ตอนที่ 452 มิสู้จัดการให้เรียบร้อยดีกว่า
ภายในห้องพักเงียบสงบ หนิวโหย่วเต้าหลับตาลงเงียบๆ ยืนค้ำกระบี่อยู่คนเดียว ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ก่วนฟางอี๋กลับจากไปส่งแขก เอ่ยแจ้งเล็กน้อยว่า “คนจากไปแล้ว ข้าสั่งให้เหล่าลิ่วไปสืบหาสถานที่พักของพวกเขาแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าตอบ “อืม” คำหนึ่ง
ก่วนฟางอี๋เดินอ้อมไปอยู่ตรงหน้าเขา มองเห็นเขาหลับตานิ่งเงียบอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเย้าเล่น “ดูเหมือนรักเก่ายากจะหักใจละวางได้ ได้พบหน้าคนรักเก่าอีกครั้งคงรู้สึกทรมานใจกระมัง”
หนิวโหย่วเต้าลืมตามอง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดถึงรู้สึกว่าวาจาเจ้าเต็มไปด้วยความหึงหวงกันนะ?”
ก่วนฟางอี๋ผงะพูดไม่ออก ดวงตาค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น พลันแค่นเสียงดูแคลน “หึงหวง? หึงหวงเจ้าน่ะหรือ? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? บุรุษที่มาสยบอยู่แทบชายกระโปรงข้าต่อให้ไม่ถึงพันก็คงมีสักแปดร้อยคน ถึงคราวที่ต้องมาหึงหวงเจ้าด้วยหรือ? น่าขัน! เต้าเหยี่ย ดูไม่ออกเลยนะเนี่ย เจ้าก็เป็นคนหลงตัวเองทีเดียวนะเนี่ย”
หนิวโหย่วเต้ามีท่าทีคล้ายจะโล่งใจ “เดิมทียังคิดจะแต่งกับเจ้าอยู่ แต่ที่แท้เป็นข้าที่คิดมากไปเองสินะ งั้นก็แล้วไปเถิด” ว่าจบก็หันเดินไปด้านข้าง วางกระบี่ลงบนชั้น
“……” ก่วนฟางอี๋อ้าปากค้างอยู่พักหนึ่ง จากนั้นมีสีหน้าโกรธเกรี้ยวขึ้นมาในทันใด มองซ้ายมองขวาแล้วคว้าถ้วยน้ำใบหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะขว้างใส่หนิวโหย่วเต้า
หนิวโหย่วเต้าหดคอหลบ เกิดเสียงดังเพล้งแว่วขึ้นมา ถ้วยน้ำกระทบผนังแตกกระจายเกลื่อนพื้น
“เดรัจฉานพูดจากลับกลอก…” ก่วนฟางอี๋สบถด่าโฉงเฉงอยู่พักใหญ่
หลายวันต่อมา หนิวโหย่วเต้าแทบจะไม่ออกไปไหนเลย ผู้ติดตามส่วนใหญ่ล้วนคิดว่าเขากำลังหลบเลี่ยงถังอี๋อยู่ มีเพียงหยวนกังเท่านั้นที่ทราบแก่ใจดีว่าก่อนที่เรื่องราวบางอย่างจะกระจ่างชัด เต้าเหยี่ยไม่กล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว มิเช่นนั้นจะทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายได้ง่ายๆ…
ภายในห้องพักของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ลู่เซิ่งจงนั่งอยู่หน้าโต๊ะค่อยๆ เปิดจดหมายลับในมือ หลังจากอ่านเนื้อความจบก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าขมขื่นออกมา
เป็นจดหมายตอบกลับจากเซ่าผิงปอหลังจากที่เขาส่งข่าวกลับไปรายงานทางมณฑลเป่ยโจว เขานึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยแล้วว่าเซ่าผิงปอและหนิวโหย่วเต้าจะเป็นคนประเภทเดียวกัน
