ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 451

สรุปบท ตอนที่ 451 พบกันที่เมืองวั่นเซี่ยง: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 451 พบกันที่เมืองวั่นเซี่ยง – ตอนที่ต้องอ่านของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนนี้ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 451 พบกันที่เมืองวั่นเซี่ยง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 451 พบกันที่เมืองวั่นเซี่ยง

แคว้นซ่ง แคว้นที่อยู่สุดขอบตะวันออกในบรรดาเจ็ดแคว้นทั่วหล้า ในแคว้นมีกลุ่มอิทธิพลใหญ่สามกลุ่มคอยควบคุมชะตากรรมของแคว้นซ่งอยู่ แบ่งออกเป็นหอเทียมเมฆา ตำหนักโลหิตเทวาและวังแยกนภา ทั้งยังมีกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งค่อนข้างทรงอิทธิพลเช่นกัน นั่นก็คือสำนักหมื่นสรรพสัตว์!

ใช่ว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์จะไม่อยากควบคุมแคว้นซ่ง แต่กลุ่มอิทธิพลใหญ่ทั้งสามไม่ยินยอม โชคดีที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์มีทุนทรัพย์ล้นเหลือ สามารถจัดหาทรัพยากรบำเพ็ญเพียรได้เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่น

งานชุมนุมสัตว์วิเศษเป็นงานชุมนุมที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์จัดขึ้นทุกสิบปี เป้าหมายคือแสดงเหล่าสัตว์วิเศษชนิดใหม่ที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ฝึกฝนขึ้นมาในช่วงสิบปีมานี้ให้โลกบำเพ็ญเพียรได้ประจักษ์ ถือเป็นการโฆษณาปูทางเพื่อเตรียมจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

ในงานชุมนุมนี้มีทั้งคนที่มาเพื่อเอาใจสำนักหมื่นสรรพสัตว์ แล้วก็มีคนที่มาเพื่อเปิดหูเปิดตาชมความครื้นเครง

ในช่วงจัดงานทุกครั้ง เมืองวั่นเซี่ยงที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขาสำนักหมื่นสรรพสัตว์จะค่อยๆ คึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นมา

เมืองวั่นเซี่ยงที่อยู่ภายในอาณาเขตของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่ได้ถูกควบคุมโดยราชสำนัก มีกฎระเบียบในแบบของตัวเอง ปกติแล้วจะเงียบเหงานัก มีเพียงคนธรรมดาที่เป็นคนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ยกตัวอย่างเช่นทายาทรุ่นหลังของเหล่าศิษย์ในสำนักจะได้ใช้ชีวิตสงบรุ่งเรืองอยู่ที่นี่

ช่วงเวลานี้ที่มีแขกหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ คนธรรมดาเหล่านี้จะเปิดร้านทำมาค้าขาย นับว่าเป็นการต้อนรับขับสู้แขกที่แวะเวียนมาจากทั่วทิศด้วย ส่วนแขกผู้มีเกียรติที่แท้จริงสำนักหมื่นสรรพสัตว์ย่อมมีการดูแลรับรองเป็นพิเศษ

เหตุผลที่เรียกว่าเมืองวั่นเซี่ยงก็เป็นเพราะภายในเมืองมีรูปสลักมากมายตั้งอยู่ ต่างเป็นรูปสลักสิงสาราสัตว์ที่อยู่ใน ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ ตั้งประดับอยู่ตามที่ต่างๆ ในเมือง มีชีวิตชีวาสมจริง สมจริงยิ่งกว่าที่อยู่ในบันทึกเสียด้วยซ้ำ

รูปสลักเหล่านี้ก็ตั้งไว้เพื่อแสดงให้แขกผู้มาเยือนจากภายนอกได้เห็นเช่นกัน กล่าวอีกอย่างคือตั้งไว้ให้แขกที่มาเยือนได้ตรวจสอบเปรียบเทียบ เพราะว่าภาพในบันทึกนั้นมีความแตกต่างคลาดเคลื่อนไปจากของจริง คนที่ไม่สันทัดจะมองพลาดไปได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้สำนักหมื่นสรรพสัตว์จึงตั้งใจสร้างรูปสลักเหล่านี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ ด้วยกำลังของสำนักเพียงอย่างเดียวยังคงมีขีดจำกัดอยู่ จึงหวังจะอาศัยกำลังของผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้าดักจับสัตว์ประหลาดหายากมาเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์

หากผู้ใดพบเห็นสิงสาราสัตว์ที่ตรงกับรูปสลักแล้วนำมาส่งมอบให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์ สำนักหมื่นสรรพสัตว์จะมีรางวัลให้อย่างงาม

