ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 453

ตอนที่ 453 ลุงเฉินมีปัญหา

ก่วนฟางอี๋อดไม่ได้จะเอ่ยเตือนอย่างจริงจัง “เจ้าคิดให้ดีเถอะ ตงกัวเฮ่าหรานขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์ของเจ้าอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม ตงกัวเฮ่าหรานเป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์! ไม่ว่าตงกัวเฮ่าหรานจะได้ถ่ายทอดอันใดให้เจ้าหรือไม่ ถึงอย่างไรตงกัวเฮ่าหรานก็ไม่ได้ทำผิดต่อเจ้า กล่าวเช่นนี้อาจจะดูจอมปลอมไปบ้าง แต่ในชีวิตคนเราก็มีศักดิ์ศรีบางอย่างที่ต้องแบกรับไว้โดยไม่อาจสลัดทิ้งไปได้ เรื่องของถังอี๋ต่อให้เจ้าจะทะเลาะวุ่นวายอย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างหนุ่มสาวของเจ้ากับถังอี๋ แต่หากเจ้าทำลายล้างสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ นั่นคือการอกตัญญูล้มล้างบรรพจารย์ นับเป็นสิ่งต้องห้ามร้ายแรงในโลกบำเพ็ญเพียร”

“พวกเขาสามารถสังหารข้าได้ แต่ข้ากลับสังหารพวกเขาไม่ได้ นี่มันเหตุผลใดกัน?” หนิวโหย่วเต้าปรายตามอง

“ถูกต้อง ถึงแม้จะอยุติธรรมต่อเจ้า แต่บนโลกนี้ไหนเลยจะมีความยุติธรรมเสมอภาค ชีวิตคนเราเดิมทีก็มีเรื่องอยุติธรรมมากมายที่จะต้องเผชิญหน้าและต้องทนแบกรับไว้อยู่แล้ว หากเจ้าไม่ยอมรับคุณธรรมอันเป็นข้อผูกมัดของโลกนี้ สนใจแต่บุญคุณความแค้นของตัวเอง เขาก็จะกลายเป็นมารร้ายนอกรีตในสายตาของคนทั้งโลก จะไม่มีผู้ใดยอมคุยเรื่องยุติธรรมไม่ยุติธรรมอันใดกับเจ้าอีก!”

“เจ้าวางใจเถอะ ข้าทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลของตัวเองอยู่ ในเมื่อข้ากล้าลงมือทำ เรื่องนี้ก็ไม่มีทางสืบสาวมาถึงตัวข้าได้!”

สรุปคือไม่ว่าก่วนฟางอี๋จะโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่เป็นผล

หลังกินอาหารเสร็จ คนของสวนไม้เลื้อยได้เห็นหยวนกังออกไปจัดการตามความประสงค์ของหนิวโหย่วเต้าด้วยตาตน ไปเอาปีกทองที่อยู่ในการดูแลของเหล่าสือเอ้อร์มาแล้วส่งข่าวออกไป

ไม่นานนัก ตรงมุมกำแพงฝั่งตะวันตกนอกโรงเตี๊ยมได้มีเงาร่างหนึ่งพุ่งผ่านออกไป ขณะที่พุ่งผ่านไปได้ซัดฝ่ามือออกมา ประทับตราแมลงแปลกประหลาดตัวหนึ่งไว้ตรงมุมกำแพงที่เห็นได้ชัดเจน เป็นรูปแมลงสีขาว

แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกันแน่ รอยแมลงรูปนี้ก็ได้ถูกใครสักคนที่สัญจรผ่านมาเช็ดออกไป

หลังจากรัตติกาลเข้าครอบคลุม ท่ามกลางผู้คนที่สัญจรอยู่บนถนน มีใครคนหนึ่งถือพวงโคมเล็กๆ สามดวงห้อยเรียงกันเดินผ่านด้านนอกโรงเตี๊ยมไป ดูเหมือนจะเป็นคนธรรมดาในเมืองวั่นเซี่ยง แต่ในบรรดาโคมไฟสามดวงนั้นมีเพียงโคมตรงกลางที่ไร้แสง

คล้ายว่าคนผู้นั้นจะไม่ทันระวัง บังเอิญเดินชนคนที่กำลังจะเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมเล็กน้อย คนที่ถูกชนหันมามองด้วยแววตาเย็นชา เป็นลุงเฉินนั่นเอง

คนที่ถือโคมไฟรีบขอโทษขอโพย

ลุงเฉินสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ถือสาเอาความอันใดกับเขา เดินกลับเข้าโรงเตี๊ยมไป

ชายถือโคมเดินมุ่งหน้าตามถนนต่อไป

ภายในรอยแง้มเล็กๆ ของหน้าต่างบานหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับโรงเตี๊ยม ดวงตาคู่หนึ่งเฝ้ามองเหตุการณ์การชนกันโดยบังเอิญครั้งนี้อยู่ท่ามกลางความมืด จากนั้นก็คอยสังเกตการณ์ทางฝั่งโรงเตี๊ยม ดูว่าจะมีใครตามคนถือโคมไฟไปหรือไม่

แต่ตรงกำแพงสวนด้านหลังที่อยู่ภายในโรงเตี๊ยมกลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งออกมา กระโจนข้ามกำแพงไปในชั่วพริบตา เป็นหยวนกังที่ผ่านการแปลงโฉมแล้ว

หยวนกังเลี่ยงทิศทางประตูหลักของโรงเตี๊ยม ออกจากโรงเตี๊ยมผ่านทางประตูหลัง เขาเร่งฝีเท้าวิ่งผ่านเข้าไปในตรอกสายหนึ่งอย่างรวดเร็ว ออกไปโผล่ที่ถนนอีกเส้นหนึ่ง ซึ่งเป็นถนนหลักที่อยู่ทางประตูหลักของโรงเตี๊ยมเส้นนั้น ล่วงหน้ามาดักอยู่ด้านหน้าของชายถือตะเกียงก่อนแล้วค่อยผ่อนฝีเท้าลง สวมผ้าคลุมมีหมวกสีดำคลุมร่างไว้

