ่าหรานจากโลกไปนานแล้ว”

“ตายแล้วหรือ?” หวังเหิงตะลึงงัน ด้วยความที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีเจตนาจะปกปิดเรื่องไว้ ข่าวการจากไปของตงกัวเฮ่าหรานจึงไม่เล็ดลอดออกมาสู่โลกภายนอกเลย เขาดึงสติกลับมา แสดงสีหน้าดุร้ายอีกครั้ง “หนิงอ๋องตายแล้ว สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังกล้ากำแหงอีก ข้าจะถล่มสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ให้ราบคาบ!”

ซ่งจิ่วหมิงยกมือปรามพลางกล่าวว่า “แตะต้องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่ได้ เบื้องบนจับตามองเรื่องบางอย่างอยู่ ท่านแม่ทัพใหญ่อย่าวู่วามจะเป็นการดีที่สุด มิเช่นนั้นจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว”

หวังเหิงเอ่ยด้วยความโกรธ “จะมีเรื่องใดได้? หากเกิดเรื่องใดขึ้นจริงข้าจะไปขอรับโทษกับฝ่าบาทเอง! ”

ซ่งจิ่วหมิงส่ายหน้า คล้ายจะสื่อไม่ให้เขาถามมากไปกว่านี้แล้ว เอ่ยไปว่า “แม่ทัพใหญ่เชื่อข้าจะดีที่สุด ส่วนจะเป็นเรื่องใดนั้นข้าบอกไม่ได้ แต่ข้าบอกท่านได้เพียงว่าหากท่านกล้าลงมือส่งเดช มิใช่ไปขอรับโทษเพียงคำเดียวก็จบเรื่องได้ ฝ่าบาทไม่มีทางละเว้นท่านแน่!”

บางเรื่องเขาไม่สะดวกจะบอกกล่าวต่อหวังเหิง เรื่องทัพกาทมิฬแสนตัวนั้นมิใช่เรื่องเล็ก เบื้องบนสงสัยมาตลอดว่าจะสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะมีเอี่ยวด้วย จึงกำลังสังเกตการณ์อยู่ หากหวังเหิงกล้าทำให้เสียเรื่อง เบื้องบนต้องโกรธเกรี้ยวเป็นแน่ ต่อให้หวังเหิงมีสิบหัวก็ไม่พอชดใช้!

“แล้วจะปล่อยไปเช่นนี้หรือ?” หวังเหิงถลึงตาถามด้วยความขุ่นเคือง

ซ่งจิ่วหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “สังหารคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต! เอาตามนี้ก่อนแล้วกัน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”

หวังเหิงเข้าใจแล้ว เขาสามารถสังหารหนิวโหย่วเต้าผู้นั้นได้ ส่วนเรื่องอื่นตอนนี้ยังเคลื่อนไหวส่งเดชไม่ได้ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเยียบเย็นว่า “เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถอะ”

ซ่งจิ่วหมิงรีบเอ่ยเตือนอย่างเคร่งขรึมว่า “เขาอยู่กับซางเฉาจง ตอนนี้ยังแตะต้องซางเฉาจงไม่ได้ ท่านอย่าได้วู่วาม”

หวังเหิงตอบว่า “ใต้เท้าหมิงวางใจได้ ข้าจะรีบส่งข่าวให้เฟิ่งหลิงปอ ให้เขาช่วยจับคนมาให้ข้า ส่วนซางเฉาจงข้าจะไม่แตะต้อง เพียงให้เฟิ่งหลิงปอส่งตัวหนิวโหย่วเต้าผู้นั้นมาที่เมืองหลวง แล้วข้าจะลงมือสับเขาเป็นหมื่นๆ ชิ้นด้วยตัวเอง!”

