ตอนที่ 465 เจ้าลิง อัดเขาซะ!
ปัญหาสำคัญคือรู้ทั้งรู้ว่าสามคนนี้มีเจตนาร้ายแอบแฝง แต่ไอ้สารเลวผู้นี้ก็ยังพาทุกคนกระโจนลงสู่กับดักที่อีกฝ่ายขุดไว้ ผลที่ตามมาคือเกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตเช่นนี้ขึ้น ก่วนฟางอี๋รู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้าแล้ว
หยวนฟางก็รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าไปแล้วเช่นกัน โอดครวญอยู่ในใจ ‘เต้าเหยี่ยของข้า เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้!’
หยวนกังปรายตามองด้วยสายตาเยียบเย็น ตัวเขากลับสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง เขาอยู่กับเต้าเหยี่ยมานานหลายปี พบเจอจนชินไปแล้ว เต้าเหยี่ยมีจุดที่ทำให้เขายอมรับนับถือจากใจอยู่
สามศิษย์พี่น้องที่ถูกเหยียบไว้บนพื้นตื่นกลัวยิ่งกว่าเดิม เฉาเซิ่งไหวเอ่ยเสียงสั่น “น้องเป่ย ระหว่างพวกเราน่าจะมีเรื่องใดที่เข้าใจผิดกันไปกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าทอดมองจากมุมสูง เพียงยิ้มแต่ไม่ตอบ
เหอโหย่วเจี้ยนถาม “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“พวกเจ้าลงมือไปแล้วเพิ่งจะมาสนใจเอาตอนนี้หรือว่าข้าคือผู้ใด ไม่สายไปหน่อยหรือ?” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ กวาดตามองไปทางซ้ายทีขวาทีพลางโบกมือสื่อให้พาตัวไปด้วย “รั้งอยู่ที่นี่นานไปคงไม่เหมาะ คนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์น่าจะใกล้ตามมาแล้ว ไปเถอะ!”
เพิ่งเอ่ยจบ อสูรโลหิตตัวนั้นก็แผดเสียงร้อง “กี้ด” ไปทางด้านหลังพวกเขา แสดงสีหน้าดุร้าย สองปีกค่อยๆ กางออกมาคล้ายเตรียมจะจู่โจมบางสิ่ง
ทั้งกลุ่มหันขวับกลับไป มองเห็นว่าในซอกก้อนหินด้านหลังมีลิ้นยาวสีแดงแลบออกมา งูเขียวตัวหนึ่งที่มีเกล็ดสีเขียวคล้ำโผล่หัวออกมาอย่างเชื่องข้า หัวใหญ่หนาเท่าต้นขา ดวงตาเรืองแสง ยังไม่ทันได้เห็นชัดๆ ว่าลำตัวอสรพิษนั้นยาวแค่ไหน จู่ๆ ส่วนหัวของงูก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นศีรษะมนุษย์อย่างรวดเร็ว มีไอปีศาจเจือปนอยู่
ศีรษะมนุษย์ที่ปรากฏขึ้นรวบผมเกล้าเป็นมวยสูง มีแพรโปร่งสีขาวผืนหนึ่งคาดบังหน้า แต่ไม่อาจปิดบังความงามสง่าได้ เป็นใบหน้าของอวิ๋นจี
ส่วนลำตัวงูที่เลื้อยออกมาก็ค่อยๆ กลายเป็นร่างกายมนุษย์ สุดท้ายอวิ๋นจีในสภาพร่างมนุษย์ก็ปรากฏยืนอยู่บนก้อนหิน
พวกหนิวโหย่วเต้าตะลึงงัน ไม่คิดเลยว่าสตรีนางนี้จะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ออกมานอกเขตแนวป้องกันของหญ้าขับแสงคนเดียวอย่างนั้นหรือ?
“กี้ด…” อสูรโลหิตแผดเสียง อสูรปีกน้ำเงินทั้งสามกางปีกออกมาเตรียมเข้าโจมตี
หนิวโหย่วเต้ายกมือขึ้นเล็กน้อย หยวนกังครางฮึมฮัมใส่อสูรโลหิต ระงับโทสะของเหล่าอสูรผีเสื้อที่เริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมา
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านมาได้อย่างไร? อยู่ที่นี่มาตลอดหรือเพิ่งมา?”艾琳小說
อวิ๋นจีตอบว่า “เดิมทีข้าอยู่ในละแวกอยู่แล้ว พวกเจ้าก่อเรื่องครึกโครมขนาดนี้ ข้าจะไม่โผล่มาดูเลยก็คงเป็นไปได้ยาก ขุ่นเคืองที่ข้ามาเห็นเรื่องที่ไม่สมควรเห็นเข้าหรือ? ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าพวกเจ้าจะร่วมมือกับอสูรผีเสื้อกลุ่มนี้ได้”
หนิวโหย่วเต้าถาม “ท่านไม่กลัวข้าจะสังหารปิดปากท่านหรือ?”
