ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 455

ตอนที่ 455 เอ๋ เจ้านี่เอง!

เมื่อออกจากเรือนเล็กมืดสลัว ลูเซิ่งจงเดินไปตามตรอกมืดๆ พลางใช้พลังขับสุราในร่างออกมา กลิ่นสุราลอยคลุ้งอบอวล

ระหว่างที่เดินอยู่ก็ถอดหน้ากากหนังชั้นหนึ่งทิ้งไปด้วย ด้านล่างยังมีหน้ากากหนังอยู่อีกชั้น จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก ด้านในยังมีเสื้อคลุมชั้นนอกสีสดใสอยู่อีกตัว พอถอดออกก็ถือโอกาสโยนทิ้งในน้ำครำที่เดินผ่าน

ขอเพียงเดินออกจากไปที่นี่ เฉาเซิ่งไห่คนนั้นก็ไม่มีทางจำได้ว่าเขาคือผู้ใด รอจนเรื่องราวบานปลายขึ้นมา ต่อให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์ออกสืบหาด้วยตัวเอง แต่หากคิดจะควานหาตัวเขาจากผู้คนมากมายทั่วทั้งเมืองวั่นเซี่ยงก็ยากที่จะเป็นไปได้

ส่วนเฉาเซิ่งไหวจะทำสำเร็จหรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องกังวล หากเขาทำสำเร็จได้ย่อมเป็นเรื่องดี หากทำไม่สำเร็จ ทว่าทำห้หนิวโหย่วเต้าเกิดความบาดหมางกับสำนักหมื่นสรรพสัตว์ได้ก็นับเป็นเรื่องดีเช่นกัน ตนก็จะมีคำอธิบายมอบให้เซ่าผิงปอเพื่อยืนยันว่าตนทุ่มเทสุดความสามารถแล้ว

เดินอ้อมไปมาอยู่พักหนึ่ง พอมาถึงปากตรอกอีกแห่งก็หยุดลง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครเดินผ่านอยู่ด้านนอก เขาถึบจะเลี้ยวออกไป

เขาเดินย่ำไปตามท้องถนนยามราตรี ลัดเลาะผ่านเมืองวั่นเซี่ยงไปครึ่งเมืองจนกลับมาถึงเรือนที่ตนเองเช่าเอาไว้ ขณะที่เปิดประตูก็ถือโอกาสปลดป้ายที่ห้อยอยู่บนประตูลงด้วย บนป้ายเขียนคำว่า ‘ปล่อยเช่า’ เอาไว้

ป้ายนี้เป็นเขาที่เอามาแขวนไว้เอง ถูกต้อง ตัวเขาเช่าเรือนหลังนี้ไว้แล้ว แต่ก็นำมาปล่อยเช่าต่ออีกทอดหนึ่ง

แต่แน่นอน นี่เป็นเพียงแผนการที่เขาวางไว้ก่อนหน้านี้ เป็นแผนการสำหรับตามหาเป้าหมายที่เหมาะสม หลังจากพบเป้าหมายอย่างเฉาเซิ่งไห่แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องแขวนป้ายนี้อีกต่อไป

ขณะที่กำลังจะผลักเปิดประตูเข้าไป พลันมีเสียงสอบถามแว่วมาจากด้านหลัง “สหาย เรือนหลังนี้คิดค่าเช่าวันละเท่าไร?”

ลู่เซิ่งจงหันกลับไปมอง เห็นชายชุดดำร่างผอมเพรียวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างถนน เขาตอบไปว่า “วันละร้อยเหรียญทอง”

อันที่จริงตอนเขามาเช่า เจ้าของบ้านตัวจริงคิดค่าเช่าเพียงวันละสิบเหรียญทองเท่านั้น

วันละสิบเหรียญทองนับเป็นราคาที่สูงลิ่วแล้ว แต่นี่คือราคาตามท้องตลาดในช่วงนี้เท่านั้น ยามปกติเมืองวั่นเซี่ยงจะเงียบเหงาวังเวง มีเพียงช่วงที่จัดงานชุมนุมสัตว์วิเศษถึงจะมีคนจำนวนมากมาชุมนุมกัน ทุกครั้งที่มีงานชุมนุมสัตว์วิเศษล้วนเป็นโอกาสดีในการหารายได้ของชาวเมืองวั่นเซี่ยง บ้านไหนที่มีคุณสมบัติพร้อมล้วนไม่มีทางยอมพลาดโอกาสไป