สำหรับเรื่องนี้ ซ่งจิ่วหมิงมิได้คัดค้านอะไร จึงนับว่าเป็นการอนุญาตไปโดยปริยาย

เพราะเขารู้แก่ใจดีว่าถึงแม้เฟิ่งหลิงปอจะซ่องสุมกองกำลังส่วนตัวต่อต้านราชสำนัก แต่ถึงอย่างไรก็ยังมิได้ก่อกบฏ เมื่อแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวงอย่างหวังเหิงออกปากร้องขอให้จับตัวผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งให้ย่อมไม่มีปัญหาอันใด เฟิ่งหลิงปอคงไม่ถึงขั้นที่จะไม่ยอมไว้หน้าหวังเหิงเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ เพราะเฟิ่งหลิงปอที่ยังมิได้แตกหักกับราชสำนักอย่างสมบูรณ์ยังมีบริวารและกิจการบางส่วนอยู่ในเมืองหลวง ยังมิได้ตัดขาดจากเมืองหลวงอย่างเด็ดขาด หากล่วงเกินหวังเหิงเพียงเพราะผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งนั้นจะเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย หากครั้งนี้ไม่ไว้หน้ากัน หวังเหิงต้องหันมาสร้างความเดือดร้อนให้กิจการในเมืองหลวงของเฟิ่งหลิงปอเป็นแน่

หลังได้รับอนุญาตจากเขา ชายชาตรีหยาบกระด้างอย่างหวังเหิงกลับแสดงสีหน้าหม่นหมองพลางกล่าวว่า “ใต้เท้าหมิง ข้าอยากพาฟางเอ๋อร์กลับไปอยู่ที่บ้านสักระยะ”

ซ่งจิ่วหมิงพยักหน้ารับ ทอดถอนใจพร้อมเอ่ยว่า “ก็ดี! แม้นเหยี่ยนชิงจะไม่อยู่แล้ว แต่ที่นี่ยังคงเป็นบ้านของนาง หากตระกูลหวังเผชิญปัญหาอันใดก็บอกมาได้เลย หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ตระกูลซ่งย่อมต้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่!” นี่ถือเป็นการเอ่ยปากรับรอง ด้วยหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ยุติสายสัมพันธ์ของสองตระกูลลงเพราะการตายของซ่งเหยี่ยนชิง

หวังเหิงพยักหน้ารับ แม้แต่คำอำลาตามมารยาทก็ไม่นึกถึงแล้ว หันหลังเดินจากไป จิตใจสับสนว้าวุ่น เขาไม่รู้เลยว่าจะบอกเรื่องนี้กับบุตรสาวอย่างไรดี…

…….

ซ่งเฉวียนออกไปส่งด้วยตัวเอง หลังย้อนกลับมา เขามองเห็นน้องสามนั่งทึมทื่ออยู่บนเก้าอี้ จึงถอนหายใจเบาๆ อีกประเดี๋ยวพอสะใภ้สามได้ทราบเรื่องนี้ ไม่รู้เลยว่านางจะร้องไห้คร่ำครวญปานใด

ซ่งจิ่วหมิงที่ยกมือไพล่หลังหันหน้าออกไปทางประตูพลันแค่นเสียงเอ่ยขึ้นว่า “ถังซู่ซู่ใจกล้าไม่เบา ทั้งๆ ที่สั่งห้ามมิให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มอบคนให้ซางเฉาจงแล้ว คิดไม่ถึงว่านางจะกล้าทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก!”

ซ่งเฉวียนกล่าวว่า “ท่านพ่อ เมื่อดูจากรายงานที่ได้รับมา เกรงว่าถังซู่ซู่จะมีเจตนาส่วนตัว เหยี่ยนชิงคงจะถูกถังซู่ซู่หลอกใช้เสียแล้ว มิเช่นนั้นหนิวโหย่วเต้าติดตามซางเฉาจงออกไปนานขนาดนี้ เหตุใดเหยี่ยนชิงถึงไม่ส่งรายงานมาเลย? เกรงว่าเหยี่ยนชิงก็คงปิดบังเพราะมีเจตนาส่วนตัวด้วยเช่นกันขอรับ!”