ก็เหมือนกับหนิวโหย่วเต้าเคยสั่งการเขามาในตอนนั้น เซ่าผิงปอเองก็สั่งให้เขาลงมืออย่างเต็มที่เช่นกัน หากสามารถกำจัดหนิวโหย่วเต้าได้จะเป็นการดีที่สุด สรุปคือต้องการให้หนิวโหย่วเต้าไม่ได้อยู่ดีเช่นกัน
เขาหารู้ไม่ว่าเซ่าผิงปอก็ไร้หนทางเช่นกัน ในมือไม่มีกำลังของโลกบำเพ็ญเพียรที่จะนำมาต่อกรกับหนิวโหย่วเต้าได้ สำนักเขามหายานไม่มีทางช่วยเขาทำงานเช่นนี้ อันที่จริงก็คล้ายกับหนิวโหย่วเต้าในตอนนั้น เมื่อมีสำนักเขามหายานปกป้องอยู่ หนิวโหย่วเต้าก็ทำอะไรเซ่าผิงปอไม่ได้เช่นกัน
หลังจากสลายจดหมายลับให้เป็นผุยผงแล้ว ลู่เซิ่งจงก็เดินไปที่หน้าต่าง เปิดหน้าต่างออกไป ยกมือไพล่ ทอดสายตามองเมืองวั่นเซี่ยงที่อยู่นอกหน้าต่าง ในใจรู้สึกเศร้าใจนัก
ว่ากันตามจริง เขาไม่อยากไปหาเรื่องหนิวโหย่วเต้าเลยจริงๆ คนแบบนั้นอันตรายเกินไป อีกทั้งข้างกายหนิวโหย่วเต้ามีคนกลุ่มหนึ่งติดตามอยู่ แต่เขาหัวเดียวกะเทียมลีบ
แต่เขาไม่มีทางเลือก ฤทธิ์ยาเทพระทมมันเกินกว่าที่เขาจะทนรับไหวจริงๆ เดิมทียาบรรเทาพิษจะอยู่ในมือของสตรีนางนั้น แต่ตอนนี้ตกมาอยู่ในมือเซ่าผิงปอแล้ว เขาไม่กล้าขัดขืนคำสั่งเซ่าผิงปอ
สายตาเขาบังเอิญสบเข้ากับรูปสลักตัวหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ เขาผงะไปเล็กน้อย ดวงตาพลันเปล่งประกายขึ้นมา หลังจากขบคิดพินิจดูอย่างถี่ถ้วนสักพักก็คล้ายว่าจะตัดสินใจได้แล้ว ยื่นมือไปปิดหน้าต่างหันหลังเดินออกไป
….
แผนที่แผ่นหนึ่งวางอยู่เบื้องหน้า เป็นแผนที่ที่หยวนกังนำมา หนิวโหย่วเต้ายืนมองอยู่หน้าโต๊ะ ทั้งสองมีความเคยชินที่เหมือนกันคือไปที่ใดก็ต้องศึกษาสภาพภูมิประเทศในแถบนั้นให้คุ้นเคยเสียก่อน
มีเสียงเคาะประตูดังก๊อกๆ หยวนกังเปิดประตูเข้ามา จากนั้นปิดประตู เดินมาหยุดข้างกายหนิวโหย่วเต้า เอ่ยกระซิบว่า “มีคำตอบกลับมาจากเป่ยโจวแล้ว ประมาณครึ่งเดือนก่อนจู่ๆ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็ไปกล่าวอำลาเซ่าผิงปอ จากนั้นสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็อพยพออกจากมณฑลเป่ยโจวอย่างเป็นทางการ ออกจากเป่ยโจวกันทั้งสำนัก”
สายตาของหนิวโหย่วเต้าที่จ้องมองแผนที่อยู่ค่อยๆ ฉายแววฉงน “เซ่าผิงปอไม่มีทางปล่อยให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จากมาได้ง่ายๆ”
ทั้งสองอยู่ด้วยกันมานาน หยวนกังย่อมทราบดีว่าควรจัดการเรื่องที่หนิวโหย่วเต้าสั่งการมาอย่างไร เขาเอ่ยตอบว่า “สอบถามดูแล้ว ทางนั้นเอ่ยถึงเรื่องหนึ่งมา บอกว่าจู่ๆ ก็มีโห่วขนทองตัวหนึ่งบุกเข้าไปในค่ายทหารนอกเมืองเป่ยโจว ซ้ำยังทำร้ายไพร่พลด้วย”
“โห่วขนทอง!” หนิวโหย่วเต้าเงยหน้าขึ้น ตามที่ได้ยินมา ตอนนี้บนโลกมีโห่วขนทองอยู่เพียงตัวเดียวท่านั้น ซ้ำยังเกี่ยวข้องกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ด้วย เดาได้ไม่ยากเลยว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยโพล่งออกมา “จ้าวสยงเกอ…มิน่าล่ะ!”
ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเซ่าผิงปอถึงยอมปล่อยคนมา มีคนที่เซ่าผิงปอหาเรื่องไม่ได้ออกโรงแล้ว
“แผนที่!” หนิวโหย่วเต้าหันมาเอ่ยคำหนึ่ง
หยวนกังเดินไปหน้าโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง ดึงแผนที่ฉบับหนึ่งออกมา กางแขวนไว้บนผนังห้อง
หนิวโหย่วเต้าเดินเข้ามาตรงหน้าแผนที่ที่แขวนอยู่บนผนัง สายตามองไปที่มณฑลเป่ยโจวมอง ไล่ไปตามเส้นทางมุ่งสู่ตะวันออก ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ตำแหน่งเมืองวั่นเซี่ยง คำนวณระยะเวลาเดินทางดูเล็กน้อย เอ่ยเนิบๆ ว่า “ไม่มีเวลาพอไปแวะเวียนที่ไหนเลย มุ่งหน้าตรงมายังมาเมืองวั่นเซี่ยง พุ่งเป้ามาที่ตัวฉันโดยเฉพาะ”
หยวนกังเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เต้าเหยี่ย เกรงว่าคนทางฝั่งเราจะไม่ค่อยสะอาด”
สีหน้าหนิวโหย่วเต้าเรียบเฉย ทันทีที่มาถึงเมืองวั่นเซี่ยงคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็มาดักรอ ทำให้เขาเกิดข้อสงสัยขึ้นมา ครั้งนี้เพียงแค่ได้รับการยืนยันเท่านั้น เขาหันไปมองหยวนกังเล็กน้อย สายตาลุ่มลึกมีนัย
หยวนกังเข้าใจเจตนา พยักหน้ารับเงียบๆ
หนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองหลังคา ชักจะปวดหัวขึ้นมาแล้ว ไม่ได้ปวดหัวที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาพัวพัน แต่เป็นเพราะจ้าวสยงเกอลงมือแล้ว!
เรื่องเล็กน้อยบางอย่างที่ซุกอยู่ในซอกมุมหนึ่ง ละสายตาไปก็มองไม่เห็น สงบเงียบไม่ชวนให้ตื่นตระหนก คนอื่นอาจจะไม่ใส่ใจเรื่องนี้ เผลอๆ อาจจะไม่สังเกตเห็นเลยด้วยซ้ำ แต่เขาและเซ่าผิงปอที่เป็นตัวละครในเรื่องราวล้วนทราบแก่ใจดี สัตว์พาหนะของจ้าวสยงเกอไหนเลยจะบุกเข้าไปในค่ายทหารนอกเมืองเป่ยโจวแล้วทำร้ายคนอย่างไร้สาเหตุได้
สำหรับเซ่าผิงปอนับเป็นคำเตือน แล้วก็นับเป็นการแจ้งเตือนมายังตัวเขาด้วยเช่นกัน จ้าวสยงเกอกำลังประกาศตัวว่าหนุนหลังสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่ หากทั้งสองมีความกล้ามากพอก็ลองดู!
ด้วยเหตุนี้เซ่าผิงปอจึงยอมจำนนในทันที ปล่อยคนจากไปแต่โดยดี!
จากนั้นก็ถึงคราวที่หนิวโหย่วเต้าจะต้องปวดหัวบ้างแล้ว สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาหาเขา ดูเหมือนจะเป็นเจตนาจากจ้าวสยงเกอ เขาสามารถเมินเฉยต่อเจตนาของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้ แต่ไม่อาจล่วงเกินจ้าวสยงเกอได้!