แน่นอน หากเป็นยามปกติ เรือนธรรมดาๆ ไม่มีทางปล่อยเช่าในราคาสิบเหรียญทองต่อวันได้ แต่เรือนหลังนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่เงียบสงบเป็นส่วนตัวจริงๆ ถึงแม้ตัวเรือนจะไม่ใหญ่มากนัก แต่สภาพแวดล้อมการตกแต่งภายในก็นับว่ายอดเยี่ยม ถึงปล่อยเช่าในราคาสูงเช่นนี้ได้

เขาไม่ได้คิดจะฉวยโอกาสนี้เก็งกำไรจากส่วนต่างของราคาปล่อยเช่า แต่เหตุผลที่เขาตั้งใจหาเรือนที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ไม่เลวหลังนี้เพื่อปลอยเช่าต่อนั้นก็ง่ายมาก เพราะคนที่สามารถจ่ายเงินเช่าในราคาร้อยเหรียญทองต่อวันได้ย่อมมิใช่คนทั่วไป น่าจะมีอำนาจมากพอจะสร้างปัญหายุ่งยากให้หนิวโหย่วเต้าได้

การเป็นฝ่ายออกตามหาเป้าหมายไปทั่วมีความเสี่ยงที่ข้อมูลจะรั่วไหลออกไป ชวนให้คนนึกสงสัยได้ง่ายๆ แต่การปล่อยข้อมูลออกไปในฐานะเจ้าของบ้านเช่ากลับสะดวกปลอดภัยกว่ามาก

ส่วนเรื่องที่ว่าทำเช่นนี้จะส่งผลให้เจ้าของบ้านตัวจริงไม่พอใจหรือไม่ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเลย ข้าเช่ามาแล้ว จะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของข้า อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ยึดเรือนของเจ้าไปเสียหน่อย แล้วก็ไม่ได้ทำลายเรือนของเจ้าด้วย ยังไม่ได้ขโมยไปไหน ไม่นับว่ามีความผิดใด

เรื่องเดียวที่ต้องกังวลคือจะปล่อยเช่าออกไปได้หรือไม่

“ตกลง!” ชายชุดดำพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “หนึ่งร้อยก็หนึ่งร้อย”

พอได้ยินคำตอบนี้ ลู่เซิ่งจงหันหน้ากลับมาด้วยท่าทางจริงจัง พินิจดูอีกฝ่ายอย่างจริงจังครู่หนึ่ง ตนเพียงคิดจะลองทดสอบดูเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะมีคนมั่งคั่งมาเช่าจริงๆ

เขาไม่รังเกียจที่จะสร้างปัญหาเพิ่มให้หนิวโหย่วเต้าอยู่แล้ว

ลู่เซิ่งจงยืนอยู่ข้างประตู ผายเมือเชื้อเชิญ

ชายชุดดำกลับหันหลังไปกวักมือเล็กน้อย ในความมืดที่ไกลออกไปมีเสียงฝีเท้าม้าแว่วออกมา เงาร่างสีขาวมุ่งหน้าเข้ามาทางด้านนี้

พอค่อยๆ เข้ามาใกล้เงาร่างสีขาวก็ชัดเจนขึ้น เป็นสตรีในชุดขาวพิสุทธิ์นางหนึ่ง ใช้แพรโปร่งสีขาวผืนหนึ่งผูกบังหน้าไว้กึ่งหนึ่ง รูปร่างบุคลิกดูสง่างามแช่มช้อย มองทรงเสน่ห์อย่างยิ่ง มีอาชาสี่ตัวติดตามมาด้านหลังของนาง ม้าตัวหนึ่งว่างไร้คน ส่วนที่เหลือมีคนนั่งอยู่สามคนล้วนแต่งกายเช่นคนที่อยู่ตรงหน้า สวมชุดดำเหมือนกัน

ม้าทั้งสี่ตัวหยุดอยู่หน้าประตู ภายใต้แสงโคมที่แขวนอยู่หน้าประตูสตรีชุดขาวที่มีแพรโปร่งบดบังดวงหน้างามอยู่ครึ่งหนึ่งกวาดสายตามองประตูทางเข้าคฤหาสน์อย่างเย็นชา จากนั้นก็พาเหล่าผู้ติดตามลงจากหลังม้า

หลังจากลู่เซิ่งจงนำทางทั้งกลุ่มเข้าไปด้านใน เขาก็พาทั้งกลุ่มไปชมสภาพแวดล้อมของตัวเรือนก่อนเป็นอันดับแรก

ผีเสื้อจันทราหลายตัวบินล่องลอย พอตรวจสอบเบื้องต้นเรียบร้อย สตรีชุดขาวก็เอ่ยถามเสียงเรียบ “ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร?”

ลู่เซิ่งจงเอ่ยตอบ “จูเจียง!”

