ตอนที่ 43 เงินข้าก็จะเอา คนข้าก็จะเอา!
หนิวโหย่วเต้าประสานมือเอ่ยทักทาย “ข้าน้อยคือหนิวโหย่วเต้า คารวะแม่ทัพเฟิ่ง!”
ถูกต้องแล้ว แม่ทัพหญิงคนนี้ก็คือเฟิ่งรั่วหนานบุตรีคนสุดท้องจากบรรดาบุตรธิดาทั้งสามของเฟิ่งหลิงปอ เมื่อได้ยินหนิวโหย่วเต้าเอ่ยทักทายจึงเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “สหายเก่าอย่างนั้นหรือ? ข้ากับเจ้านับว่าเป็นสหายเก่าเช่นไร?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพยังจำเรื่องแพไม้ไผ่ริมแม่น้ำในจังหวัดจื่ออวิ๋นเมื่อปีนั้นได้หรือไม่? แซ่หนิวยังคงจดจำท่านแม่ทัพได้ดี รอดพ้นจากลูกธนูของท่านแม่ทัพมาได้ ทว่าเกือบแข็งตายในแม่น้ำเสียแล้ว”
เฟิ่งรั่วหนานยิ้มมุมปากนิดๆ นางจดจำเรื่องนี้ได้ ต่อให้ไม่ได้รับรายงานข่าวจากคณะของซางเฉาจง นางก็ยังจดจำนามหนิวโหย่วเต้านี้ได้ ปีนั้นหลังจากนางยิงป้ายชื่อทิ้งไว้ให้แล้ว นางถึงนึกขึ้นมาได้ว่าเด็กคนนั้นจะแข็งตายอยู่ในแม่น้ำหรือไม่? ภายหลังคิดจะย้อนกลับไปดู แต่เมื่อคำนึงถึงทิศทางการไหลของกระแสน้ำ คาดว่าคงจะหาตัวไม่พบแล้ว นางจึงถอดใจไป แต่หลังจากนั้นก็มีเรื่องที่ทำให้นางจดจำได้ไม่รู้ลืม นั่นคือมีคนจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์นำป้ายชื่อของนางมาขอพบนาง มาตรวจสอบความจริงว่านางเคยพบปะกับหนิวโหย่วเต้าจริงๆ หรือไม่ นางถึงได้ทราบว่าเด็กชายเจ้าปัญญาบนแพไม้ไผ่แพนั้นมีนามว่าหนิวโหย่วเต้า และได้เข้าสู่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปแล้ว เพียงแต่จนถึงปัจจุบันนี้หนิวโหย่วเต้าก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้เลย
จากนั้นเมื่อไม่นานมานี้ นางได้ยินว่าฝ่าซือคุ้มกันของซางเฉาจงคือศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ มีนามว่าหนิวโหย่วเต้า นางจึงนึกออกทันทีว่าเป็นผู้ใด และจากข่าวที่นางเพิ่งจะได้รับมาในเช้าวันนี้ทำให้นางรู้ว่าหนิวโหย่วเต้าเอาชนะพวกซ่งเหยี่ยนชิงที่เป็นศิษย์พี่ทั้งสามคนได้ นี่ยิ่งทำให้นางประหลาดใจมากขึ้น หนิวโหย่วเต้าเพิ่งเข้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้แค่ไม่กี่ปี มีความสามารถขนาดนี้เชียวหรือ? เมื่อครู่ที่ขว้างทวนเล่มนั้นใส่ก็เพื่อจะหยั่งเชิงอีกฝ่าย ไม่คิดเลยว่าจะถูกหยวนกังสกัดไว้ได้
“ที่แท้เป็นเจ้านั่นเอง!” เฟิ่งรั่วหนานดูแคลนเล็กน้อย เอ่ยด้วยสีหน้าประชดประชัน “ทำไมเล่า? วันนี้จะมาแก้แค้นข้าหรืออย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “มิกล้า วันนี้ข้ารับบัญชาจากท่านอ๋องมาชื้อของในตัวเมือง นึกขึ้นได้ว่ามีสหายเก่าอยู่ที่นี่ จึงตั้งใจมาเยี่ยมเยือนเป็นการเฉพาะ”
เฟิ่งรั่วหนานถามต่อ “แค่นี้หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะแห้งๆ ตอบว่า “แน่นอน ยังมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือจากท่านแม่ทัพนิดหน่อยด้วย”
เฟิ่งรั่วหนานอดยิ้มเยาะไม่ได้ ท่าทางนั้นสื่อชัดเจนว่าเหตุใดข้าต้องช่วยเจ้าด้วย? แต่ปากยังคงเอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “ลองว่ามาก่อนสิ”
หนิวโหย่วเต้าถูไม้ถูมือ เอ่ยอย่างกระดากใจอยู่บ้างว่า “ข้าอยากจะขอหยิบยืมเงินท่านแม่ทัพเล็กน้อย ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพสะดวกหรือไม่?”
