ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 465

สรุปบท ตอนที่ 465 เจ้าลิง อัดเขาซะ!: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอน ตอนที่ 465 เจ้าลิง อัดเขาซะ! จาก ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 465 เจ้าลิง อัดเขาซะ! คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 465 เจ้าลิง อัดเขาซะ!

ปัญหาสำคัญคือรู้ทั้งรู้ว่าสามคนนี้มีเจตนาร้ายแอบแฝง แต่ไอ้สารเลวผู้นี้ก็ยังพาทุกคนกระโจนลงสู่กับดักที่อีกฝ่ายขุดไว้ ผลที่ตามมาคือเกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตเช่นนี้ขึ้น ก่วนฟางอี๋รู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้าแล้ว

หยวนฟางก็รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าไปแล้วเช่นกัน โอดครวญอยู่ในใจ ‘เต้าเหยี่ยของข้า เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้!’

หยวนกังปรายตามองด้วยสายตาเยียบเย็น ตัวเขากลับสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง เขาอยู่กับเต้าเหยี่ยมานานหลายปี พบเจอจนชินไปแล้ว เต้าเหยี่ยมีจุดที่ทำให้เขายอมรับนับถือจากใจอยู่

สามศิษย์พี่น้องที่ถูกเหยียบไว้บนพื้นตื่นกลัวยิ่งกว่าเดิม เฉาเซิ่งไหวเอ่ยเสียงสั่น “น้องเป่ย ระหว่างพวกเราน่าจะมีเรื่องใดที่เข้าใจผิดกันไปกระมัง?”

หนิวโหย่วเต้าทอดมองจากมุมสูง เพียงยิ้มแต่ไม่ตอบ

เหอโหย่วเจี้ยนถาม “เจ้าเป็นใครกันแน่?”

“พวกเจ้าลงมือไปแล้วเพิ่งจะมาสนใจเอาตอนนี้หรือว่าข้าคือผู้ใด ไม่สายไปหน่อยหรือ?” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ กวาดตามองไปทางซ้ายทีขวาทีพลางโบกมือสื่อให้พาตัวไปด้วย “รั้งอยู่ที่นี่นานไปคงไม่เหมาะ คนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์น่าจะใกล้ตามมาแล้ว ไปเถอะ!”

เพิ่งเอ่ยจบ อสูรโลหิตตัวนั้นก็แผดเสียงร้อง “กี้ด” ไปทางด้านหลังพวกเขา แสดงสีหน้าดุร้าย สองปีกค่อยๆ กางออกมาคล้ายเตรียมจะจู่โจมบางสิ่ง

ทั้งกลุ่มหันขวับกลับไป มองเห็นว่าในซอกก้อนหินด้านหลังมีลิ้นยาวสีแดงแลบออกมา งูเขียวตัวหนึ่งที่มีเกล็ดสีเขียวคล้ำโผล่หัวออกมาอย่างเชื่องข้า หัวใหญ่หนาเท่าต้นขา ดวงตาเรืองแสง ยังไม่ทันได้เห็นชัดๆ ว่าลำตัวอสรพิษนั้นยาวแค่ไหน จู่ๆ ส่วนหัวของงูก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นศีรษะมนุษย์อย่างรวดเร็ว มีไอปีศาจเจือปนอยู่

ศีรษะมนุษย์ที่ปรากฏขึ้นรวบผมเกล้าเป็นมวยสูง มีแพรโปร่งสีขาวผืนหนึ่งคาดบังหน้า แต่ไม่อาจปิดบังความงามสง่าได้ เป็นใบหน้าของอวิ๋นจี

ส่วนลำตัวงูที่เลื้อยออกมาก็ค่อยๆ กลายเป็นร่างกายมนุษย์ สุดท้ายอวิ๋นจีในสภาพร่างมนุษย์ก็ปรากฏยืนอยู่บนก้อนหิน

พวกหนิวโหย่วเต้าตะลึงงัน ไม่คิดเลยว่าสตรีนางนี้จะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ออกมานอกเขตแนวป้องกันของหญ้าขับแสงคนเดียวอย่างนั้นหรือ?

“กี้ด…” อสูรโลหิตแผดเสียง อสูรปีกน้ำเงินทั้งสามกางปีกออกมาเตรียมเข้าโจมตี

หนิวโหย่วเต้ายกมือขึ้นเล็กน้อย หยวนกังครางฮึมฮัมใส่อสูรโลหิต ระงับโทสะของเหล่าอสูรผีเสื้อที่เริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมา

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านมาได้อย่างไร? อยู่ที่นี่มาตลอดหรือเพิ่งมา?”艾琳小說

อวิ๋นจีตอบว่า “เดิมทีข้าอยู่ในละแวกอยู่แล้ว พวกเจ้าก่อเรื่องครึกโครมขนาดนี้ ข้าจะไม่โผล่มาดูเลยก็คงเป็นไปได้ยาก ขุ่นเคืองที่ข้ามาเห็นเรื่องที่ไม่สมควรเห็นเข้าหรือ? ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าพวกเจ้าจะร่วมมือกับอสูรผีเสื้อกลุ่มนี้ได้”

หนิวโหย่วเต้าถาม “ท่านไม่กลัวข้าจะสังหารปิดปากท่านหรือ?”

