ตอนที่ 472 พระราชวังซางซ่ง
หยวนฟางเอ่ยว่า “ในเมื่อเต้าเหยี่ยเข้าใจศาสตร์นี้ เหตุใดถึงไม่วางค่ายกลป้องกันเช่นนี้ในกระท่อมฟางของพวกเราเล่าขอรับ? เช่นนี้ต่อไปพวกเราก็ปลอดภัยไร้กังวลแล้วมิใช่หรือขอรับ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าจัดวางค่ายกลไม่เป็น เป็นมือสมัครเล่นอย่างสิ้นเชิง”
หยวนฟางแปลกใจ “เป็นไปได้อย่างไร? เต้าเหยี่ยล้อเล่นเสียแล้ว”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “มองออกกับทำเป็นนับเป็นคนละเรื่องกัน ก็เหมือนบ้านหลังหนึ่ง เจ้ารู้ว่าประตูอยู่ตรงไหนเดินเข้าไปเห็นโครงสร้างก็รู้แล้วว่าควรทำอย่างไร รู้ว่าจะต้องผ่านห้องโถงตรงไหน บันไดขึ้นลงอยู่ที่ใด แต่ไม่ได้แปลว่าผู้ใดก็จะสร้างบ้านให้ดีเหมือนช่างก่อสร้างได้ การมองให้ออกเป็นเรื่องง่าย แต่การลงมือทำหาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่ โดยเฉพาะกับคนที่จัดวางค่ายกลนี้ สามารถเคลื่อนภูเขาวางน้ำได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้ ซ้ำยังหยิบยืมพลังของดวงดาวมาใช้ประโยชน์ได้ ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลอย่างแท้จริง ข้าเทียบเขาไม่ติดเลย ไม่กล้าอวดดี!”
“ยังนับว่าเจ้ารู้จักตัวเองดี” ก่วนฟางอี๋เอ่ยเยาะหยันประโยคหนึ่ง แต่ในใจกลับลอบอุทานชื่นชม
เดิมทีนางคิดว่าหนิวโหย่วเต้าเพียงเชี่ยวชาญการใช้เล่ห์กล ไม่คิดเลยว่าจะมีความสามารถแท้จริงอยู่บ้าง หลักเหตุผลเข้าใจได้ง่ายยิ่ง หากว่าค่ายกลในที่แห่งนี้สามารถมองออกได้ง่ายๆ จริงล่ะก็ มันก็คงอยู่มาไม่ได้จนพวกหนิวโหย่วเต้าเข้ามาเยือนหรอก นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถอธิบายได้ด้วยคำว่า ‘ดวงดี’ สองพยางค์เท่านั้น หากมีโอกาสเข้ามาหาแล้ว แต่ไม่มีความสามารถพอจะควบคุมได้ จะยังมีดวงจากไหนอีก?
อวิ๋นจีที่ตามมาด้วยก็ได้เห็นทุกอย่างเช่นกัน นางแอบรู้สึกแปลกใจ เอ่ยถามออกไปว่า “นี่พวกเรากำลังจะออกไปหรือว่ากำลังจะไปที่ไหนกัน?”
หยวนฟางหันไป หัวเราะเหอะๆ แล้วเอ่ยว่า “ตามหาดวงตะวัน”
“ดวงตะวัน?” อวิ๋นจีตะลึงงัน นึกว่าตนฟังผิดไป
ก่วนฟางอี๋อธิบายเสียงเรียบเฉย “หมายถึงศูนย์กลางของค่ายกาล ต้องหาศูนย์กลางของค่ายกลให้พบถึงจะเปิดประตูเกิดแล้วออกไปได้”
“โอ้!” อวิ๋นจีพยักหน้า เข้าใจแล้ว
ในพริบตาที่ทั้งคณะพ้นออกมาจากหุบเขา ภาพตรงเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง พระราชวังใหญ่โตหลังหนึ่งปรากฏขึ้นมา จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นกะทันหันตรงเบื้องหน้าทุกคน ส่วนหุบเขาด้านหลังก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อมองย้อนกลับไปก็เห็นเพียงป่าผืนหนึ่ง
ตัวตำหนักส่วนใหญ่จมอยู่ในวันเวลาอันยาวนาน ตะไคร่น้ำเรืองแสงปกคลุม เถาวัลย์เรืองแสงเลื้อยพัวพัน เผยให้เห็นกำแพงครึ่งหนึ่ง ชายคางอนเชิดขึ้น โครงสร้างของตำหนักเรียบง่าย ดูสง่างามโอ่อ่า
รอบข้างเงียบสงัด มีเพียงผีเสื้อเรืองแสงที่กระพือปีกบินขึ้นๆ ลงๆ ให้เห็นเป็นระยะ แม้แต่อสูรผีเสื้อก็ไม่ปรากฏให้เห็นสักตัว
ทุกคนเบิกตามองด้วยความตกตะลึงอยู่พักใหญ่ อวิ๋นจีพลันอุทานขึ้นมา “หรือนี่จะเป็นพระราชวังของซางซ่งปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู่ที่เล่าขานกันมา?”
ก่วนฟางอี๋ร้องจุ๊ๆ เอ่ยไปว่า “คงไม่มีแห่งที่สองนอกเหนือจากนี้แล้ว”
หยวนฟางเหลียวซ้ายแลขวา “ดวงตะวันอยู่ไหนกัน?”
