ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 471

ตอนที่ 471 หยินหยางพลิกสลับ

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าพลางชี้แล้วกล่าวว่า “เดิมทีท้องฟ้าแห่งนี้มันก็ไม่มีเจ็ดธาตุอยู่แล้ว ไหนเลยจะมีดวงอาทิตย์ได้ ท้องนภาไร้ดวงอาทิตย์ แต่กลับมีในพสุธา มีคนจัดวางดวงอาทิตย์ไว้บนดิน”

หยวนฟางเอ่ยสอดอย่างอดใจไม่อยู่ “จะมีดวงอาทิตย์บนดินได้อย่างไร? พื้นดินไหนเลยจะแอบซ่อนดวงอาทิตย์ไว้ได้?” ว่าพลางมองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ

ก่วนฟางอี๋เอ่ยหยาม “เจ้ามันโง่ ความหมายก็ตามนั้นไง”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “หยินหยางผกผันเวียนวน สองวิถีหวนสู่เก้าวัง มีคนสลับหยินหยาง เอาเจ็ดธาตุมาวางไว้บนดิน”

หยวนกังถาม “มองเห็นแค่หก ดวงอาทิตย์อยู่ที่ใด?”

“นอกแดนความฝันมีอยู่ดวงหนึ่ง…” หนิวโหย่วเต้าพูดๆ อยู่ก็ชะงักไป ใคร่ครวญอยู่สักพักก็เอ่ยเนิบๆ ว่า “หยินหยางสลับฝั่ง ขอบเขคของค่ายกลนี้กว้างใหญ่ เกรงว่าจะเหนือกว่าที่พวกเราจินตนาการเอาไว้มากนัก ยามที่ด้านนอกเกิดสุริยุปราคา ทางเข้าแดนความฝันจะเปิดออก มีความเป็นไปได้สูงที่การเปิดตัวของทางเข้าจะเกี่ยวข้องกับค่ายกลนี้ เจ็ดธาตุอยู่บนพื้นก็แปลว่าธรณีต่างนภา ค่ายกลนี้อาจจะเป็นค่ายกลที่อาศัยยืมพลังจากดวงดาวอย่างที่เล่าขานกันไว้ หากว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วยการขัดขวางของพลังดวงดาว เกรงว่าอวิ๋นจีอาจจะมุดดินออกไปไม่ได้เสียแล้ว ”

สายตาของทุกคนที่อยู่บนยอดเขามองไปยังตำแหน่งที่อวิ๋นจีมุดดินหนีไปอย่างพร้อมเพียง

หยวนกังเอ่ยถาม “บนโลกนี้มีค่ายกลที่มหัศจรรย์เช่นนี้อยู่จริงๆ น่ะหรือ?”

“หรือว่าปรากฏการณ์ที่ทางเข้าแดนความฝันเปิดไม่มหัศจรรย์ล่ะ? นั่นดูแล้วเหมือนสิ่งที่พลังธรรมดาสร้างขึ้นได้เหรอ?” หนวิโหย่วเต้าถามกลับ

หยวนกังเงียบไป หลังจากมาถึงโลกใบนี้ มุมมองทางโลกที่มีอยู่แต่เดิมก็ถูกลบล้างไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอขบคิดลึกลงไป บางทีอาจเป็นเพราะตนไร้ความรู้เอง

ก่วนฟางอี๋อดเอ่ยสอดไม่ได้ “อย่ามัวแต่พูดไร้สาระเลย จริงจังกันหน่อยเถิด พวกเราจะออกไปจากที่นี่อย่างไรต่างหากถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ เหลือเวลาไม่มากแล้ว อย่าโอ้เอ้เลย”艾琳小說

หนิวโหย่วเต้าจ้องมองผิวทะเลสาบพลางเอ่ยว่า “ดวงตะวันด้านนอกเป็นของจริง ส่วนดวงตะวันของที่นี่เป็นมายา”

หยวนกังถาม “ดวงตะวันที่หายไปดวงนั้นอยู่ที่ใด?”

