ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 467

ตอนที่ 467 จะมีเพียงสองคนที่ได้รอดชีวิตออกไป

อวิ๋นจีพยักหน้าพลางเอ่ยชม “รอบรู้นี่”

ก่วนฟางอี๋กลอกตาทีหนึ่ง “สัญลักษณ์ประจำตัวเจ้าสำนักหมื่นสรรพสัตว์คือมุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์ นี่น่าจะเป็นเรื่องที่คนมากมายต่างเคยได้ยินกระมัง นับว่ารอบรู้ได้หรือ? หรือว่ามุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์ในมือของเจ้าสำนักคนปัจจุบันจะเป็นของปลอม?” ความหมายคือสงสัยในคำพูดของนาง

อวิ๋นจีเอ่ยว่า “เจ้าพูดถูกแล้ว น่าจะเป็นของปลอม ข้าคุ้นเคยกับสำนักหมื่นสรรพสัตว์ดี อ้างอิงจากเบาะแสต่างๆ ที่เห็นมา สำนักหมื่นสรรพสัตว์น่าจะไม่ได้ใช้งานมุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์มานานมากแล้ว น่าจะยังตามหาศพของจูชื่อเฉิงไม่พบ มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์น่าจะยังอยู่กับศพของจูชื่อเฉิง”

พวกหนิวโหย่วเต้ามองหน้ากันไปมา สัญลักษณ์แสดงตัวของเจ้าสำนักหมื่นสรรพสัตว์กลับเป็นของปลอม หากข่าวนี้แพร่ออกไปจะเป็นที่ฮือฮาขนาดไหนกัน?

อวิ๋นจีกล่าว “เรื่องราวผ่านมานานถึงขนาดนี้แล้ว อันที่จริงจะเป็นของปลอมหรือไม่ไม่สำคัญ ขอเพียงตัวสำนักหมื่นสรรพสัตว์เชื่อว่าเป็นของจริง ต่อให้มันเป็นของปลอม มันก็กลายเป็นของจริงได้ จะหยิบหินสักก้อนมาใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเจ้าสำนักก็ยังได้ ขอเพียงภายในสำนักหมื่นสรรพสัตว์เห็นพ้องตรงกัน จะใช้สิ่งใดเป็นสัญลักษณ์เจ้าสำนักมันสำคัญด้วยหรือ?”

พอนางเอ่ยมาเช่นนี้ ทุกคนลองคิดๆ ดูก็ว่าใช่ จะใช้สิ่งใดเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเจ้าสำนักก็ไม่สำคัญเลย สิ่งสำคัญคือภายในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ยอมรับผู้ใด

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ท่านต้องการตามหามุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์หรือ? เจ้าสิ่งนี้มันใช้ประโยชน์อะไรได้?”

อวิ๋นจีพยักหน้ายอมรับ “ถูกต้อง ข้าต้องการสิ่งนี้ สิ่งนี้ต้องมีอิทธิพลต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย สำนักหมื่นสรรพสัตว์พึ่งพาสิ่งนี้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา ขอเพียงข้าตามหาสิ่งนี้พบ เขาข้ามเมฆาของข้าก็จะมีโอกาสยิ่งใหญ่ขึ้นมา ดังนั้นสิ่งนี้จึงสำคัญสำหรับข้ามาก แต่แน่นอน หากตัดปัจจัยในส่วนที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเจ้าสำนักออกไป สิ่งนี้ก็นับว่ามีความสำคัญต่อสำนักหมื่นสรรพสัตว์เช่นกัน หากพวกเขารู้ว่าข้ากำลังจะทำอะไร หากพวกเขารู้ว่าเจ้าเขาแห่งเขาข้ามเมฆาคืออดีตสัตว์วิเศษของจูชื่อเฉิง พวกเขาคงไม่มีทางปล่อยข้าไปเช่นกัน”

หนิวโหย่วเต้าเข้าใจแล้ว อีกฝ่ายยอมเผยความลับออกมาเช่นนี้ก็เพื่อตอบคำถามก่อนหน้านี้ของเขาที่ว่าจะเชื่อมั่นในคำรับรองของท่านได้อย่างไร?