ถึงแม้สำนักหมื่นสรรพสัตว์จะใช้วิธีนี้ในการเพิ่มฐานกำลังทรัพย์ของสำนัก แต่หากว่ากันในอีกแง่มุมหนึ่งแล้ว สัตว์หายากที่เดิมทีใกล้สูญพันธุ์เหล่านั้นก็ได้รับการขยายพันธุ์เพิ่มจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์เช่นกัน เลี่ยงไม่ให้สูญพันธุ์จนหมด

……

บนท้องถนนภายในเมืองวั่นเซี่ยง คณะของหนิวโหย่วเต้าที่เพิ่งมาถึงเป็นครั้งแรกนั่งอยู่บนหลังม้าเหลียวซ้ายแลขวา มองพินิจดูรูปสลักต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในเมือง เพิ่งเคยพบเมืองเช่นนี้เป็นครั้งแรก ย่อมตื่นตาตื่นใจอย่างเลี่ยงไม่ได้

“เต้าเหยี่ย มีคนตามจับตามองพวกเราอยู่ด้านหลัง” หยวนกังบังคับม้าเข้ามาหาหนิวโหย่วเต้า กระซิบเตือนไปประโยคหนึ่ง

หนิวโหย่วเต้าที่นั่งโขยกเขยกอยู่บนหลังม้าอย่างเชื่องช้ามีสีหน้านิ่งเฉย แล้วก็ไม่ได้หันกลับไปมอง เขาเชื่อมั่นในสายตาตรวจจับของหยวนกัง ในเมื่อหยวนกังบอกว่ามีคนสะกดรอยตาม เช่นนั้นก็แปลว่ามีจริงๆ ไม่จำเป็นต้องสงสัยอะไร เขาเอ่ยถามไป “สถานการณ์เป็นยังไง?”

หยวนกังตอบว่า “ไม่ทราบแน่ชัด พวกเราเพิ่งเข้าเมืองมาก็สะกดรอยตามเลย คอยตามหลังพวกเรามาตลอด แต่ไม่มีความเคลื่อนไหวอย่างอื่น”

หนิวโหย่วเต้าไม่ได้พูดอะไรอีก ทำเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น เพียงหันไปสั่งการก่วนฟางอี๋เล็กน้อย “ตรวจสอบสถานการณ์หน่อย”

ก่วนฟางอี๋พยักหน้านิดๆ ส่งสัญญาณมือให้สองทางซ้ายขวา

ช่วงที่เลี้ยวตรงมุมถนน ลุงเฉินและสวี่เหล่าลิ่วฉวยโอกาสแยกตัวจากขบวน เลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กๆ เส้นหนึ่ง

ไม่นานนักสวี่เหล่าลิ่วก็ตามมาสมทบกับหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง เอ่ยรายงานว่า “เต้าเหยี่ย ควบคุมตัวได้แล้วขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าบังคับม้าวกกลับ ทั้งขบวนย้อนกลับที่หัวถนน กลับเข้าไปที่ตรอกเส้นนั้น มองเห็นลุงเฉินยกมือข้างหนึ่งกดบ่าใครคนหนึ่งไว้ ทำให้คนผู้นั้นขยับเขยื้อนไม่ได้

หนิวโหย่วเต้าควบม้าเข้าไปหาแล้วหยุดนิ่ง นั่งอยู่บนหลังม้าแล้วก้มมองลงไป พลางยกแส้ชี้เล็กน้อย ลุงเฉินดึงอุปกรณ์แปลงโฉมที่อยู่บนใบหน้าคนผู้นั้นออกทันที

หลังจากมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของคนผู้นั้น หยวนกังผงะไปเล็กน้อย หนิวโหย่วเต้ามุ่นคิ้วนิดๆ

คนที่ถูกควบคุมไว้มิใช่ใครอื่น เป็นเว่ยตัวแห่งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามเสียงขรึม

เว่ยตัวส่งเสียงอือๆ อาๆ เนื่องจากถูกผนึกไว้จึงไม่อาจตอบได้

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยกับลุงเฉินว่า “ไม่เป็นไร คลายผนึกเถอะ!”

ลุงเฉินจึงคลายผนึกควบคุมบนร่างเว่ยตัวพร้อมปล่อยมือออก

เว่ยตัวประสานมือคำนับทันที “เจ้า…”เอ่ยไปได้ครึ่งคำก็นึกขึ้นได้ว่าหนิวโหย่วเต้าเกลียดการเรียกเขาว่าเจ้าสำนักที่สุด จึงเปลี่ยนคำเรียกขานทันที “ต…เต้าเหยี่ย!”