หนิวโหย่วเต้าเพ่งพิศดูรอบข้าง “ถูกซ่อนเอาไว้”

“ซ่อนเอาไว้หรือ?” หยวนกังฉงน

“เมื่อดูจากภูเขาที่อยู่รอบข้างแล้ว มีคนปรับแต่งตำแหน่งขุนเขาธารา จัดไว้ในรูปแบบค่ายกลเก้าวังแปดทิศ” หนิวโหย่วเต้าชี้ไปยังผิวทะเลสาบอีกครั้ง “ตามหลักสามประสาน นภาต่างจานฟ้า ภาพสะท้อนในทะเลสาบคือประตู หยินหยางทะลุผ่าน ทะเลสาบคือจานคน ปฐพีต่างจานดิน หยินหยางผกผันเวียนวนน่าอัศจรรย์ สองวิถีหวนคืนเก้าวัง มีคนพลิกหยินสลับหยาง กลับหัวหางฟ้าดิน นภากลายเป็นธรณี ธรณีกลายเป็นนภา ทะเลสาบยังเป็นจานคนเช่นเดิม ด้วยเหตุนี้ดาวเจ็ดธาตุจึงอยู่บนพื้น มองเห็นได้ผ่านประตู หนึ่งในเจ็ดธาตุถูกซ่อนไว้ ที่ซ่อนไว้คือดวงตะวัน จานฟ้าอยู่บนพื้น มีคนจัดวางผังตามหลักฉีเหมินตุ้นเจี่ยเอาไว้”

ก่วนฟางอี๋และหยวนฟางไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขาคุยอะไรกัน ประเด็นสำคัญคือด้านคำศัพท์ ล้วนแต่เป็นคำศัพท์ที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

หยวนกังพอจะฟังเข้าใจบางส่วน เอ่ยอย่างประหลาดใจ “ฉีเหมินตุ้นเจี่ย?”

แววตาหนิวโหย่วเต้าทอประกายวาววาม ทอดสายตามองออกไปพลางพยักหน้ารับ “ตุ้นเจี่ยคือตำแหน่งสูงสุดในสิบราศีบน ซ่อนเร้นไม่เผย ดวงตะวันในเจ็ดธาตุก็น่าจะถูกซ่อนเร้นไว้ในนั้นเช่นกัน เมื่อพบดวงตะวันก็จะพบดวงตาของค่ายกล แล้วก็จะสามารถเปิดประตูเกิดออกจากค่ายกลนี้ได้ ตามหลักแล้วมันน่าจะคล้ายคลึงกับดวงตะวันที่อยู่ด้านนอก เมื่อมีบางสิ่งเข้าบดบังดวงตะวันก่อให้เกิดสุริยุปราคา แดนความฝันจะเปิดประตูเกิด ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่ผนึกแดนความฝันไว้เมื่อในอดีตนั้นมองข้ามการมีอยู่ของสุริยุปราคาหรือว่าตั้งใจกันแน่”

ในที่สุดก็ฟังเข้าใจแล้วเขากำลังพูดอะไร ก่วนฟางอี๋เอ่ยด้วยความสนใจ “ข้าฟังไม่รู้เรื่อง แต่เท่าที่ฟังเจ้าพูดๆ มาดูสมเหตุสมผลมีหลักการ น่าจะไม่ใช่แค่พูดจาดูดีไปอย่างนั้น รีบค้นหาเถอะ รีบหาดวงตะวันให้พบ!”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มนิดๆ ชี้ไปที่ทะเลสาบ “ทะเลสาบคือจานคน ประตูที่ต้องผ่านเข้าไปอยู่ในทะเลสาบ”

ก่วนฟางอี๋แปลกใจ “ต้องดำลงไปที่ก้นทะเลสาบหรือ?”ไอรีนโนเวล

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า จากนั้นเอ่ยกับหยวนกังว่า “เจ็ดธาตุชี้ตำแหน่ง!”