ชื่อที่เขาตอบเป็นของเจ้าของบ้านเช่า เขาไม่มีทางแจ้งนามของตนออกไป

หลังจากเดินวนทั่วตัวเรือนรอบหนึ่ง สตรีชุดขาวก็ไม่ได้คัดค้านอันใด ลูกน้องของนางเป็นตัวแทนร่างสัญญาเช่าแทน พร้อมชำระเงินส่งมอบสถานที่ทันที

ลู่เซิ่งจงมองชายชุดดำที่กำลังร่างสัญญาอยู่พลางยิ้มแล้วเอ่ยถาม “ทุกท่านมาที่เมืองวั่นเซี่ยงเพื่อทำธุรกิจกระมัง?”

ชายผอมเพรียวที่เป็นหัวหน้ากลุ่มคนชุดดำทั้งสี่ถามกลับด้วยรอยยิ้ม “มองออกได้อย่างไร?”

ลู่เซิ่งจงหัวเราะตอบไปว่า “แขกจากภายนอกมักจะมาขายสิงสาราสัตว์หายากให้แก่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ของพวกเราอยู่เสมอ มีคนมากมายที่อาศัยช่องทางนี้หารายได้ เมื่อครู่ข้ายังได้ยินเรื่องน่าสนใจบางอย่างมาด้วย ได้ยินว่าในห้องหมายเลขสามของโรงเตี๊ยมชะตาสวรรค์ที่อยู่ในเมืองมีปีศาจหมีตัวหนึ่งอยู่”

“น่าสนใจหรือ?” ชายผอมเพรียวแปลกใจ “ปีศาจหมีเกี่ยวอะไรกับเรื่องน่าสนใจกัน?”

ลู่เซิ่งจงกล่าวว่า “ได้ยินว่านั่นมิใช่ปีศาจหมีธรรมดา หากแต่เป็นราชาหมีขนทองใน ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ ลือกันว่าถูกเพื่อนร่วมกลุ่มหลอกมา ปีศาจหมีตัวนั้นก็น่าสงสารนัก ถูกมนุษย์หลอกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เกรงว่าคนผู้นั้นคงจะไม่ได้สมหวังแล้ว แขกผู้มีเกียรติที่แท้จริงที่ได้รับเชิญมาอย่างเป็นทางการจะได้รับการเชื้อเชิญจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์เราให้เข้าพักในคฤหาสน์บนเขาโดยเฉพาะ ไหนเลยจะมาพักอยู่ในเมืองวั่นเซี่ยงได้ ยิ่งไม่มีทางมาเช่าโรงเตี๊ยมธรรมดาอยู่ พวกท่านลองคิดดูสิ แม้แต่ข้าก็ยังทราบข่าวนี้ได้ เกรงว่าคงมีคนที่สนใจอยากจะสอดมือเข้าไปยุ่งเป็นแน่ เพราะถึงอย่างไรหากเอาไปเสนอขายให้แก่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ของเราก็คงได้ราคาอย่างน้อยหลักล้านเหรียญทอง! ทรัพย์ก้อนใหญ่ขนาดนี้ จะไม่มีคนหวั่นไหวได้เหรอ”

เขากำลังลอบเผยให้ทางนี้ทราบว่าทางฝั่งหนิวโหย่วเต้าไม่ได้มีอำนาจอันใดเลย สามารถไปปล้นได้อย่างสบายๆ

ชายผอมเพรียวมองไปทางสตรีชุดขาวเล็กน้อย เห็นว่านางก็กำลังรับฟังอยู่เช่นกัน จึงเอ่ยถามต่อ “อยู่ในอาณาเขตของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ยังจะมีผู้ใดแย่งสำนักหมื่นสรรพสัตว์ได้อีกหรือ?”

ลู่เซิ่งจงโบกมือเอ่ยไปว่า “สำนักหมื่นสรรพสัตว์เราไหนเลยจะทำเรื่องปล้นชิงแบบนั้นได้ หากว่าทำเช่นนั้นจริงแล้วเกิดเสื่อมเสียชื่อเสียงขึ้นมา วันหน้าจะยังมีผู้ใดกล้านำสัตว์หายากมาขายให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์อีกหรือ?”

สัญญาร่างเสร็จเรียบร้อย ลู่เซิ่งจงกวาดตาอ่าน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดก็รับเงินมัดจำไป ทั้งสองฝ่ายต่างลงนามในสัญญา พันธะสัญญานับว่าเสร็จสมบูรณ์

หลังจากแสร้งทำตัวเป็นเจ้าของบ้านเช่าด้วยการเอ่ยกำชับตักเตือนสองสามประโยค ลู่เซิ่งจงก็เชิญให้กลุ่มผู้มาเช่าเข้าพักผ่อนโดยเร็ว จากนั้นตัวเองขอตัวลาจากไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า