ไม่นานนัก ชายคนที่ถือโคมไฟก็เดินผ่านหยวนกังไป

ชายถือโคมเดินมุ่งทางทิศตะวันออก สุดท้ายก็หักเลี้ยวเข้าสู่ตรอกเส้นหนึ่ง เข้าไปในเรือนเล็กหลังหนึ่งไอรีนโนเวล

ผ่านไปพักใหญ่ก็มีเงาดำของปีกทองตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากเรือนเล็กบินสู่นภา โฉบหายลับไปในท้องฟ้ายามราตรี

ภายในเรือนเล็กอีกหลังหนึ่งที่อยู่ในละแวกนี้ เด็กน้อยกำลังเล่นกระโดดเชือกกันอยู่ภายใต้โคมไฟที่ส่องสว่างอยู่ใต้ชายคา เงาดำร่างหนึ่งที่หมอบฟุบอยู่บนหลังคาค่อยๆ พลิกตัวไถลลงมาอย่างเงียบเชียบ มือคว้าจับช่องลมบนกำแพงเล็กน้อย ชะลอความเร็วในการร่วงลงสู่ด้านล่าง ร่อนลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา ผ้าคลุมสีดำห่อหุ้มร่างไว้ เร่งฝีเท้าจากไป…

ภายในโรงเตี๊ยม ไม่รู้ว่าหยวนกังกลับมาตั้งแต่ตอนไหน ยามที่เดินผ่านเฉลียงทางเดินได้ช้อนตามองคันฉ่องบานหนึ่งตรงมุมคานหลังคาที่เป็นจุดอับสายตาเล็กน้อย พอเดินผ่านหน้าประตูห้องหยวนฟางก็เคาะประตูเล็กน้อย จากนั้นเดินตรงไปที่ห้องของหนิวโหย่วเต้า

ภายในห้องของหยวนฟาง หยวนฟางนั่งอยู่ริมหน้าต่างท่ามกลางความมืด นั่งเฝ้าคันฉ่องสองบานอยู่ เบิกตากว้างจ้องมองภาพสะท้อนจากการหักเหของแสงบนคันฉ่องทั้งสองบานโดยแทบไม่กล้ากะพริบตา

สุดปลายของชายคาด้านนอกที่แขวนโคมไฟห้อยเรียงไว้ก็มีคันฉ่องบานหนึ่งซ่อนอยู่เช่นกัน ตั้งอยู่ตรงข้ามคันฉ่องบานหนึ่งที่เขาเฝ้าอยู่ ถึงแม้จะมองเห็นอะไรไม่ชัดเจน แต่หากมีคนเดินเข้าออกผ่านแนวหน้าต่างด้านนอกล่ะก็ จะต้องสังเกตเห็นได้แน่นอน

ส่วนคันฉ่องอีกบานหันหน้าเข้าหาเฉลียงทางเดินของโรงเตี๊ยม ถึงแม้จะมองอะไรไม่ชัดเช่นกัน แต่หากห้องใดมีคนเข้าออกก็จะจับสังเกตได้เช่นกัน

คันฉ่องเหล่านี้ถูกติดตั้งโดยหยวนกัง หยวนฟางก็ไม่เข้าใจว่าหนวนกังกำลังทำอะไร แต่คำสั่งของหยวนกังมีเพียงประการเดียว นั่นคือให้จดจำว่ามีใครเข้าออกห้องไหนบ้าง

พอได้รับสัญญาณว่าหยวนกังกลับมาแล้ว หยวนฟางที่นั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิกพลันโล่งใจ ยกมือขยี้ตาเล็กน้อย จากนั้นก้มหน้ามองถั่วที่วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ

ถั่วพวกนี้ก็เป็นหยวนกังที่ทำขึ้นมา ให้หยวนฟางที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์ใช้การเคลื่อนย้ายถั่วเพื่อนับจำนวนครั้งเข้าออกของคนอื่นๆ

หยวนฟางปล่อยผีเสื้อจันทราออกมา หยิบกระดาษกับพู่กันแล้วเริ่มนับจำนวนถั่วบนโต๊ะอย่างละเอียด จดบันทึกจำนวนครั้งเข้าออกของทุกคนในชั้นนี้ลงบนกระดาษ พร้อมกับนึกทบทวนช่วงเวลาเข้าออกอย่างคร่าวๆ แนบไปด้วย

พอเขียนเสร็จเรียบร้อยก็หยิบกระดาษสอดเข้าแขนเสื้อ เก็บผีเสื้อจันทราเดินออกจากห้อง เดินอาดๆ ไปตามเฉลียงทางเดิน มุ่งหน้าไปยังห้องของหนิวโหย่วเต้า

เขาเคาะประตูแล้วเข้าไป ภายใต้แสงนวลอ่อนจากผีเสื้อจันทร์กระจ่าง หนิวโหย่วเต้านอนตะแคงบนเตียง ใช้แขนข้างหนึ่งยันศีรษะไว้ นอนหลับตาอยู่ราวกับกำลังงีบหลัง

หยวนกังยืนอยู่ด้านข้าง

หยวนฟางปิดประตูแล้วเดินเข้ามา ล้วงกระดาษในแขนเสื้อยื่นส่งให้หยวนกัง กระซิบเบาๆ ว่า “หยวนเหยี่ย นี่ท่านจะทำอะไรหรือขอรับ ไม่วางใจพวกสวนไม้เลื้อยหรือ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า