ยืมเงินหรือ? เฟิ่งรั่วหนานตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด เอ่ยด้วยความฉงนว่า “ยืมเท่าใด?”
หนิวโหย่วเต้าชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว พลางเอ่ยอย่างเบิกบานว่า “ไม่มากเลย แค่หมื่นเหรียญทองเท่านั้น!”
สีหน้าเฟิ่งรั่วหนานแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นี่เจ้าล้อเล่นอะไรอยู่ เอ่ยปากมาก็จะเอาหมื่นเหรียญทองเลย สำหรับนางแล้ว เงินจำนวนนี้จะบอกว่ามากก็ไม่ได้มาก จะบอกว่าน้อยก็ไม่ได้น้อย เพียงแต่ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหนิวโหย่วเต้าไม่ได้ลึกซึ้งจนถึงขั้นที่จะให้หยิบยืมเงินมากมายขนาดนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายติดตามพวกซางเฉาจงอยู่ นางจึงโบกมือไล่พลางเอ่ยอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อยว่า “ช่วงนี้ข้าขัดสนยิ่งนัก ไม่สะดวกเลยแม้แต่น้อย ฝ่าซือไปหาคนอื่นเถอะ ทหาร ส่งแขก!”
จากนั้นสตรีชุดดำนางหนึ่งกระโดดลงมาด้านล่างเวที ผายมือพลางเอ่ยว่า “เชิญ!”
หนิวโหย่วเต้ายกมือสื่อว่าให้คอยสักครู่ เขาทำหน้าหนาเอ่ยไปว่า “หรือท่านแม่ทัพลองเสนอเงื่อนไขมาดู ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะยอมให้ยืม?” เมื่อเห็นท่าทางหมดความอดทนและไม่ยินดีที่จะพูดคุยต่อไปของอีกฝ่าย ความคิดเขาขยับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าจำเป็นต้องกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของอีกฝ่ายถึงจะได้เรื่อง จึงเปลี่ยนคำพูดทันทีว่า “หนึ่งชั่วยาม ขอยืมแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น ครบหนึ่งชั่วยามแล้วจะคืนให้ท่านแม่ทัพทันที!” พร้อมทั้งชูนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งนิ้วอีกครั้ง
ยืมหมื่นเหรียญทองหนึ่งชั่วยามหรือ? เฟิ่งรั่วหนานอยากรู้เหมือนกันว่าคนผู้นี้คิดจะทำอะไร จึงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าจะไว้ใจเจ้าได้อย่างไร? หากเจ้าเชิดเงินหนีไป ข้าจะไปตามทวงกับผู้ใดเล่า?” นางเพียงแค่พูดๆ ไปเท่านั้น ที่นี่คือถิ่นของนาง ไม่จำเป็นต้องกลัวเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะหนีไปไหนได้ภายในหนึ่งชั่วยาม
หนิวโหย่วเต้าตบอกกล่าวว่า “ไม่หนีแน่นอน ให้ข้าเป็นตัวประกันอยู่ที่นี่ดีหรือไม่? หากครบหนึ่งชั่วยามแล้วไม่สามารถนำเงินมาคืนได้ จะฆ่าจะแกงอย่างไร เชิญจัดการได้ตามสบายเลย!”
