ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 47

ตอนที่ 47 เจ้าคืนเงินข้ามา

ตามปกติแล้วเขาเป็นคนที่ใจกว้างอย่างมากคนหนึ่ง ใช่ว่าจะไม่เคยโดนหยามหน้าดูแคลนมาก่อน แต่มีบางเรื่องที่เขาถือสาอย่างยิ่ง อย่างเช่นเหตุการณ์ตรงหน้านี้ เฟิ่งรั่วหนานคิดอยากสังหารเขา หยวนกังลงมือปกป้องก็นับเป็นเรื่องปกติที่เข้าใจได้ อีกทั้งหยวนกังยังลงมืออย่างไว้มารยาท เพียงสกัดขวางไว้เท่านั้น มิได้ลงไม้ลงมืออันใดเลย การที่ตาเฒ่าผู้นี้ออกมาไกล่เกลี่ยห้ามปรามก็ไม่ว่ากัน แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องลอบลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้เลย

ฟังจากที่อีกฝ่ายแทนตัวว่า ‘บ่าว’ เห็นได้ชัดว่าเป็นบ่าวรับใช้ที่ออกหน้าปกป้องคุณหนูของตน เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกในส่วนนี้ แต่ตัวเขาหนิวโหย่วเต้าก็มิใช่คนยอมคนเช่นกัน

เมื่อครู่ที่ถามอีกฝ่ายว่าเบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วกระมังก็มิใช่คำลวง เขาสามารถอ้างเรื่องกาทมิฬแสนตัวบีบบังคับลงโทษตาเฒ่าคนนี้ได้ อย่างน้อยก็คงบังคับให้ตาเฒ่าคนนี้ขอขมาลาโทษได้ ทำให้เขาอับอายเสียหน้าสักครั้ง ทว่าเมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ตรงหน้าแล้ว เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็น เขาจึงตัดสินใจยอมถอยก้าวหนึ่ง เรื่องขอขมาลาโทษอันใดเขาไม่เอาแล้ว แต่จะจดจำเรื่องนี้ไว้!

ละครคั่นฉากเล็กๆ คล้ายจะผ่านพ้นไปแล้ว ทว่าเฟิ่งรั่วหนานที่ยังฝืนดิ้นรนอยู่กลับไม่ยอมจบเรื่อง ตะโกนขึ้นมาว่า “ท่านแม่ ข้าไม่แต่ง! ถ้าข้าต้องแต่งก็จะแต่งกับชายชาตรีห้าวหาญเด็ดเดี่ยวสักคน ไม่แต่งกับคนกระจอกที่ต้องกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดไปวันๆ แบบซางเฉาจงคนนั้นเด็ดขาด!”

นางกล่าวมาเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้าก็ไม่ยอมเช่นกัน ไหนเลยจะปล่อยให้สตรีนางนี้ทำเสียเรื่องได้ ถ้าเจ้าบอกไม่อยากแต่งก็ไม่ต้องแต่งได้หรือ? อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ถูกควบคุมอยู่ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ แล้วก็ทำร้ายเขาไม่ได้แล้ว เขาจึงเดินไปตรงหน้าเฟิ่งรั่วหนาน เอ่ยด้วยความแปลกใจว่า “ไยท่านแม่ทัพจึงกล่าวเช่นนี้? บนโลกนี้ยังจะหาบุรุษใดที่ห้าวหาญเด็ดเดี่ยวเท่าท่านอ๋องของข้าได้อีกหรือ?”

เพียงประโยคเดียวก็ด้อยค่าบุรุษอื่นในใต้หล้าไปจนหมด ทำให้บรรดาบุรุษที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่างพูดไม่ออก แต่ก็ทราบว่าไม่อาจถือคำพูดนี้เป็นจริงเป็นจังได้

มุมปากเฟิ่งหลิงปอกระตุกเล็กน้อย ค่อนขอดอยู่ในใจ เจ้าอยากเยินยอซางเฉาจงก็ไม่ว่าหรอก แต่จำเป็นต้องมากล่าวดูแคลนคนอื่นเช่นนี้ด้วยหรือ?

คำพูดนี้ดูแคลนแม้กระทั่งตัวเองด้วยซ้ำ หนิวโหย่วเต้าไหนเลยยังจะใส่ใจความคิดของบุรุษคนอื่นอีก

“ผายลม!” เฟิ่งรั่วหนานพ่นคำสบถที่หยาบคายยิ่งนักใส่เขา ทำเอาเผิงอวี้หลานกระดากอายอยู่บ้าง แม้จะเป็นแม่ทัพหญิงคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสตรีมีสกุล เป็นลูกสาวของนาง

หนิวโหย่วเต้าเมินเฉยต่อความหยาบคายของนาง ถึงอย่างไรก็มิใช่เขาที่ต้องแต่งกับนาง จึงย้อนถามเสียงดังว่า“ท่านแม่ทัพเคยพบท่านอ๋องของข้าหรือไม่ รู้จักท่านอ๋องของข้าดีแค่ไหน? หากไม่เคยพบ เหตุใดถึงตัดสินว่าท่านอ๋องของข้าเป็นคนกระจอกที่ต้องกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดไปวันๆ?”