เขารอยยิ้มละไมยามที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา รอยยิ้มสดใส แต่ในใจกลับปรากฏเจตนาสังหารขึ้นมาจริงๆ ปล่อยให้คนนอกทราบว่าทางนี้สามารถสื่อสารกับอสูรผีเสื้อได้นั้นไม่ใช่เรื่องดีอันใดเลย

อวิ๋นจีกล่าวมา “มีกลุ่มอสูรผีเสื้อคอยช่วยเหลืออยู่ ข้าสู้พวกเจ้าไม่ได้จริงๆ แต่หากข้าอยากจะหนีออกไปจากป่าเขาแถบนี้ พวกเจ้าก็ไม่แน่ว่าจะจับตัวข้าได้ หาไม่แล้วข้าคงไม่มาปรากฏตัวที่นี่คนเดียว แล้วก็คงไม่เป็นฝ่ายปรากฏตัวให้เห็นก่อนด้วย พวกเจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องราวบางอย่างมาแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรแคว้นจ้าวเคยเข้าปิดล้อมข้าอยู่หลายหน ทว่าข้ายังคงตั้งตัวอย่างมั่นคงในแคว้นจ้าวได้ นั่นไม่ใช่ว่าจะไร้สาเหตุ ดังนั้น ข้าขอเตือนพวกเจ้าว่าอย่างได้ก่อเรื่องเลยจะดีกว่า หากแตกหักกันไปล้วนจะไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งสิ้น”

หนิวโหย่วเต้าถาม “ผู้อาวุโสเป็นฝ่ายเผยตัวก่อน น่าจะมีเหตุผลอยู่กระมัง?”

อวิ๋นจีกวาดตามองอสูรผีเสื้อที่อยู่ด้านหลังเขา “ข้ามีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือจากพวกเจ้า เจ้าวางใจเถอะ ไม่ให้เจ้าช่วยเปล่าๆ แน่นอน จะมีของตอบแทนให้”

“เป็นสิ่งใด?” หนิวโหย่วเต้าอดถามไม่ได้

อวิ๋นจีถามกลับ “เจ้าคิดจะเสียเวลาอยู่ที่นี่จนสำนักหมื่นสรรพสัตว์ขนกันมาเป็นพรวนหรือ?” ความหมายในวาจาคือที่นี่ไม่ควรรั้งอยู่นาน

“คำพูดของผู้อาวุโสมีเหตุผล” หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปโบกมือเล็กน้อย พวกเฉาเซิ่งไหวทั้งสามถูกทำให้สลบไป เพื่อไม่ให้ได้ยินในสิ่งที่ไม่สมควรได้ยินเข้า

เมื่อมีหยวนกังเป็นตัวกลางสื่อสาร อสูรปีกน้ำเงินทั้งสามตัวคว้าตัวพวกเฉาเซิ่งไหวทั้งสามบินขึ้นมาอีกครั้ง อสูรโลหิตบินลัดเลาะนำหน้าไป หยวนกังจับข้อเท้าอสูรโลหิตเอาไว้ห้อยตามไปด้วย ส่วนที่เหลือทะยานตามมาด้านหลัง มุดหายเข้าสู่ส่วนลึกของป่าเขา

ระหว่างทางเต็มไปด้วยพฤกษาที่สูงใหญ่จนน่าเหลือเชื่อ ต้นไม้เก่าแก่ยืนต้นสูงชะลูดนับร้อยจั้ง เรืองแสงพร่างพราววาววับ กลุ่มมนุษย์ที่เหินทะยานอยู่ดูเล็กจ้อยดั่งมดปลวก เถาวัลย์แก่ที่แผ่แสงสีเขียวหยกหนายิ่งกว่าลำตัวคน ตะไคร่น้ำเรืองแสงสีเขียว ช่อดอกที่ส่องแสงสีขาวใหญ่ราวกับถังอาบน้ำสามารถยัดคนเข้าไปได้ บุปผาแปลกตาหลากสีสันแผ่แสงที่แตกต่างกัน สิ่งมีชีวิตโปร่งใสเรืองแสงได้ที่ดูคล้ายกับแมงกะพรุนล่องลอยอยู่เงียบๆดฮณ๊ฯดฯฌซ,

สิ่งที่มีมากมายที่สุดยังคงเป็นผีเสื้อเรืองแสงที่กระพือปีกขนาดใหญ่หนึ่งจั้งกว่า พวกมันจับกลุ่มบินร่อนอยู่เหนือผืนป่า มองจากที่ไกลๆ แล้วดูราวกับทางช้างเผือก

ผีเสื้อชนิดนี้คือแม่พันธุ์ของผีเสื้อจันทรา ถูกตั้งชื่อว่าจันทรมาศเพื่อจำแนกแบ่งแยกจากผีเสื้อจันทรา และเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดคนถึงเรียกผีเสื้อจันทราว่าจันทร์ดวงน้อย

