ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 469

ตอนที่ 469 ค่ายกลแดนความฝัน

ลึกเข้าไปในป่าแปลกประหลาด คณะของหนิวโหย่วเต้าหยุดลงอีกครั้ง พากันปล่อยมือออกจากข้อเท้าอสูรผีเสื้อร่อนลงสู่พื้น

ก่วนฟางอี๋หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมืออีกครั้ง รูปลักษณ์ของอสูรผีเสื้อดูไม่ค่อยน่ามองจริงๆ เมื่อสัมผัสผิวกายแล้วคล้ายค่อนข้างน่าขยะแขยง

แต่ก็ช่วยไม่ได้ หากจะอาศัยเพียงพลังสภาวะเหินทะยานฝ่าผืนป่าไปตลอดล่ะก็ แบบนั้นจะเปลืองพลังเกินไป หากเผชิญเหตุร้ายไม่คาดฝันขึ้นแล้วมาพลังไม่พอ อย่างนั้นเกิดเรื่องยุ่งยากแน่ จึงได้แต่ต้องพึ่งพาความสามารถในการบินของอสูรผีเสื้อแทน

นี่เป็นเพราะมีหยวนกังอยู่ด้วย มิเช่นนั้นฝ่ายอสูรผีเสื้อคงไม่ยินดีทำงานเหนื่อยยากเช่นนี้ แต่มันก็ยังดีที่หากอสูรผีเสื้อกลุ่มหนึ่งเหนื่อยล้าแล้วก็ยังสามารถเปลี่ยนอีกกลุ่มมารับช่วงต่อได้

แทนที่จะบอกว่าทุกคนหยุดลง ความจริงแล้วเป็นเพราะอวิ๋นจีหยุดลงอีกครั้งต่างหาก ทุกคนจึงจำเป็นต้องหยุดตามนาง

พวกหนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน อวิ๋นจีเหินร่างขึ้นไปบนยอดไม้อีกครั้ง ทำการสังเกตดูภูมิประเทศอย่างละเอียด

ผ่านไปครู่หนึ่งอวิ๋นจีก็ร่อนลงมาจากด้านบน ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ลองมุ่งหน้าไปทางนั้นต่อเ”

หนิวโหย่วเต้ายกมือปราม “ข้าว่านะท่านผู้อาวุโส ท่านช่วยกำหนดทิศทางที่แน่ชัดได้หรือไม่? ป่าผืนนี้กว้างใหญ่ไพศาลปานนี้ หากคลำหาอย่างไร้เป้าหมายเช่นนี้ต่อไป เราจะต้องหากันถึงเมื่อไรเล่า? พวกเรายินดีร่วมทางมาด้วย แต่อสูรผีเสื้อจะไม่เหนื่อยตายเอาหรือ?”

อวิ๋นจีกล่าวว่า “ข้าเองก็ต้องตามหาตำแหน่งที่แยกทางกับจูชื่อเฉิงในครั้งนั้นให้ได้ก่อน มิเช่นนั้นก็จะเป็นอย่างที่เจ้าว่า ป่ากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ หากคลำหาอย่างไร้เป้าหมายเช่นนี้ต่อไปก็ไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร มีแต่ต้องตามหาตำแหน่งที่แยกจากกันในครานั้นให้ได้ เราถึงจะมีโอกาสเจอร่องรอยการต่อสู้ระหว่างจูชื่อเฉิงกับอสูรผีเสื้อในครั้งนั้น และนำมาใช้เป็นเบาะแสในการค้นหาได้”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ผ่านมาร้อยกว่าปีแล้ว ท่านแน่ใจหรือว่าท่านจดจำบริเวณที่แยกจากกันในครานั้นได้?”

อวิ๋นจีตอบว่า “ตำแหน่งที่แยกจากกันมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ข้าจดจำได้ขึ้นใจ ไม่มีทางลืมเลือน ภูเขาลูกนั้นไม่สูงมาก นัก ภูเขาฝั่งหนึ่งสูงฝั่งหนึ่งต่ำ ระหว่างทางให้ทุกคนช่วยกันสังเกตด้วย หากพบสถานที่ที่คล้ายคลึงก็ให้แจ้งมา”

“ภูเขาที่ไม่สูงหรือ?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม ก่อนจะยกมือตบหน้าผากเล็กน้อย ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น