หนิวโหย่วเต้าถาม “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”ไอรีนโนเวล

เว่ยตัวตอบ “มาหาท่าน!”

หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้วเล็กน้อย ปากขยับเล็กน้อย เหลือบมองพวกก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านหลังเล็กน้อย วาจาที่จ่อมาถึงปากแล้วถูกกลืนกลับลงไป เขาบังคับม้าวกหลับ เอ่ยทิ้งท้ายอย่างเย็นชาว่า “ไสหัวไป!”

ด้วยเหตุนี้ ทั้งคณะจึงออกจากตรอกอีกครั้ง ทิ้งเว่ยตัวไว้ลำพัง

ก่วนฟางอี๋เร่งม้าขึ้นมาหา เอ่ยด้วยความฉงน “ผู้ใดกัน?”

หนิวโหย่วเต้าไม่ตอบ รั้งบังเหียนหยุดม้าอีกครั้ง ก่วนฟางอี๋มองออกไปด้านหน้าตามสายตาของเขา มองเห็นสตรีร่างอรชรอ้อนแอ้นคนหนึ่งพาคนหลายคนมาขวางหน้าไว้

ลักษณะเป็นเช่นเดียวกับเว่ยตัว เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้สวมหน้ากากแปลงโฉมไว้เช่นกัน มิใช่ใครอื่นเลย เป็นพวกถังอี๋จากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์

เว่ยตัวออกมาจากตรอกยืนอยู่ด้านหลังขบวนม้า พยักหน้าให้พวกถังอี๋เล็กน้อย สื่อว่าเป็นพวกหนิวโหย่วเต้าจริงๆ

เนื่องจากพวกหนิวโหย่วเต้าเองก็แปลงโฉมมาเช่นกัน

หลังจากคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เร่งเดินทางมาถึงเมืองวั่นเซี่ยง พวกเขาก็คาดการณ์ว่าหนิวโหย่วเต้าจะต้องมาพักในเมืองวั่นเซี่ยงแน่นอน จึงสั่งให้คนกระจายตัวออกไปภายในเมืองวั่นเซี่ยงเพื่อตามหาและดักรอ บังเอิญนักที่เว่ยตัวพบกับพวกหนิวโหย่วเต้าเข้าพอดี

คนอื่นอาจจะมองไม่ออก แต่เว่ยตัวรู้จักทั้งหนิวโหย่วเต้าและหยวนกัง โดยเฉพาะหยวนกังที่มีร่างกายกำยำบึกบึน เว่ยตัวมองเพียงเล็กน้อยก็จำได้แล้ว สั่งให้ศิษย์ร่วมสำนักกลับไปรายงานพวกถังอี๋ทันที ส่วนตัวเองก็สะกดรอยตามต่อไปส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ในตอนนี้ขึ้น

บนเฉลียงทางเดินของโรงเตี๊ยม พนักงานเปิดประตูให้แล้วพาหนิวโหย่วเต้าเข้าไปในห้อง

พนักงานขอตัวออกจากห้องพักไปอย่างสุภาพ จากนั้นไม่นานพวกเหล่าลิ่วก็เคาะประตูแล้วเข้ามารายงานว่า “เต้าเหยี่ย มีคนมาขอพบท่าน แจ้งว่าตนคือเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ขอรับ!”

ข่าวลือเรื่องหนิวโหย่วเต้ากับเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คนนั้น เขาเองก็พอจะได้ยินมาบ้าง

ก่วนฟางอี๋ที่มองสำรวจภายในห้องอยู่ผงะไปเล็กน้อย ค่อยๆ หันไปมองหนิวโหย่วเต้า ค่อนข้างแปลกใจ ดวงตางามกระจ่างพลันสาดประกาย มุมปากค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ นางเคยได้ยินข่าวเรื่องความสัมพันธ์ของหนิวโหย่วเต้ากับสตรีแห่งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คนนั้นมานานแล้ว อยากรู้อยากเห็นมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมา คราวนี้อยากเห็นจริงๆ ว่าจะเป็นคนอย่างไรกันแน่

หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ หย่อนกระบี่ในมือตั้งค้ำพื้น ตอบ “อืม” คำหนึ่งอย่างไม่อินังขังขอบ

สวี่เหล่าลิ่วออกไปทันที ไม่นานนักก็พากคนสามคนเข้ามา เป็นถังอี๋ หลัวหยวนกงและซูพั่ว ส่วนถังซู่ซู่ไม่ได้มาด้วย นางไม่อยากพบหนิวโหย่วเต้า พวกถังอี๋เองก็กลัวว่านางจะคุมอารมณ์ไม่อยู่จนทำเสียเรื่อง จึงให้ถังซู่ซู่อยู่เฝ้าประจำการไป