ซ่งจิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย เข้าใจความหมายในวาจาของเขา หวังเหิงไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ทว่าตระกูลซ่งทราบดี เรื่องที่ซ่งเหยี่ยนชิงชอบพอถังอี๋มิใช่ความลับอันใด สามารถทำให้คุณชายเสเพลอย่างซ่งเหยี่ยนชิงรั้งอยู่ในป่าเขาได้นานหลายปีขนาดนั้น ซ่งเหยี่ยนชิงชอบถังอี๋มากเพียงใดเพียงแค่นึกดูก็รู้แล้ว หากมิใช่เพราะตระกูลซ่งกดดัน เกรงว่าซ่งเหยี่ยนชิงคงมิยอมรามือ เมื่อทางนี้ได้อ่านรายงานลับ ภายในใจก็พอจะคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ซ่งจิ่วหมิงมองซ่งซูที่สติหลุดลอยไปแล้ว เอ่ยสั่งการเบาๆ ว่า “ตอนนี้ยังแตะต้องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่ได้ แต่ก็ควรทำให้นังเฒ่าเจ้าเล่ห์คนนั้นได้เห็นดีกันบ้าง! แจ้งไปทางสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ให้ทางนั้นมอบคำอธิบายเรื่องนี้มา!”

“ขอรับ!” ซ่งเฉวียนรับคำสั่ง

……..

ภายในตัวจังหวัดกว่างอี้ เมื่อหนิวโหย่วเต้าและหยวนกังเดินวนดูจนทั่วแล้วจึงกลับไปที่โรงเตี๊ยม องครักษ์ทั้งสามนายที่ถูกส่งออกไปสืบข่าวก็กลับมาแล้วเช่นกัน กำลังคอยพวกเขาอยู่

ทั้งหมดรวมตัวกันในห้องพักห้องหนึ่ง ทันทีที่ประตูปิดลง องครักษ์นายหนึ่งกางแผนที่โครงร่างของจังหวัดกว่างอี้ออกมา ชี้ไปยังตำแหน่งใจกลางเมืองที่ถนนตัดไขว้กัน “เต้าเหยี่ย ตรงนี้คือจวนผู้ว่าการจังหวัดกว่างอี้ แล้วก็เป็นสถานที่พำนักของเฟิ่งหลิงปอด้วย มีทหารคุ้มกันรอบที่พักอย่างแน่นหนา คนนอกยากจะเข้าใกล้ได้ เฟิ่งรั่วอี้บุตรชายคนโตนำกองทัพไปประจำการในจุดยุทธศาสตร์ทางตะวันออกของจังหวัดกว่างอี้ ส่วนเฟิ่งรั่วเจี๋ยบุตรชายคนรองนำกองทัพไปประจำการอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ทางตะวันตกของจังหวัดกว่างอี้เช่นกัน ตรงกับสถานการณ์ที่ทางเราสืบทราบมาก่อนหน้านี้ ส่วนเฟิ่งรั่วหนานผู้เป็นบุตรสาวคุมทัพรักษาการณ์อยู่ในตัวเมือง จากข้อมูลที่สืบทราบมา ปกติแล้วนางมิได้อยู่ในจวนผู้ว่าการ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ค่ายทหารละแวกประตูหลักทางตะวันออกขอรับ” นิ้วเขาชี้ไปยังสถานที่ที่อยู่ใกล้ๆ ประตูเมืองฝั่งตะวันออกแห่งหนึ่งที่ถูกทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่

หนิวโหย่วเต้ามองดูแผนที่อย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เฟิ่งหลิงปออยู่ในจวนผู้ว่าการไหม? แล้วเฟิ่งรั่วหนานอยู่ที่ค่ายทหารหรือไม่?”

องครักษ์คนนั้นตอบว่า “จากที่สอบถามพ่อค้าในละแวกจวนผู้ว่าการมา เขาบอกว่าช่วงเช้าเพิ่งพบเฟิ่งหลิงปอกลับมาจากการออกลาดตระเวนด้านนอก แล้วก็มีคนที่อยู่ในละแวกค่ายทหารฝั่งตะวันออกเห็นเฟิ่งรั่วหนานขี่ม้าร้องสั่งการเหล่าทหารให้ฝึกฝนอยู่ น่าจะอยู่ทั้งคู่ขอรับ”

“ธุระเร่งด่วนไม่อาจรั้งรอได้ เช่นนั้นอย่ามัวโอ้เอ้กันอีกเลย ไปตามเหล่าพี่น้องมา” หนิวโหย่วเต้าสั่งการหยวนกัง

จากนั้นไม่นาน ทั้งกลุ่มออกจากโรงเตี๊ยม ขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังบริเวณประตูเมืองทิศตะวันออก ระหว่างทางยังแวะเช่ารถม้าคันหนึ่งด้วย