ขณะที่ข้ามผ่านลำธารสายหนึ่งไปก็มองเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดหลากหลายชนิดในสายน้ำด้วย

ฉากงดงามน่าอัศจรรย์สารพัดอย่างช่างงดงามเกินพรรณนาโดยแท้

ระหว่างทางหนิวโหย่วเต้าอดไม่ได้ที่จะรำพันออกมา “งามดั่งแดนเซียน เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”

อวิ๋นจีตอบว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว สามีของข้าตายด้วยน้ำมือของผู้บำเพ็ญเพียรของโลกภายนอกไปนานแล้ว อย่าถามให้มากเลย หากตามหาพบ พวกเจ้าย่อมได้รู้เอง”

ตลอดการเดินทาง อสูรโลหิตที่นำอยู่ด้านหน้าตัวนั้นคอยสื่อสารกับเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เปิดทางให้ อสูรผีเสื้อตัวอื่นๆ ที่โผล่ออกมาก็ไม่ได้มารบกวนอะไรอีกเช่นกัน ผ่านเข้าไปได้อย่างราบรื่นปลอดภัย

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ยามที่เห็นป้อมปราการต้นไม้ที่มีรากไม้ชอนไชโผล่ขึ้นมาปรากฏอยู่เบื้องหน้า อวิ๋นจีก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “น่าจะใช้ได้แล้ว ต่อให้คนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์มากันมากแค่ไหนก็ไม่มีทางเข้ามาลึกจนเกินไป ต่อให้เข้ามาลึกถึงแถบนี้ก็ไม่มีทางกระจายกำลังคนออกค้นหาแน่ หากกระตุ้นอสูรผีเสื้อขึ้นมาอีก ต่อให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์ขนกันมาทั้งสำนักก็ต้านไม่อยู่ ตอนนี้น่าจะปลอดภัยแล้ว”

หนิวโหย่วเต้ามองไปที่นางอีกครั้ง สังเกตได้รางๆ ว่าสตรีนางนี้คล้ายจะเข้าใจเรื่องในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ดี อย่างน้อยก็ค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าสตรีนางนี้ไม่ได้เพิ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งแรก

หนิวโหย่วเต้ามีธุระต้องจัดการ จึงต้องให้หยุดลงชั่วคราว

หลังจากทั้งกลุ่มเข้าไปซ่อนตัวอยู่ใต้รากไม้แล้ว หนิวโหย่วเต้าพยักเพยิดหน้าไปทางคนทั้งสามที่สลบอยู่บนพื้น เอ่ยกับหยวนกังว่า “แยกตัวไปสอบสวน ง้างปากพวกเขาให้ได้ สืบเรื่องมาให้แน่ชัด”

หยวนกังสื่อสารให้อสูรโลหิตพาทั้งสามคนตามมา

ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม หยวนกังพาทั้งสามกลับมาอีกครั้ง เขาพยักหน้าให้หนิวโหย่วเต้านิดๆ สื่อว่าสืบเรื่องกระจ่างแล้ว

หนิวโหย่วเต้าถือกระบี่ต่างไม้เท้าเดินออกไปด้านข้าง หยวนกังเดินตามไปเอ่ยกระซิบอยู่ข้างหูเขาพักหนึ่ง

พอได้ฟังรายงานจากหยวนกัง แววตาหนิวโหย่วเต้าวูบไหวค่อยๆ มองไปยังหยวนฟางที่อยู่ด้านใน

หลังจากทั้งสองเดินกลับมา หยวนฟางเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าเอาแต่มองตนด้วยสายตาที่ดูเหมือนจะแปลกพิกลไปในใจจึงหวาดระแวงขึ้นมา ทุกครั้งที่ถูกมองด้วยสายตาแบบนี้ดูเหมือนจะไม่เคยเป็นเรื่องดีอันใดเลย เขารีบตีสีหน้าละห้อยในทันใด

พอเห็นเขาทำตัวใสซื่อ หนิวโหย่วเต้ารู้สึกปวดประสาทขึ้นมาทันที คิดในใจว่า ‘ไม่อยากให้เจ้าตามมาก็ยังจะมาให้ได้ ตอนนี้ หากเทียบกันแล้วทุกคนในที่นี่เป็นผู้บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเจ้ากันทั้งนั้น ต้องมาพลอยเดือดร้อนก็เพราะเจ้ามิใช่หรือ?’ เขาชี้นิ้วไปทันที “เหตุใดวันนี้ตาเฒ่าคนนี้ถึงดูขวางหูขวางตาข้านัก เจ้าลิง อัดเขาซะ!”

“ว้าก…”

หยวนฟางร้องโหยหวน ถูกหยวนกังถีบกระเด็นออกไปในทันใด

วันนี้หยวนกังก็เห็นว่าท่าทางใสซื่อของเขาดูขัดตาเช่นกัน จึงพุ่งตามไปแล้วเตะต่อยเป็นพัลวัน ทุบตีจนหยวนฟางขดตัวร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

………………………………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า