อวิ๋นจีมองดูเขา ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร

หยวนกังกลับทราบดีว่าเหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงยิ้มอย่างขมขื่น ในอดีตเต้าเหยี่ยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดูฮวงจุ้ยสร้างบ้านตั้งสุสาน ย่อมรู้ดีว่าคำพูดของอวิ๋นจีมีปัญหา จึงช่วยเอ่ยเตือนไปว่า “หากว่าภูเขาไม่สูงล่ะก็ อย่างนั้นมาพูดว่าด้านหนึ่งสูงด้านหนึ่งต่ำอะไรแบบนี้ไม่มีประโยชน์ มีคำกล่าวที่ว่ามองขวางเห็นยอดมองข้างเห็นสัน หากยืนในตำแหน่งที่ต่างกันก็จะเห็นลักษณ์ภูเขาที่ต่างกันไป มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเราจะผ่านภูเขาลูกนั้นมาแล้ว แต่ยากจะสังเกตเห็นได้ ท่านพอจะรู้ถึงทิศทางของภูเขาลูกนั้นหรือไม่?”

หากไม่พูดก็คงไม่เคยคิดไปถึงด้านนี้เลย พอได้ยินเขาว่ามาเช่นนี้ ก่วนฟางอี๋กับหยวนฟางก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าใช้ความคิด สื่อว่าเห็นด้วย

“อันนี้…” อวิ๋นจีเอ่ยด้วยความลังเล “ตอนนั้นรีบร้อนหลบหนี ไม่ได้สังเกตตำแหน่งทิศทาง แต่ข้าค่อนข้างแน่ใจ เมื่อวิเคราะห์จากลักษณะภูมิประเทศบางส่วนที่ค่อนข้างคุ้นตาที่มองเห็นจากเส้นทางเบื้องหน้าแล้ว พวกเราน่าจะมาถึงละแวกใกล้เคียงแล้ว ตำแหน่งน่าจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่แล้ว”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวด้วยความแปลกใจ “พวกเราน่าจะออกห่างจากปากทางเข้าแดนความฝันผีเสื้อมาไกลมากแล้ว ตอนที่จูชื่อเฉิงพาท่านเข้ามาในครั้งนั้น ลำพังพวกท่านสองคนฝ่าการโจมตีของอสูรผีเสื้อจำนวนมากจนเข้ามาลึกขนาดนี้ได้อย่างไร?”

“มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์!” พอเห็นว่าทุกคนไม่เข้าใจ อวิ๋นจีจึงอธิบายเพิ่มว่า “มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์เองก็มีผลต่ออสูรผีเสื้ออยู่พอสมควร โดยเฉพาะกับอสูรผีเสื้อระดับต่ำ เพราะมีมุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์ พวกเราถึงเข้ามาลึกขนาดนี้ได้ ภายหลังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผีเสื้อโลหิตระดับสูงมีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ถึงได้เจออันตรายเข้า”

อย่างนี้นี่เอง! ทั้งสี่ใคร่ครวญตาม เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่อาจยืนยันได้ว่าสรุปแล้วคำพูดของสตรีนางนี้เป็นความจริงหรือไม่

หนิวโหย่วเต้ายืนค้ำกระบี่อยู่ตรงนั้น ถอนหายใจดังเฮ้อแล้วเอ่ยไปว่า “เสียเวลาเดินทางมากับท่านนานขนาดนี้ หากหันหลังกลับเอาตอนนี้ก็เท่ากับเปลืองแรงทุกคนไปโดยเปล่าประโยชน์ หาต่อกันเถอะ แต่ว่าผู้อาวุโส ข้าขอเตือนท่านเอาไว้สักหน่อย ตั้งแต่เข้าสู่แดนความฝันจนมาถึงตอนนี้ เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งวันแล้ว เส้นทางที่พวกเราเดินทางอ้อมไปอ้อมมา หากขากลับมุ่งหน้าตัดตรงไปก็ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งวันอยู่ดีกระมัง? พูดอีกอย่างก็คือพวกเราค้นหาเป็นเพื่อนท่านได้อย่างมากอีกหนึ่งวันเท่านั้น พอถึงเวลาจะต้องถอนตัวกลับทันที เมื่อถึงเวลานั้นอย่าหาว่าข้าไม่ยอมช่วยท่านก็แล้วกัน พวกเราไม่มีทางยอมโดนขังอยู่ที่นี่เป็นสิบปีพร้อมกับท่านได้”