พื้นที่มุมหนึ่งในบริเวณประตูเมืองฝั่งตะวันออก บ้านเรือนที่ไร้ผู้คนอยู่อาศัยทั้งหมดถูกรื้อถอนแผ้วถางให้กลายเป็นค่ายทหาร พื้นที่โล่งกว้างด้านนอกมีรั้วล้อมกั้น มีทหารคอยรักษาการณ์ ป้องกันไม่ให้คนนอกเข้าใกล้

เมื่อหนิวโหย่วเต้านำขบวนมาถึง ย่อมถูกทหารรักษาการณ์เข้ามาขวางทางไว้

“รบกวนไปแจ้งแม่ทัพเฟิ่งหน่อย บอกว่าหนิวโหย่วเต้าสหายเก่ามาเยี่ยมเยือน” หนิวโหน่วเต้าลงจากหลังม้าพลางแย้มยิ้มแจ้งต่อทหารรักษาการณ์ เขาไม่เชื่อหรอกว่าชวีอู่ที่คอยจับตามองพวกเขาทุกย่างก้าวจะไม่เคยส่งข่าวให้ทางนี้เลย คาดว่าเฟิ่งรั่วหนานน่าจะเคยได้ยินเรื่องของเขามาแล้วเป็นแน่

การตัดสินคนจากลักษณะภายนอกนับเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ทว่าทหารรักษาการณ์กลับมิได้ไล่ตะเพิดพวกเขาไปตรงๆ แบบเดียวกับชาวบ้านทั่วไป ถึงอย่างไรทั้งขบวนก็ขี่ม้ากันหมด มองแวบเดียวก็รู้ว่ามิใช่คนธรรมดา ดังนั้นจึงมีคนเข้าไปรายงานทันที

รอคอยไม่นานนัก ทางนั้นก็อนุญาตให้เข้าไป แต่นำม้าเข้าไปด้วยไม่ได้ ต้องทำการตรวจค้นร่างกายและปลดอาวุธออกก่อนถึงจะเข้าไปได้

หนิวโหย่วเต้าโยนกระบี่ให้องครักษ์ สั่งคนที่เหลือให้คอยอยู่ด้านนอก เขาพาหยวนกังเข้าไปเพียงคนเดียว

ทหารรักษาการณ์นายหนึ่งนำทางให้ พาทั้งสองเข้าไปในสนามฝึก มองเห็นทหารกลุ่มหนึ่งกำลังตวัดดาบควงทวนฝึกซ้อมกันอยู่ มีเสียงตะโกนแว่วขึ้นเป็นพักๆ

บนแท่นบัญชาการ แม่ทัพรูปร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะคนหนึ่งยืนถือทวนยันพื้นไว้ เฝ้ามองเหล่าทหารฝึกซ้อม

รองแม่ทัพที่อยู่ด้านข้างรายงานบางอย่าง แม่ทัพคนนั้นถึงได้หันหน้ามา มองหนิวโหย่วเต้าและหยวนกังที่อยู่ข้างแท่นบัญชาการ

เมื่อนางหันมามอง หนิวโหย่วเต้าที่สบตาเข้ากับนางพลันตกตะลึง ลอบเหงื่อตกอยู่บ้าง หากมิใช่เพราะลักษณะเฉพาะบางอย่างที่ทำให้มองออกว่าเป็นสตรี เขาคงต้องคิดว่าอีกฝ่ายเป็นบุรุษคนหนึ่งแน่นอน

ส่วนสูงของแม่ทัพหญิงคนนี้สูงกว่าบุรุษทั่วไปเสียอีก รูปร่างเรียกได้ว่าบึกบึนล่ำสัน ปกติแล้วคงจะไม่แต่งองค์ทรงเครื่องประทินโฉมเลย นางมีคิ้วหนาตาโต สองเนตรสดใสทอประกาย แววตาที่ใช้มองคนก็ดุดันทรงอำนาจ ทว่าบุคลิกมีความอ่อนช้อยเล็กน้อยซึ่งแตกต่างไปจากบุรุษ

