ตอนที่ 473 อสูรศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดปกติเช่นนี้ขึ้น หนิวโหย่วเต้าทะยานออกไปคนแรก คนที่เหลือก็เหินทะยานตาไป ด้วยอยากดูว่าเกิดอะไรขึ้น
หนิวโหย่วเต้าร่อนลงข้างกายหยวนฟาง เหลือบมองเข้าไปในตำหนักเล็กน้อย จากนั้นก็นิ่งงันไป
หยวนกังที่วิ่งมาถึงเป็นคนสุดท้ายเข้ามารวมตัวกับพวกก่วนฟางอี๋ ทันทีที่มองเข้าไปก็เป็นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ตัวแข็งทื่ออยู่ตรงหน้าประตูกันหมด
เฉาเซิ่งไหวนอนฟุบอยู่ด้านข้างตำหนัก ยังคงสลบอยู่ ต่อให้รอบข้างเกิดเรื่องใหญ่ครึกโครมมากเพียงใดก็ยังแน่นิ่งอยู่
เพราะถูกลงผนึกไว้ หากไม่มีผู้ใดคลายผนึกให้ก็ไม่ตื่น
ปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ที่เฉาเซิ่งไหวที่ถูกทิ้งไว้ในตำหนัก หากแต่เป็นศาลาแปดเหลี่ยมที่อยู่ท่ามกลางเสาทองแดงทั้งแปดต้น ศาลาแปดเปลี่ยนที่เบ่งบานราวดอกบัวเปิดกางอยู่บนพื้นอย่างสมบูรณ์ สิ่งที่อยู่ภายในศาลาแปดเหลี่ยมจึงเผยต่อสายตาทุกคน
เป็นเก้าอี้ตัวหนึ่ง เป็นตัวอี้หยกขาวตัวหนึ่ง เปล่งประกายระยิบระยับอยู่ภายใต้แสงดาวที่ส่องลอดเข้ามาในตำหนัก ลวดลายที่แกะสลักดูประณีตงดงาม เหมือนดั่งบัลลังก์หยก
เดิมทีบนเก้าอี้น่าจะมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ และบางทีคนที่นั่งบนเก้าอี้ก็น่าจะถูกผลึกให้หลับใหลอยู่ภายในศาลาแปดเหลี่ยม
มีคนผู้หนึ่งอยู่จริงๆ เป็นคนผู้หนึ่งที่ร่างกายเปลือยเปล่า หันหน้าเข้าหาบัลลังก์หยก มือเกาะอยู่ที่พนักบัลลังก์หยก หันหลังให้กลุ่มคนนอกประตู
คนผู้นั้นร่างกายผอมบาง เปลือยเปล่าล้อนจ้อน เอวคอดเพรียวบาง สะโพกกลมกลึงดึงดูดคน สองขาเรียวยาว ผิวขาวกระจ่าง แผ่นหลังงามทรงเสน่ห์ ดูเหมือนจะเป็นสาวงามคนหนึ่งไอรีนโนเวล
เพียงแต่บนแผ่นหลังคล้ายมีเกราะกระดูกสีเงินแข็งๆ ปูดนูนขึ้นมาคล้ายตัวอักษรเฟย[1] ส่วนกระดูกตรงบริเวณสะบักไหล่ทั้งสองข้างมีรอยแยกสองเส้น มีแสงสีเงินแผ่ออกมาจากรอยแยกทั้งสองเส้น สาดประกายระยิบระยับ
เส้นผมสีเงินที่ยุ่งเหยิงทั่วศีรษะดูราวกับสารปรอท นิ้วมือที่เกาะอยู่บนบัลลังก์มีกรงเล็บสีเงินทั้งห้านิ้ว กระดูกแข็งบนต้นแขนและปลายแขนที่เรียวเล็กดูคล้ายกล้ามเนื้อที่มีลายเส้นเห็นเด่นชัด สองขาเรียวงามเองก็เป็นเช่นนี้ด้วย เต็มไปด้วยความงดงามที่ดูน่ากลัว
ร่างเปลือยเปล่าที่เกาะบัลลังก์อยู่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ยังไม่ทันมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนก็เชิดหน้าขึ้นพลางเปล่งเสียงดัง “ฮื้อ…” ที่ฟังดูหม่นหมองแว่วดังไปไกล ไม่รู้ว่าถ่ายทอดข้อความอันใดออกไป แต่สะเทือนจิตใจคน