เขาไม่เคยพบจ้าวสยงเกอมาก่อน ไม่ทราบว่านิสัยใจคอของจ้าวสยงเกอเป็นเช่นไร แต่จากชื่อเสียงที่เลื่องลือก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นคนบ้าที่ยืนอยู่ระหว่างความชั่วและความดีโดยไม่มีอะไรมาผูกมัด!
“เหตุใดถึงไม่เห็นผู้อาวุโสถังเลยล่ะ?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามอย่างเย็นชา
ถังอี๋ตอบว่า “ต้องมีคนคอยเฝ้า…”
หนิวโหย่วเต้ายกมือเอ่ยตัดบท “ข้ออ้างทำนองนี้ไม่จำเป็นต้องกล่าวแล้ว หากว่าผู้อาวุโสถังไม่เต็มใจ ไยต้องฝืนใจเล่า ข้าอยากจะเห็นความจริงใจก่อน หากไร้ซึ่งความจริงใจ ยังมีอันใดต้องคุยกันอีก?”
เพียงวาจาเดียวก็ทำให้ทางสำนักสวรรค์พิสุทธิ์พูดไม่ออก อีกฝ่ายไม่ได้กล่าวผิดไปเลย ด้วยเหตุนี้จึงถูกไล่กลับไปอย่างง่ายๆ อีกครั้ง
ก่วนฟางอี๋ที่กลับมาจากส่งแขก พอเห็นหนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยแขวะทันที “ช่างเป็นชายที่ใจจืดใจดำจริงๆ ไม่รู้จักอ่อนโยนกับคนรักบ้างเลย” นัยน์ตางามฉายแววหยอกเย้า
สตรีนางนี้จงใจยียวน หนิวโหย่วเต้าจึงไม่สนใจนางอีก หันเดินออกไปด้านข้าง
จากนั้นหยวนกังเคาะประตูเปิดเข้ามาอีกครั้ง ยืนแจ้งอยู่ตรงประตู “เต้าเหยี่ย ให้ทางร้านจัดเตรียมอาหารสดใหม่ไว้แล้ว เชิญลองชิมเถิด”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยกับก่วนฟางอี๋ “ในเมื่อมีของสดใหม่ เช่นนั้นก็ไปเรียกทุกคนมาชิมด้วยกันเถิด”
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงมารวมตัวกันที่โต๊ะอาหารในห้องรับรองส่วนตัวห้องหนึ่ง มีเพียงเหล่าสือเอ้อร์ที่คอยเฝ้าปีกทองสื่อสารอยู่
ระหว่างที่กินอาหารอยู่ จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าลิง เดี๋ยวส่งข่าวไปหาสามสำนัก ให้สามสำนักจัดส่งศิษย์หัวกะทิหนึ่งร้อยคนมาอย่างลับๆ”
หยวนกังพยักหน้ารับ สื่อว่ารับทราบแล้ว
ก่วนฟางอี๋อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เอามาทำไม?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตามพัวพันแบบนี้มันน่ารำคาญ มิสู้จัดการให้เรียบร้อย กำจัดทิ้งไปซะ!”
ทุกคนที่นั่งอยู่ตกใจ เงยหน้ามองแทบจะพร้อมกัน
ก่วนฟางอี๋ตกใจมาก เอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าจะฆ่าล้างสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างเฉยชา “หนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วล้มได้อย่างไร? ข้าไม่มีทางสมานปรองดองกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้ พวกเขาพูตัวเองมาหาความตายเอง เกลี้ยกล่อมแล้วก็ยังไม่ไป จะมาโทษคนอื่นไม่ได้แล้ว!”
ก่วนฟางอี๋ขมวดคิ้ว “ไม่เห็นจำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้เลย ให้ข้าไปช่วยพูดแทนเจ้าดีหรือไม่ ให้พวกเขารู้ถึงความลำบากจนยอมล่าถอยไปเอง”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่ง ข้าจะจัดการเอง บุญคุณความแค้นในอดีตก็ถึงเวลาที่ต้องสะสางแล้วเช่นกัน”
……………………………………………………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า