หนิวโหย่วเต้าสงสัยอยู่บ้างว่าสตรีนางนี้จะใช่คนเดียวกับสตรีที่ตนเคยพบตอนล่องแพในปีนั้นหรือไม่ ปีนั้นนางเปื้อนฝุ่นมอมแมม อีกทั้งอยู่บนหลังม้า เห็นไม่ชัดว่าใช่สตรีหรือไม่ เพียงแต่ฟังเสียงออกว่าเป็นเสียงของสตรี

แม่ทัพหญิงที่อยู่บนแท่นโบกมือคราหนึ่ง การฝึกซ้อมยุติลงทันที ทหารที่ฝึกซ้อมมารวมตัวกัน ตั้งแถวตามสังกัดกอง จากนั้นติดตามหัวหน้ากองจากไป

รอบข้างกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เมื่อเห็นกองทหารจากไปแล้ว แม่ทัพหญิงจึงค่อยๆ หมุนตัวกลับมา จากนั้นพลันตวัดควงทวนในมือ ก่อนจะเหวี่ยงแขนขว้างทวนยาวที่อยู่ในมือออกไป ทวนแหวกอากาศดังฟิ้ว พุ่งฉิวเข้าใส่หนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อย ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ขณะที่ทวนยาวเข้ามาใกล้ ด้านข้างพลันมีมือขนาดใหญ่ข้างหนึ่งพุ่งออกมา คว้าทวนเอาไว้ ทำให้ทวนยาวที่พุ่งเข้ามาหยุดนิ่งทันที

หยวนกังถือทวนยาวไว้ในมือ หมุนมือแล้วเหวี่ยงออกไป ทวนยาวพุ่งแหวกอากาศออกไปไกลกว่ายี่สิบเมตร

ทวนยาวพุ่งตรงไปปักเสาธงที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบเมตร ติดอยู่บนเสาธงในระดับความสูงประมาณสิบเมตร คาดว่าคงเก็บกลับมาค่อนข้างลำบาก แล้วก็นับว่าเป็นวิธีระบายความไม่พอใจของหยวนกัง

กำลังแขนระดับนี้ ความแม่นยำระดับนี้ ทำให้สองตาของแม่ทัพหญิงลุกวาว สายตาที่มองหยวนกังเจือความแปลกใจ นางมิใช่คนไร้ประสบการณ์ มองออกว่าหยวนกังมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียร เนื่องจากตอนที่หยวนกังแสดงพลังไม่มีการปล่อยลมปราณจำพวกที่ทำให้เสื้อผ้าไหวกระพือได้ออกมาเลย นางไม่เชื่อว่าหยวนกังที่อายุเพียงเท่านี้จะบำเพ็ญเพียรถึงระดับที่เก็บงำลมปราณไว้ในร่างไม่ให้เล็ดลอดออกมาได้ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวแล้ว นี่คือพละกำลังที่แท้จริง!

การลงมือของหยวนกังทำให้ผ้าม่านด้านหลังแท่นบัญชาการขยับไหว เงาร่างสี่สายพุ่งออกมา เคลื่อนตัวเข้าประกบด้านซ้ายขวาของแม่ทัพหญิง ทั้งสี่ล้วนสวมชุดดำ สะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง ทุกคนล้วนเป็นสตรี จ้องมองทางนี้อย่างเยียบเย็น หนิวโหย่วเต้าเพียงมองก็ดูออกว่าสี่คนนี้ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียร พิจารณาจากระดับความเร็วแล้ว ในกลุ่มนี้มีอยู่สองคนที่มีระดับสภาวะเหนือกว่าตน

ถึงขั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรเป็นองครักษ์ได้ ไม่ต้องคิดต่อให้มากความเลย สตรีห้าวหาญกำยำนางนี้คงเป็นเฟิ่งรั่วหนาน

แม่ทัพหญิงเดินมาทางด้านนี้ ยืนอยู่ริมแท่นบัญชาการ ก้มลงมองสองคนที่อยู่ด้านล่าง สายตากวาดสลับไปมาบนใบหน้าของทั้งสองคน จากนั้นเอ่ยถามว่า “ผู้ใดคือหนิวโหย่วเต้า?” สายตายังคงจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าหนิวโหย่วเต้า เห็นได้ชัดว่าเดาออกแล้วว่าผู้ใดมีฐานะเป็นนาย

……………………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า