หยวนกังพยักหน้าเล็กน้อย คล้ายจะเข้าใจแล้ว

แต่ในเวลานี้เอง ริมทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกลมีเสียงดังขึ้นมา จากนั้นก็มีอีกเสียงหนึ่งแว่วเข้ามา ร่างใครคนหนึ่งพุ่งแหวกออกมาจากพื้นดิน ร่างส่ายโงนเงน ทั้งตัวเต็มไปด้วยดินโคลน ผมเผ้าสยายรุ่ยร่าย อาภรณ์ขาดวิ่น สภาพดูกระเซอะกระเซิงเป็นอย่างยิ่ง มีคราบเลือดตรงมุมปากด้วย

ผู้ที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นมิใช่ใครอื่น เป็นอวิ๋นจีนั่นเอง แพรโปร่งคลุมหน้าหายไปแล้ว เผยให้เห็นใบหน้าเปรอะเปื้อนมอมแมม

อวิ๋นจีที่หอบหายใจเหลียวมองไปรอบๆ พอมองเห็นหลุมศพเรียบง่ายที่ตนสร้างไว้ก็มีท่าทางโล่งใจเป็นอย่างมาก

แต่จากนั้นก็คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ พวกหนิวโหย่วเต้าล่ะ? อวิ๋นจีมองกวาดมองไปรอบข้างอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็มองเห็นทั้งสี่คนยืนบนยอดเขาภายใต้แสงดารา นางทะยานกายขึ้นทันที เหินร่อนลงบนยอดเขาเดียวกับทั้งสี่คน พอพบหน้าก็เอ่ยว่า “ผ่านใต้ดินออกไปไม่ได้!”

ทั้งสี่อดไม่ได้ที่จะมองพินิจนางหัวจรดเท้า พบว่ากระทั่งรองเท้าของคนผู้นี้ก็หายไปแล้ว ยืนด้วยเท้าเปลือยเปล่า แม้แต่ต้นขาขาวผ่องที่เปรอะคราบโคลนก็เผยออกมาเช่นกัน แผ่นหลังและหน้าอกก็โผล่ออกมาไม่น้อย โดยเฉพาะเนินอกอวบอิ่มที่เผยออกมาเสี้ยวหนึ่งดึงดูดสายตาเป็นอย่างยิ่ง

พอสังเกตเห็นสายตาของทุกคน อวิ๋นจีจึงก้มหน้ามอง ก่อนจะยกสองมือขึ้นมากอดอกทันที เอ่ยด้วยความโมโห “มองอะไร?”

บุรุษทั้งสามกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที พากันเบือนหน้าหันมองไปทางอื่น

ก่วนฟางอี๋เป็นสตรีเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยง แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความแปลกใจ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นไปตามที่หนิวโหย่วเต้าคาดการณ์ไว้ หนีออกไปไม่ได้จริงๆ

“ไม่ได้พกเสื้อผ้าติดมาด้วย พอจะมีผู้ใดให้ยืมเสื้อคลุมได้หรือไม่?” อวิ๋นจีเองก็ขอความช่วยเหลืออย่างเก้อกระดากเช่นกัน

หนิวโหย่วเต้ากระแอมเล็กน้อย “เจ้าลิง ไปยืมของเฉาเซิ่งไหวมาให้ใช้ก่อนเถอะ”

หยวนกังเดินลงจากเขาไปหาเฉาเซิ่งไหวที่มีอสูรโลหิตคอยเฝ้าอยู่ เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกกับรองเท้าแล้วถือกลับมาโยนให้อวิ๋นจี

อวิ๋นจีหันหลังสวมอาภรณ์ แต่สุดท้ายก็พบว่าอาภรณ์ของเฉาเซิ่งไหวก็ขาดเช่นกัน แต่สภาพดีกว่าของนางมาก แค่บดบังส่วนเปลือยเปล่าที่เผยต่อสายตาคนได้ก็พอ เมื่อไม่มีทางเลือก จึงได้แต่ต้องใช้ไปก่อน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า