นี่คือการเสนอตัวบอกเล่าจุดอ่อนของตนให้เขาทราบ ขอเพียงให้ความช่วยเหลืออวิ๋นจี หลังจบเรื่องอวิ๋นจีไม่มีทางหักหลังแน่นอน สตรีนางนี้ตั้งใจจะทุ่มสุดตัวแล้ว

แต่อวิ๋นจีกลับไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดออกมา ยังปิดบังเรื่องที่สำคัญที่สุดเอาไว้

จริงอยู่ที่ในปีนั้นนางติดตามจูชื่อเฉิงมาที่นี่ และจูชื่อเฉิงก็บอกให้นางหนีไปก่อนจริงๆ แต่ที่ให้นางหนีไปก่อนก็เพื่อให้นางนำข้อความกลับไปถ่ายทอดต่อสำนักหมื่นสรรพสัตว์ แจ้งให้ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักรุ่นถัดไปออกตามหามรดกตกทอดชิ้นหนึ่งของเขา

แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทำให้นางค่อนข้างเสียความรู้สึก นางจึงไม่ได้ถ่ายทอดคำสั่งเสียของจูชื่อเฉิงให้ทราบ ด้วยรู้สึกว่าคนเหล่านั้นไม่คู่ควรจะได้รับมรดกตกทอดจากจูชื่อเฉิง ด้วยเหตุนี้ตัวนางจึงแอบมาตามหาสิ่งตกทอดที่จูชื่อเฉิงซ่อนเอาไว้อย่างเงียบๆ พอหาเจอถึงได้ทราบว่ามันเป็นความลับอย่างหนึ่งซึ่งมีเพียงเจ้าสำนักหมื่นสรรพสัตว์แต่ละรุ่นเท่านั้นถึงจะทราบได้

ความลับที่สุดแสนสำคัญนั่นก็คือมุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์ เหตุผลที่มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์มีอิทธิพลต่อสรรพสัตว์ เนื่องจากภายในมุกบรรจุโลหิตของนกเฟิ่งหวงที่หลงเหลือมาจากยุคบรรพกาลไว้หนึ่งหยด เหตุผลที่ในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้ามีคนที่บรรลุสู่ระดับจิตทารกน้อยนิดจนนับนิ้วมือได้เป็นเพราะยากจะฝ่าด่านอุปสรรคแห่งวิถีบำเพ็ญเพียรไปได้ ส่วนโลหิตนกเฟิ่งหวงหยดนั้นก็น้อยนิดเกินไป ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อผู้บำเพ็ญเพียรที่เป็นมนุษย์เท่าไรนัก แต่มันกลับสามารถช่วยเหลือปีศาจบำเพ็ญเพียรให้ทะลวงผ่านอุปสรรค์แห่งวิถีบำเพ็ญเพียรไปได้

อวิ๋นจีใจเต้นตึกตักขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น แรกเริ่มนางเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่ได้มีกิเลสที่รุนแรงถึงเพียงนั้น ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลที่จูชื่อเฉิงไว้วางใจในตัวนาง ภายหลังนางเผชิญมรสุมชีวิตบางอย่างเข้า โดยเฉพาะหลังจากที่สามีถูกมนุษย์สังหาร ความปราณนาจะครอบครองมุกวิญญาณหมื่นสรรพสิ่งของนางก็ยิ่งแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ นี่คือเหตุผลที่นางมาค้นหาในแดนความฝันหลายต่อหลายครั้ง

“นี่เป็นคำพูดจากท่านเพียงฝ่ายเดียว อีกทั้งอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้อให้ข้าไปสืบหาความจริงได้ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องที่ท่านพูดมาเป็นความจริงหรือเปล่า?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆ

อวิ๋นจีเอ่ยว่า “จะจริงหรือเท็จ เดี๋ยวหาของเจอก็จะรู้เอง! ข้าทุ่มทุกอย่างที่มีแล้ว เจ้ายังมีทางเลือกอีกหรือ?”ไอรีนโนเวล

หนิวโหย่วเต้าจ้องมองนางอย่างเย็นชาอยู่พักหนึ่ง ค่อยๆ หันหลังไป เดินวนกลับไปกลับมาอยู่สักพัก จนเดินไปหยุดตรงหน้าหยวนกัง “จูเจียงตัวปลอมคนนั้นน่าจะเป็นคนคุ้นเคยเก่าของพวกเรา”

หยวนกังตั้งคำถามผ่านสายตา

หนิวโหย่วเต้าพยักเพยิดไปทางสามคนนั้นที่สลบอยู่ “น่าจะเป็นคนเดียวกับที่หลอกใช้คนแซ่เฉาให้มาก่อเหตุ”

หยวนกังถามออกไป “ผู้ใด?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “วิธีการคิดของคนเราจะทำให้เกิดรูปแบบการคิดที่เป็นความเคยชินได้ง่าย แล้วก็จะทำให้ส่งผลกระทบต่อวิธีจัดการเรื่องราวด้วย ดังนั้นจึงเกิดเป็นลักษณะนิสัยในการทำงานอันเป็นเอกลักษณ์ส่วนบุคคล วิธีการที่หาสถานที่สักแห่งปักหลักเฝ้าตอรอกระต่ายเช่นนี้ เจ้าไม่รู้ว่าสึกคุ้นๆ บ้างหรือ?”