ทั้งสามพินิจดูท่าทางการยืนค้ำกระบี่อันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย ถังอี๋ปลดหน้ากากหนังบนหน้าออกมาก่อน เผยดวงหน้างามดั่งจันทร์เพ็ญออกมา นัยน์ตากระจ่างสบสายตากับหนิวโหย่วเต้า เหลือบมองก่วนฟางอี๋ที่อยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้าอยู่หลายครั้ง

หลัวหยวนกงและซูพั่วก็ทำตามนาง พากันปลดหน้ากากหนังออกจากใบหน้า

ได้พบหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง ความรู้สึกของทั้งสองซับซ้อนอย่างยิ่ง ไม่มีท่วงท่าของผู้อาวุโสที่มาพบปะศิษย์ในสำนักเยี่ยงในกาลก่อนแล้ว ความหยิ่งทะนงของผู้อยู่เหนือกว่าหายไปจนหมดสิ้น

ไม่คิดเลยว่าจะเป็นโฉมงามนางหนึ่ง! ก่วนฟางอี๋อุทานอยู่ในใจ ยกสองแขนกอดอกตามสัญชาตญาณ มองสำรวจถังอี๋หัวจรดเท้า เห็นความรู้สึกกำลังจับผิดเล็กน้อย

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงราบเรียบ “ไม่ได้พบทั้งสามท่านเสียนาน ไม่คิดเลยว่าจะได้มาพบกันอีกครั้งที่นี่ ไม่ทราบว่าทั้งสามท่านมาหาด้วยธุระใดหรือ?”

ทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าล้วนฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาที่ในอดีตเคยอ่อนวัยดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อประกอบเข้ากับบุคลิกท่วงท่าของเขายิ่งดูมีความงามสง่ามากขึ้น

ไม่เห็นหนิวโหย่วเต้าจะดึงหน้ากากหนังออกเพื่อพบกันด้วยใบหน้าจริงสักที ถังอี๋จึงได้แต่เอ่ยตอบไปว่า “ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่ กลับมาเถอะ! ตำแหน่งเจ้าสำนักพร้อมจะว่างรอเจ้าอยู่เสมอ”

พอได้ยินวาจานี้ ในใจหนิวโหย่วเต้ารู้สึกหน่ายแหนง เขาย่อมทราบดีว่าเพราะเหตุใดถึงมาชักจูงเขากลับไป สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ใกล้จะยื้อไม่ไหวแล้ว อยากจะดึงตัวเขากลับไปช่วยออกหน้า เขาเอ่ยปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าทันที “ข้าพูดไว้ชัดเจนแต่แรกแล้วว่าข้าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว อดีตผ่านไปแล้ว อย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย ยังมีธุระอื่นใดอีกหรือไม่?”

ถังอี๋กล่าวว่า “หรือว่าเจ้าไม่ระลึกในบุญคุณของอาจารย์อาตงกัวเลยแม้แต่น้อย?”

หนิวโหย่วเต้ายกระบี่ขึ้นแล้วหันหลังไป จากนั้นก็วางกระบี่ค้ำพื้นอีกครั้ง สะบัดแขนเสื้อโดยที่หันหลังให้ “หงเหนียง ช่วยส่งแขกแทนข้าที!”

เมื่อถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้ ถังอี๋ก็ตระหนักได้ว่าดูเหมือนตนจะเร่งร้อนเกินไป เมื่อเผชิญหน้ากับก่วนฟางอี๋ที่ต้องการบังคับส่งแขกกลับไปก็ไม่อาจขัดขืนได้ ทำได้เพียงจากไปก่อนชั่วคราว

เมื่อไม่มีคนอื่นอยู่ในห้องพักแล้ว หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองหยวนกัง “ติดต่อไปหาทางเป่ยโจว สอบถามว่าพวกเขาออกจากเป่ยโจวมาตั้งแต่เมื่อไร”

หยวนกังติดตามหนิวโหย่วเต้ามานาน จับสังเกตบางอย่างจากวาจาเขาได้ทันที ครั้งนี้เดินทางมาอย่างลับๆ ทว่าคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กลับเข้ามาดักพบได้ กระตุ้นให้เต้าเหยี่ยเกิดสงสัยขึ้นมา ทราบดีว่าเมื่อครู่เต้าเหยี่ยตั้งใจกันก่วนฟางอี๋ออกไป เขาพยักหน้ารับพลางหันหลังเดินออกไป

………………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า