เขารอยยิ้มละไมยามที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา รอยยิ้มสดใส แต่ในใจกลับปรากฏเจตนาสังหารขึ้นมาจริงๆ ปล่อยให้คนนอกทราบว่าทางนี้สามารถสื่อสารกับอสูรผีเสื้อได้นั้นไม่ใช่เรื่องดีอันใดเลย
อวิ๋นจีกล่าวมา “มีกลุ่มอสูรผีเสื้อคอยช่วยเหลืออยู่ ข้าสู้พวกเจ้าไม่ได้จริงๆ แต่หากข้าอยากจะหนีออกไปจากป่าเขาแถบนี้ พวกเจ้าก็ไม่แน่ว่าจะจับตัวข้าได้ หาไม่แล้วข้าคงไม่มาปรากฏตัวที่นี่คนเดียว แล้วก็คงไม่เป็นฝ่ายปรากฏตัวให้เห็นก่อนด้วย พวกเจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องราวบางอย่างมาแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรแคว้นจ้าวเคยเข้าปิดล้อมข้าอยู่หลายหน ทว่าข้ายังคงตั้งตัวอย่างมั่นคงในแคว้นจ้าวได้ นั่นไม่ใช่ว่าจะไร้สาเหตุ ดังนั้น ข้าขอเตือนพวกเจ้าว่าอย่างได้ก่อเรื่องเลยจะดีกว่า หากแตกหักกันไปล้วนจะไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งสิ้น”
หนิวโหย่วเต้าถาม “ผู้อาวุโสเป็นฝ่ายเผยตัวก่อน น่าจะมีเหตุผลอยู่กระมัง?”
อวิ๋นจีกวาดตามองอสูรผีเสื้อที่อยู่ด้านหลังเขา “ข้ามีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือจากพวกเจ้า เจ้าวางใจเถอะ ไม่ให้เจ้าช่วยเปล่าๆ แน่นอน จะมีของตอบแทนให้”
“เป็นสิ่งใด?” หนิวโหย่วเต้าอดถามไม่ได้
อวิ๋นจีถามกลับ “เจ้าคิดจะเสียเวลาอยู่ที่นี่จนสำนักหมื่นสรรพสัตว์ขนกันมาเป็นพรวนหรือ?” ความหมายในวาจาคือที่นี่ไม่ควรรั้งอยู่นาน
“คำพูดของผู้อาวุโสมีเหตุผล” หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปโบกมือเล็กน้อย พวกเฉาเซิ่งไหวทั้งสามถูกทำให้สลบไป เพื่อไม่ให้ได้ยินในสิ่งที่ไม่สมควรได้ยินเข้า
เมื่อมีหยวนกังเป็นตัวกลางสื่อสาร อสูรปีกน้ำเงินทั้งสามตัวคว้าตัวพวกเฉาเซิ่งไหวทั้งสามบินขึ้นมาอีกครั้ง อสูรโลหิตบินลัดเลาะนำหน้าไป หยวนกังจับข้อเท้าอสูรโลหิตเอาไว้ห้อยตามไปด้วย ส่วนที่เหลือทะยานตามมาด้านหลัง มุดหายเข้าสู่ส่วนลึกของป่าเขา
ระหว่างทางเต็มไปด้วยพฤกษาที่สูงใหญ่จนน่าเหลือเชื่อ ต้นไม้เก่าแก่ยืนต้นสูงชะลูดนับร้อยจั้ง เรืองแสงพร่างพราววาววับ กลุ่มมนุษย์ที่เหินทะยานอยู่ดูเล็กจ้อยดั่งมดปลวก เถาวัลย์แก่ที่แผ่แสงสีเขียวหยกหนายิ่งกว่าลำตัวคน ตะไคร่น้ำเรืองแสงสีเขียว ช่อดอกที่ส่องแสงสีขาวใหญ่ราวกับถังอาบน้ำสามารถยัดคนเข้าไปได้ บุปผาแปลกตาหลากสีสันแผ่แสงที่แตกต่างกัน สิ่งมีชีวิตโปร่งใสเรืองแสงได้ที่ดูคล้ายกับแมงกะพรุนล่องลอยอยู่เงียบๆดฮณ๊ฯดฯฌซ,
สิ่งที่มีมากมายที่สุดยังคงเป็นผีเสื้อเรืองแสงที่กระพือปีกขนาดใหญ่หนึ่งจั้งกว่า พวกมันจับกลุ่มบินร่อนอยู่เหนือผืนป่า มองจากที่ไกลๆ แล้วดูราวกับทางช้างเผือก
ผีเสื้อชนิดนี้คือแม่พันธุ์ของผีเสื้อจันทรา ถูกตั้งชื่อว่าจันทรมาศเพื่อจำแนกแบ่งแยกจากผีเสื้อจันทรา และเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดคนถึงเรียกผีเสื้อจันทราว่าจันทร์ดวงน้อย
ขณะที่ข้ามผ่านลำธารสายหนึ่งไปก็มองเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดหลากหลายชนิดในสายน้ำด้วย
ฉากงดงามน่าอัศจรรย์สารพัดอย่างช่างงดงามเกินพรรณนาโดยแท้
ระหว่างทางหนิวโหย่วเต้าอดไม่ได้ที่จะรำพันออกมา “งามดั่งแดนเซียน เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า