หยวนกังมองไปที่หนิวโหย่วเต้า ถามออกไป “เกรงว่าพระราชวังนี้คงเป็นดวงตะวันที่ว่านั้นกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย ตุนเจี่ยซ่อนเร้นลวงพราง เป็นจุดสูงสุดในสิบราศีบน ดวงตะวันที่ซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางเจ็ดธาตุก็คือพระราชวังแห่งนี้
แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็พอจะเข้าใจได้ หากว่านี่เป็นค่ายกลที่ซางซ่งหรือหลีเกอจัดวางไว้จริงๆ การที่พวกเขาจะตั้งวังของตนไว้ในตำแหน่งสูงสุดก็ถือเป็นเรื่องปกติอย่างมากเช่นกัน
พูดอีกอย่างก็คือพระราชวังแห่งนี้ก็คือศูนย์กลางของค่ายกล
“จะเอาอย่างไร?” ก่วนฟางอี๋หันกลับไปถามหนิวโหย่วเต้าว่าจะจัดการอย่างไรต่อ
หนิวโหย่วเต้ามิได้พูดมาก หลังจากตรวจสอบรายละเอียดรอบข้างไปรอบหนึ่งก็ทะยานกายออกไป เหินกายขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งร่อนลงด้านนอกประตูพระราชวังสูงที่ตระหง่าน
คนอื่นๆ ก็ตามมาถึงแล้ว เดินตามเขาผ่านประตูพระราชวังเข้าไปพร้อมเหลียวซ้ายแลขวา ภายในวังเงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้าของพวกเขา
ความรุ่งโรจน์ของพระราชวังถูกร่องรอยของกาลเวลาเข้าปกคลุม แฝงความเงียบเหงาเดียวดาย แต่ยังคงทำให้คนรับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ในครั้งอดีต
“ไม่ใช่ว่ามีคนมากมายอยากจะหาพระราชวังแห่งนี้ให้พบหรือ? ในเมื่อมาแล้ว ไยทุกคนไม่เตรียมตัวเข้าไปเปิดหูเปิดตาเสียหน่อยเล่า?”
พอเห็นว่าทุกคนมีท่าทีระแวดระวังเดินตามหลังตนมาติดๆ เหมือนเงาตามตัว หนิวโหย่วเต้ายิ้มแล้วเอ่ยหยอกเย้าไป
ก่วนฟางอี๋ตวาดใส่ “ชีวิตสำคัญกว่าหรือว่าการชมทิวทัศน์สำคัญกว่า? เลิกก่อเรื่องได้แล้ว เหลือเวลาอีกไม่มาก ต้องรีบออกจากสถานที่บ้าๆ แห่งนี้ให้ได้ก่อนที่แดนความฝันจะปิดตัว รีบตามหาศูนย์กลางของค่ายกลได้แล้ว”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ ทอดสายตามองพระราชวังอันใหญ่โตตรงเบื้องหน้า พาทุกคนเดินเข้าไปด้านหน้าตำหนักหลักของพระราชวัง
ไม่มีบันไดให้เดินขึ้นไป หนิวโหย่วเต้าเหินร่างขึ้นไป ร่อนลงบนหลังคาซึ่งนับเป็นจุดสูงสุดของทั่วทั้งวัง
เขามองสำรวจรอบข้างพลางนับนิ้วคำนวณอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดสายตาก็ทอดมองไปยังตำแหน่งใจกลางของพระราชวัง ตำแหน่งนั้นมีตำหนักที่ทอดตัววนเป็นวง เขาชี้ออกไป “หากคำนวณไม่พลาดล่ะก็ จุดนั้นก็คือศูนย์กลางของค่ายกล”
ตัวเขาทะยานนำออกไปก่อน ทุกคนติดตามไป
ทั้งกลุ่มทยอยร่อนลงนอกตำหนักทรงกระบอก แต่กลับสังเกตเห็นว่าตำหนักแห่งนี้ไม่ได้มีประตูเพียงบานเดียว คล้ายจะมีความไม่ชอบมาพากลอยู่ ไม่มีใครกล้าเดินผ่านเข้าไป
อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าตำหนักแห่งนี้แตกต่างกับสิ่งปลูกสร้างหลังอื่นที่ก่อขึ้นจากก้อนศิลา แต่ดูเหมือนจะสร้างขึ้นจากโลหะทั้งหลัง
หนิวโหย่วเต้าพาทุกคนเดินดูรอบๆ พบว่ามีทางเข้าออกแปดทาง บันไดที่ทอดตัวสู่ประตูทั้งแปดบานก็ดูพิถีพิถันนัก ประตูทุกบานล้วนปิดสนิท ดูเหมือนจะไม่มีหน้าต่างเลย
“ผังแปดทิศ!” หยวนกังมองหนิวโหย่วเต้าแล้วกล่าวออกมา
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทะยานขึ้นไปอีกครั้ง เหยียบลงบนยอดหลังคาของตำหนักที่ดูเหมือนร่ม ค่อยๆ เหลียวมองรอบข้างพลางนับนิ้วคำนวณหาทิศทาง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ทะยานลงไปอีกด้านหนึ่ง
ทุกคนรีบตามไปในทิศทางนั้นทันที เรียกได้ว่าตามหนิวโหย่วเต้าไปติดๆ ล้วนไม่กล้าวิ่งสะเปะสะปะ ทุกคนยังจดจำฉากที่จู่ๆ คนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็อันตรธารหายวับไปได้ดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า