ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 45

ตอนที่ 45 ต่ำช้าไร้ยางอาย

สองสามีภรรยามองหน้ากัน หรือว่าบุตรสาวทราบเรื่องนี้อยู่แล้วถึงได้จับตัวพ่อสื่อรับตัวเจ้าสาวไปขังไว้?

เผิงอวี้หลานอดถามไม่ได้ “พ่อสื่อคือผู้ใด? หลานรั่วถิงอย่างนั้นหรือ?”

หยวนกังเอ่ยตอบ “หนิวโหย่วเต้าผู้เป็นฝ่าซือติดตามของท่านอ๋อง!”

หนิวโหย่วเต้า? สองสามีภรรยานิ่งงัน จากนั้นเฟิ่งหลิงปอขมวดคิ้วกล่าวว่า “เหลวไหล!” ไม่ทราบเช่นกันว่าพูดถึงเฟิ่งรั่วหนานหรือว่าหนิวโหย่วเต้า

เผิงอวี้หลานหันมองไปทางด้านหลังทันที ร้องสั่งการ “ไป๋เหยา เจ้าจงรีบนำลูกน้องสองคนไปตรวจดูหน่อย พาตัวคนมาด้วย อย่าให้นังหนูคนนั้นก่อเรื่องวุ่นวาย”

ด้านหลังมีชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้หนึ่งยืนกอดอกพิงเสาอยู่ กอดกระบี่ไว้ในอ้อมแขน อายุดูไม่มาก ทว่าเส้นผมทั้งศีรษะกลับขาวโพลนดั่งหิมะ ขาวหมดจดทั่วศีรษะ พยักหน้ารับคำสั่งด้วยสีหน้าเยือกเย็น รีบก้าวออกจากห้องโถงหลัก เรียกคนที่อยู่ด้านนอกไปด้วยสองคน ทะยานขึ้นสู่อากาศแล้วร่อนลงบนหลังคา

ทั้งสามเดินทางออกจากจวนผู้ว่าการผ่านทางหลังคา เหินไต่หลังคาบ้านที่อยู่ตามตรอกซอกซอยภายในเมือง ร่างกายแผ่วเบาดุจนกนางแอ่น ผู้คนที่เดินอยู่บนถนนแทบจะไม่มีใครสังเกตเห็นเลย ใช้เวลาไม่นาน ทั้งสามก็ร่อนลงจากหลังคาบ้านหลังหนึ่ง ลงสู่พื้นที่โล่งนอกค่ายทหาร สืบเท้าก้าวเข้าไปในค่ายทหาร

มาตรว่าทหารรักษาการณ์ของค่ายทหารจะไม่ได้เข้ามาขวาง แต่ไป๋เหยาก็ยังแสดงป้ายผ่านทางอยู่ดี นำลูกน้องเข้าไปด้านใน

เขาเดินตรงมาจนถึงกระโจมบัญชาการ บุกเข้าไปโดยไม่รอให้ทหารยามเอ่ยรายงาน ด้วยเกรงว่าเฟิ่งรั่วหนานจะกระทำเรื่องโง่เขลาสังหารพ่อสื่อไปจริงๆ เมื่อเข้าไปในกระโจมก็เห็นเฟิ่งรั่วหนานในชุดเกราะยืนเอามือไพล่หลังมองแผนที่บนผนังกระโจมอยู่

“ท่านแม่ทัพ…” ทหารยามที่วิ่งตามเข้ามากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เนื่องจากเข้ามารายงานไม่ทัน

เฟิ่งรั่วหนานหันกลับมา พอเห็นอีกฝ่ายก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะโบกมือให้ทหารยามถอยไป เอ่ยด้วยความแปลกใจว่า “ท่านอาไป๋ ท่านมาได้อย่างไร?”

ไป๋เหยาเอ่ยถาม “เจ้ากักตัวหนิวโหย่วเต้าไว้หรือ?”

เฟิ่งรั่วหนานตะลึงงันอีกครั้ง พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว! ทำไมหรือ?”

ไป๋เหยามองไปรอบๆ “คนอยู่ไหน?”

เฟิ่งรั่วหนานเอ่ยตอบ “ถูกเฝ้าไว้ในกระโจมด้านข้าง…”

ไม่รอให้นางเอ่ยจบ ไป๋เหยาหันหลังเดินออกไป เมื่อออกมาจากกระโจมก็กวาดตามองไปรอบๆ เห็นว่าทางซ้ายมีกระโจมอยู่หลังหนึ่ง มีทหารเฝ้าอยู่หน้ากระโจม จึงสาวเท้าก้าวเข้าไป ทหารยามไม่กล้าขัดขวางเขา ปล่อยให้เขาแหวกม่านกระโจมเข้าไป เมื่อไป๋เหยาเข้าไปด้านใน เขามองเห็นหนิวโหย่วเต้ากำลังจิบชาด้วยท่าทางสบายๆ สตรีชุดดำที่ชื่อหลานสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง ยืนเฝ้าเงียบๆ อยู่ด้านใน

“อาจารย์อา!” เหมยประสานมือคารวะอย่างรวดเร็ว

ไป๋เหยาไม่สนใจนาง เขามองสำรวจหนิวโหย่วเต้าตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเอ่ยถามว่า “เจ้าคือหนิวโหย่วเต้า?”

หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ ลุกขึ้นยืน บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเล็กน้อยออกมา ประสานมือกล่าวว่า “เป็นข้าเอง ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดจะชี้แนะหรือ?”

เวลานี้เอง เฟิ่งรั่วหนานเองก็แหวกม่านกระโจมเข้ามาเช่นกัน ขณะที่กำลังรู้สึกแปลกใจ กลับเห็นไป๋เหยายื่นมือไปหาหนิวโหย่วเต้าพลางกล่าวว่า “ไปกับข้า”

หนิวโหย่วเต้าเองก็มิได้สนใจเช่นกันว่าผู้มาเยือนเป็นใคร ว่าง่ายยิ่งนัก พยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ตกลง!”

“ช้าก่อน!” เฟิ่งรั่วหนานเบิกตากว้างร้องห้ามทันที กล่าวไปว่า “ท่านอาไป๋ เขาไปไม่ได้ ข้ามีธุระกับเขา”

ไป๋เหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แม่เจ้าอยากพบเขา มีเรื่องอะไรก็รอให้เขาไปพบแม่เจ้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

หนิวโหย่วเต้าได้ยินก็ยิ้มร่า รู้ว่าทางหยวนกังได้พบเป้าหมายเรียบร้อยแล้วแน่นอน เขายังคงวางใจในการทำงานของหยวนกังได้เสมอ

เฟิ่งรั่วหนานสีหน้าหงิกงอ เอ่ยเสียงแข็งว่า “ไม่ได้ เขาติดหนี้ข้าอยู่ ไปไม่ได้”

เอาเรื่องเงินมาเทียบกับธุระของแม่เจ้าได้หรือ? ไป๋เหยาขมวดคิ้วจ้องมองนาง ท่าทางคล้ายจะสื่อว่าเจ้านี่คิดไม่เป็นเลย จากนั้นเอ่ยเสียงขรึม “เรื่องเงินเอาไว้กลับมาคุยกันทีหลัง”

เฟิ่งรั่วหนานทักท้วงต่อ “ท่านอาไป๋ พวกเราเดิมพันกันไว้ ตอนนี้ยังปล่อยเขาไปไม่ได้”

หนิวโหย่วเต้าพลันถอนใจพลางเอ่ย “ท่านแม่ทัพ ข้ามิได้จะเบี้ยวหนี้สักหน่อย หนีไม่ได้อยู่แล้ว”

พอเขาเอ่ยเช่นนี้ ไป๋เหยาก็ไม่พูดไร้สาระอีก เอียงคอกล่าวกับหนิวโหย่วเต้าว่า “ไปกับข้า!”

หนิวโหย่วเต้าประสานมือคำนับไปทางเขา เดินตามหลังเขาไป ขณะที่เดินผ่านเฟิ่งรั่วหนาน มุมปากก็ได้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

เฟิ่งรั่วหนานเห็นแล้วโมโหนัก ทว่าไม่อาจขวางไป๋เหยาไม่ให้พาคนไปได้ นางเดินตามออกไปนอกกระโจม ตะโกนว่า “หนิวโหย่วเต้า หากเจ้ากล้าคืนเงินข้าขาดไปแม้แต่สลึงเดียว ข้าจะให้เจ้าได้เห็นดี!”

หนิวโหย่วเต้าหันกลับมาประสานมืออำลานาง เรียกได้ว่าจากไปอย่างอารมณ์ดี ยิ้มผยองเบิกบาน ท่าทางสบายอกสบายใจยิ่ง

“หัวเราะไปก่อนเถอะ อยากรู้นักว่าอีกเดี๋ยวเจ้าจะร้องไห้อย่างไร!” เฟิ่งรั่วหนานกัดฟันเอ่ย ขณะที่กำลังจะสั่งให้ลูกน้องทางนี้ไปที่จวนผู้ว่าการเพื่อสืบดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในเวลานี้จวี๋ก็ได้กลับเข้ามาอย่างรีบร้อน

เฟิ่งรั่วหนานยั้งเรื่องสืบข่าวเอาไว้ชั่วคราว ซักถามจวี๋ว่า “รู้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

สีหน้าของจวี๋แปลกไปเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจืออารมณ์หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกไว้หลายส่วน “หยวนกังคนนั้นพาคนไปสู่ขอที่จวนผู้ว่าการเจ้าค่ะ”

“สู่ขอ?” เฟิ่งรั่วหนานตะลึง “สู่ขออะไร?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า