อวิ๋นจีเหลือบมองมา “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว! หากว่าครั้งนี้หาไม่พบ ครั้งหน้าเมื่อแดนความฝันเปิดขึ้นค่อยมาใหม่” สายตาเหลือบไปทางหยวนกังอย่างมีนัยยะแอบแฝง คล้ายกำลังบอกว่าครั้งหน้าก็ยังจะพึ่งพาความสามารถของหยวนกังให้มาค้นหากับนางต่อ

ภายนอกหนิวโหย่วเต้าไม่ได้ปฏิเสธออกไปตรงๆ แต่ภายในใจกลับหัวเราะหยันเล็กน้อย เรื่องราวในอีกสิบปีให้หลังยากจะพูดกันในกระจ่างได้ เรื่องราวในโลกเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา หาได้ขึ้นอยู่กับคำพูดของเจ้าไม่

หยวนกังมองมา ทว่าหนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าเล็กน้อย สื่อว่าตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องแตกหักกับสตรีนางนี้ เขาโบกมือเอ่ยไปว่า “เช่นนั้นก็รีบค้นหาต่อเถอะ”

ทั้งคณะเดินทางต่อไปอีกครั้ง เกาะร่างของอสูรผีเสื้อออกค้นหาต่อไป

หยวนฟางรู้สึกเบื่อหน่าย นี่มันต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทรกันเล่า?艾琳小說

ก่วนฟางอี๋ด่าอยู่ในใจ เคยส่งสัญญาณถามหนิวโหย่วเต้าอย่างลับๆ ว่าให้ใช้ยันต์กระบี่สวรรค์ลอบโจมตีหรือไม่ บางทีอาจจะปลิดชีวิตอวิ๋นจีได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว

แต่หนิวโหย่วเต้าไม่ตอบตกลง ประการแรกคืออวิ๋นจีดูระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด หากลงมือพลาดแล้วปล่อยให้สตรีนางนี้หนีไปได้ นั่นยังไม่ใช่ปัญหาสำคัญ ปัญหาสำคัญคือไม่ว่าเขากับอวิ๋นฮวนจะร่วมสาบานกันด้วยใจจริงสักกี่ส่วน แต่หากไม่อยู่ในสถานการณ์ที่สุดวิสัยจริงๆ ล่ะก็ เขาก็รู้สึกลำบากใจอย่างมากที่ต้องลงมือสังหารมารดาอวิ๋นฮวน เขายังคงยึดมั่นในบรรทัดฐานด้านศีลธรรมบางอย่างอยู่

ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่าใจจริงจะคิดอย่างไร แต่หากว่าชั่งผลดีผลเสียดูแล้ว การทำผิดคุณธรรมก็ไม่ใช่เรื่องดีอันใดเลย คนข้างกายก็เป็นคน ไม่ว่าจะเป็นคนสนิทหรือไม่ก็ตาม แต่หัวใจคนเรามีเลือดเนื้อ หากกระทำเรื่องบางอย่างลงไป คนใกล้ชิดล้วนแต่มองเห็น แล้วจดจำฝังอยู่ในใจ

หากเขาข้ามเส้นที่ไม่ควรข้ามไป สักวันหนึ่งคนที่อยู่ข้างกายก็จะข้ามเส้นนั้นไปได้ง่ายๆ เช่นกัน คนที่เลียเลือดบนปลายดาบคือคนที่เผชิญกงเหวียนกรรมเกวียนได้ง่ายที่สุด….

“เจอแล้ว ลูกนั้น!”

เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม เป็นไปตามที่อวิ๋นจีสันนิษฐานไว้ อยู่ห่างจากตำแหน่งที่ประมาณเอาไว้ไม่ไกลจริงๆ อวิ๋นจีที่เหินทะยานขึ้นไปอยู่กลางอากาศเหนือผืนป่าชี้ไปยังภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ทางซ้ายพลางตะโกนด้วยความดีใจ ตื่นเต้นยินดีจนเสียอาการเล็กน้อย

ทุกคนมองออกไป ท่ามกลางภูเขาที่ทอดตัวสลับขึ้นลงนั้นมีภูเขาลูกหนึ่งที่ด้านหนึ่งสูงด้านหนึ่งต่ำอยู่อยู่จริงๆ

อสูรผีเสื้อที่พวกเขาเกาะอยู่เปลี่ยนทิศทางทันที

อวิ๋นจีนำทางอยู่ด้านหน้า พาทั้งคณะมาทางปีกขวาของภูเขาลูกนั้น จากนั้นถึงจะค่อยๆ ร่อนลง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า