เฟิ่งรั่วหนานเอ่ยอย่างดูแคลน “ฆ่าเจ้าแล้วมีประโยชน์อันใด? ชีวิตน้อยๆ ของเจ้าเนี่ย เกรงว่าไม่ช้าก็เร็วตระกูลซ่งคงจะมาเอาไปแล้วกระมัง?” เห็นได้ชัดว่านางทราบเรื่องที่หนิวโหย่วเต้าสังหารซ่งเหยี่ยนชิงแล้ว
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ พลางเอ่ยว่า “ชีวิตของข้า ตระกูลซ่งคงเอาไปไม่ได้ง่ายๆ แต่ในเมื่อท่านแม่ทัพคิดเช่นนี้ ข้าก็ยินดีจะวางเดิมพันกับท่านแม่ทัพ หากข้าแพ้เดิมพัน อีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง ข้าจะคืนเงินต้นหมื่นเหรียญทองพร้อมด้วยดอกเบี้ยอีกหนึ่งแสนเหรียญทองให้ ไม่บิดพลิ้วแน่นอน!”
หนึ่งแสนเหรียญทองหรือ? นั่นมิใช่จำนวนน้อยๆ เลย สตรีชุดดำทั้งสี่ต่างสบตากัน
เฟิ่งรั่วหนานหวั่นไหวเล็กน้อย เงินหนึ่งแสนเหรียญทองเพียงพอใช้จ่ายเบี้ยเลี้ยงทั้งกองทัพของจังหวัดกว่างอี้ได้หลายรอบเลย แต่ปากคอยังคงเราะร้ายอยู่ เอ่ยเหน็บแนมว่า “ขนาดเงินหมื่นเหรียญทองเจ้ายังมาถามหยิบยืม แล้วจะเอาเงินแสนเหรียญทองที่ไหนมาให้ข้า?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ต่อให้หาเงินแสนเหรียญทองมาไม่ได้ ข้าก็ต้องนำของที่มีค่าถึงแสนเหรียญทองมาชำระหนี้ให้ท่านแน่นอน ถึงแม้ท่านอ๋องของข้าจะไม่มีเงิน แต่พระองค์ก็ยังพอมีทรัพย์สินมีค่าอยู่บ้าง หากท่านแม่ทัพไม่วางใจ ข้ายินดีมอบสิ่งนี้ให้เป็นหลักประกัน” เขาหยิบป้ายคำสั่งอันหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วโยนส่งให้ นี่คือป้ายคำสั่งที่เขาหยิบยืมมาจากซางเฉาจงก่อนที่จะออกเดินทาง บอกว่ามาพบเฟิ่งหลิงปอจำเป็นต้องมีหลักฐานยืนยันตัว แล้วก็เพื่อที่จะสั่งการองครักษ์ได้สะดวก
สตรีชุดดำที่อยู่ตรงหน้ารับเอาป้ายคำสั่งไปตรวจสอบ ก่อนจะส่งต่อให้เฟิ่งรั่วหนาน ฝ่ายนั้นรับไปมองแวบหนึ่ง พบว่าเป็นป้ายคำสั่งจวิ้นอ๋องของซางเฉาจง หลังจากตรวจสอบซ้ำไปซ้ำมา จึงมั่นใจว่าน่าจะไม่ใช่ของปลอม บนป้ายสลักตราลัญจกรของราชวงศ์ที่มีความวิจิตรประณีตเอาไว้ ป้ายคำสั่งนี้จะบอกว่ามีค่าก็มีค่า จะบอกว่าไม่มีค่าก็ไม่มีค่า สิ่งสำคัญคือต้องดูว่าเจ้าของป้ายคำสั่งมีอำนาจมากแค่ไหน สำหรับซางเฉาจงในปัจจุบันนี้ เห็นได้ชัดว่าป้ายคำสั่งนี้ไม่มีค่าอันใดเลย แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว ป้ายคำสั่งนี้กลับเป็นศักดิ์ศรีและเกียรติยศหน้าตาสำหรับซางเฉาจง กล่าวก็คือมันไม่มีค่าอันใดสำหรับผู้อื่น แต่กลับมีค่ากับซางเฉาจง
เมื่อมีป้ายคำสั่งนี้อยู่ในมือ เฟิ่งรั่วหนานก็วางใจ ไม่กลัวซางเฉาจงเบี้ยวหนี้อีก จึงเล่นป้ายคำสั่งอยู่ในมือพลางเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “เจ้าจะเดิมพันอย่างไร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า