พอถูกเตือนสติเช่นนี้ หยวนกังผงะไปเล็กน้อย ในโลกนี้มีรูปแบบการลงมือที่คล้ายคลึงกันอยู่ไม่มากนัก ทำให้นึกออกได้ไม่ยากอะไร ร้านเครื่องเขียนแห่งหนึ่งในอำเภอชางหลูแวบเข้ามาในหัวเขา เคยมีใครบางคนใช้วิธีการดักรอให้เหยื่อเดินเข้ามาติดกับเองอยู่ในร้านค้าแห่งนั้น เมื่อเทียบกับคนที่ฝ้ารอให้พวกอวิ๋นจีมาติดกับผู้นั้น รูปแบบของวิธีการนั้นเรียนได้ว่าเหมือนกันทุกประการ

คำตอบผุดขึ้นมาในหัวแล้วว่าเป็นผู้ใด ปากจึงเอ่ยโพล่งออกไป “ลู่เซิ่งจง? เขายังไม่ตายหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าอย่างรู้สึกขบขันเล็กน้อย “ซ่อนตัวอยู่หลังม่านไม่ออกมาข้องเกี่ยวกับเป้าหมายโดยตรง หมายตาน้องชายของคนแซ่เฉาเช่นเดียวกับที่หมายตาน้องสาวของคนแซ่เซ่า วิธีการไม่เปลี่ยนไปเลย! เจ้าลองคิดถึงปัจจัยอื่นดูอีกสิ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกทางเป่ยโจวส่งมา ดูเหมือนเซ่าผิงปอจะให้ค่าคนมีความสามารถจึงไม่สังหารเขา มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นคนผู้นั้น เป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ เสียแต่ใจเสาะไปหน่อย น่าเสียดาย”

หยวนกังพยักหน้ารับเงียบๆ ตอบกลับในทันที “ก็แค่โชคร้ายไปหน่อย”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ หากว่ากันเช่นนี้ก็นับว่าโชคร้ายไปหน่อยจริงๆ ตอนอยู่ที่อำเภอชางหลู อีกฝ่ายจนมุมเพราะกลอนบทหนึ่ง ครั้งนี้ปลอมตัวเป็นจูเจียงก็ดันมาเจออวิ๋นจีเข้า นี่ต้องดวงซวยขนาดไหนกันเล่า?

แต่เขายังคงส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “จะไปเอาโชคมาจากไหนมากมายขนาดนั้นล่ะ ไม่ว่าจะเป็นโชคดีหรือว่าโชคร้ายก็ล้วนแต่เกิดจากหลายปัจจัยประกอบรวมเข้าด้วยกัน เขายังขาดความสามารถด้านการตระหนักถึงอันตรายไป ขาดความรอบคอบไปหน่อย มิเช่นนั้นคงไม่พลาดท่าเสียทีคนอื่นอยู่ร่ำไป”

ก่วนฟางอี๋ฟังแล้วอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา หันกลับไปกระซิบถามหยวนฟางที่หน้าช้ำปูดบวม “ลู่เซิ่งจงเป็นใคร?”

หยวนฟางแสยะยิ้ม “เป็นคนผู้หนึ่งที่เคยถูกข้าจับขังไว้ในห้องใต้ดินจนโสโครกเหมือนตัวหมัด”

ก่วนฟางอี๋ซักต่อ “ลองเล่ามาซิ”

หยวนฟางหัวเราะฮี่ๆ เอ่ยไปว่า “เรื่องนี้ไม่อาจบอกเล่าให้กระจ่างได้ภายในไม่กี่ประโยค”艾琳小說

อวิ๋นจีก็ตั้งใจฟังบทสนทนาของทั้งสี่เช่นกัน จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยกับนางว่า “รบกวนท่านถอยออกไปสักครู่”

อวิ๋นจีเงียบไปเล็กน้อย จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปจากปราการพฤกษา หนิวโหย่วเต้าส่งสัญญาณให้ก่วนฟางอี๋ไปเฝ้าทางเข้าไว้ จากนั้นก็หันหลังเดินไปหยุดตรงหน้าทั้งสามคนที่สลบกองอยู่บนพื้น ยกฝักกระบี่สะกิดร่างคนทั้งสามอยู่หลายครั้ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า