เฟิ่งรั่วหนานสวนกลับ “ถุย! ข้าจะพบเขาไปไย ให้เขาไสหัวออกไปให้ไกลเสีย อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าจะดีที่สุด มิเช่นนั้นข้าจะเอาทวนแทงเขาให้ตายซะ! ยังมีเจ้าด้วยไอ้สุนัขชั้นต่ำ ไอ้สุนัขชั้นต่ำไร้จิตสำนึก…” นางพ่นถ้อยคำหยาบคายออกมาเป็นพรวน

ถูกด่าแค่ไม่กี่คำเขาไม่เสียหายอะไรอยู่แล้ว! หนิวโหย่วเต้าเข้าใจความรู้สึกที่ต้องการดิ้นรนหาทางรอดของนาง จึงไม่คิดจะถือสานาง เขาตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาในทันใด ข่มเสียงโวยวายของเฟิ่งรั่วหนานเอาไว้ “ท่านแม่ทัพอคติกับท่านอ๋องเกินไปแล้ว! ท่านแม่ทัพเข้าใจความรู้สึกที่ต้องถูกขังอยู่ในคุกเป็นเวลานานหลายปีหรือไม่? โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์ทรมานบีบให้รับสารภาพอยู่ทุกวัน ชายชาตรีที่เผชิญหน้ากับทัณฑ์ทรมานเช่นนั้น แล้วยังยืนหยัดยอมตายไม่ยอมจำนนไม่ยอมปริปากสารภาพเลยเป็นเวลาหลายปี บนโลกนี้จะมีอยู่สักกี่คนกัน? เท่าที่ข้ารู้มาก็มีเพียงท่านอ๋องของข้าเท่านั้น!”

เขากวาดตามองคนรอบข้าง ยกนิ้วโป้งขึ้นพร้อมเอ่ยว่า “ไม่ยอมแพ้แม้ประสบความยากลำบาก แน่วแน่มั่นคง เช่นนี้สิถึงจะเป็นชายชาตรีขนานแท้ เช่นนี้สิถึงจะห้าวหาญเด็ดเดี่ยวอย่างแท้จริง! ความจริงพิสูจน์ให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง กาลเวลาคือเครื่องพิสูจน์ความจริง ท่านอ๋องมิใช่คนที่ชายชาตรีห้าวหาญหน้าไหนจะสามารถเทียบชั้นได้!”

เขาหันไปเอ่ยถามเฟิ่งรั่วหนานอีกครั้ง “ท่านแม่ทัพคงทราบเรื่องที่เกิดขึ้นนอกประตูเมืองหลวง ที่ทหารยามรักษาเมืองจงใจสร้างความอัปยศให้แก่ท่านอ๋อง ก่อนจะถูกท่านอ๋องลากสังขารผอมแห้งซูบเซียวตวัดดาบสังหารเขาต่อหน้าสาธารณชนใช่หรือไม่? ขอถามหน่อยเถิดว่าใต้เบื้องยุคลบาทองค์ฝ่าบาท ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่กล้าสังหารทหารยามรักษาเมืองโดยไม่คำนึงถึงความเป็นความตาย? ท่านแม่ทัพกล้าหรือไม่เล่า?” ครั้งนี้เขาตะเบ็งเสียงใส่เฟิ่งรั่วหนานดังเป็นพิเศษ

จากนั้นก็หันไปถามทุกคนอีกครั้ง “ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ มีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้หรือไม่? หากกล้าก็ก้าวออกมาเลย!” สายตาเขาจับจ้องเฟิ่งหลิงปอพลางเอ่ยถาม “ท่านผู้ว่าการกล้าหรือไม่?”

คำถามนี้ทำเอาเฟิ่งหลิงปอรู้สึกอยากกลอกตาใส่เขาขึ้นมาวูบหนึ่ง เขาอยากพูดเหลือเกินว่าคงเป็นเพราะซางเฉาจงมั่นใจเต็มที่ว่าตอนนี้ฝ่าบาทลงมือสังหารเขาไม่ได้ถึงได้กล้าทำเช่นนั้นกระมัง? แต่หนิวโหย่วเต้าก็หันกลับไปหาเฟิ่งรั่วหนานแล้วชูนิ้วโป้งชื่นชมต่อ “นี่สิถึงจะเป็นบุรุษเลือดร้อน นี่สิถึงจะเป็นลูกผู้ชายตัวจริงที่ห้าวหาญเด็ดเดี่ยวอย่างแท้จริง มิใช่ชายชาตรีทั่วไปอย่างที่ท่านแม่ทัพจินตนาการถึง จินตนาการเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ไยท่านแม่ทัพจึงมองข้ามไปเสียเล่า? เหตุใดต้องทิ้งสิ่งใกล้ตัวไปแสวงหาสิ่งไกลตัว ละทิ้งความจริงเพื่อแสวงหาภาพมายาด้วย?”

เฟิงรั่วหนานถูกเขาหลอกล่อจนไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไร

หนิวโหย่วเต้าหันหลังเดินเข้าไปหาเผิงอวี้หลานอีกครั้ง “ท่านอ๋องของข้าเป็นเชื้อพระวงศ์มีบรรดาศักดิ์สืบทอดรุ่นสู่รุ่น หนิงอ๋องผู้เป็นพระบิดาของพระองค์ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังหวั่นเกรงอยู่สามส่วน ปัจจุบันถึงแม้จะถูกปลดจากบรรดาศักดิ์ชินอ๋องแล้ว แต่ก็ยังเป็นจวิ้นอ๋องผู้สูงส่งทรงเกียรติอยู่ หากธิดารักของฮูหยินออกเรือนกับท่านอ๋องก็จะกลายเป็นพระชายาอ๋องผู้สูงส่งมีเกียรติ ใต้หล้านี้จะมีสตรีสักกี่คนที่ได้เสพสุขกับเกียรติยศเช่นนี้? อาศัยเพียงคำว่า ‘บุตรชายหนิงอ๋อง’ สี่คำนี้ ยังจะทำให้ธิดารักของฮูหยินต้องเสียหน้าอีกหรือ? ข้าเอ่ยวาจาด้วยใจจริง หวังว่าฮูหยินจะประจักษ์แจ้ง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า