ขณะที่เสียงหม่นหมองแว่วดังขึ้น เส้นผมสีเงินทั่วศีรษะพลันส่ายไหวแม้จะไร้ลม ปลิวไสวอย่างไม่เป็นระเบียบ ดูสับสนวุ่นวาย
แสงสีเงินที่ส่องลอดจากรอยแยกสองเส้นที่อยู่บนสะบักก็เจิดจ้าขึ้นเช่นกัน คล้ายว่ากำลังจะมีบางสิ่งเริ่มงอกออกมาช้าๆ
ในไม่ช้าทุกคนที่อยู่นอกประตูก็ได้เห็นชัดๆ ว่าเป็นสิ่งใดที่งอกออกมา มันเป็นปีกคู่หนึ่ง ปีกผีเสื้อคู่หนึ่งกำลังงอกออกมาอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ แผ่กางออกมา ปีกแผ่แสงสีเงินเย้ายวนคน
“อสูรศักดิ์สิทธิ์…” ก่วนฟางอี๋พึมพำเสียงสั่น เอ่ยการคาดเดาที่อยู่ในใจของทุกคนออกมา
ตั้งแต่ชั่วขณะที่มองเห็นชัดๆ ว่าเป็นสิ่งใด ทุกคนล้วนตระหนักได้แล้วว่ามนุษย์ประหลาดผมเงินคนนั้นน่าจะเป็นราชันแห่งแดนความฝันผีเสื้อในตำนานที่เล่าขานกันมา น่าจะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน โดยเฉพาะในตอนที่ปีกผีเสื้อคู่นั้นงอกออกมาก็ยิ่งทำให้พวกเขามั่นใจขึ้นไปอีก
ไม่มีใครคิดถึง รวมไปถึงหนิวโหย่วเต้าด้วย พวกเขาล้วนคิดไม่ถึงเลยว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ในตำนานจะถูกผนึกเอาไว้ในศูนย์กลางของค่ายกล
ก่อนหน้านี้เตรียมการเฝ้าระวังมาตลอด แต่วิ่งไปวิ่งมาก็ยังไม่เห็น เลยทำให้พวกเขาคิดกันไปว่าต่อให้ตำนานเป็นความจริง อสูรศักดิ์สิทธิ์อันใดที่เล่าขานกันก็น่าจะตายไปแล้ว ต่อให้อยู่ในฝันก็ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นยังซ่อนตัวอยู่ในศูนย์กลางของค่ายกลด้วย
ก่อนหน้านี้คิดเพียงแต่จะตามหาศูนย์กลางของค่ายกลเพื่อเปิดเส้นทาง ตอนนี้ตามหาศูนย์กลางของค่ายกลพบและเปิดทางได้แล้ว แต่ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นการเปิดทางให้ผู้ใดกันแน่
เปิดทางให้พวกเขา หรือว่าคลายผนึกเปิดทางให้อสูรศักดิ์สิทธิ์กันแน่?
สำหรับหนิวโหย่วเต้าแล้ว เขารู้สึกว่าค่ายกลนี้ค่อนข้างอ่อนโยน ไม่ใช่ค่ายกลสำหรับสังหารอันใด มิใช่ค่ายกลที่มุ่งหมายจะเข่นฆ่าจนถึงที่สุด ขอเพียงไม่ดันทุรังทำอะไร อย่างมากก็แค่ถูกขังไว้ ไม่มีวี่แววว่าจะสังหารอย่างไร้ความปรานีอันใด
ตอนนี้เพิ่งจะตระหนักได้ว่าตนถูกหลอกเสียแล้ว ในศูนย์กลางของค่ายกลสำหรับเปิดทางกลับแอบซ่อนสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังทัดเทียมกับระดับจิตทารกเอาไว้ตัวหนึ่ง ส่วนตนกลับเป็นคนปลดปล่อยสัตว์ประหลาดเช่นนี้ออกมาเอง สรุปแล้วต้องการเปิดทางให้คนรอดชีวิตไปได้…หรือว่าจะบีบคนที่เปิดค่ายกลไปสู่ความตายกันเล่า?
หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองเฉาเซิ่งไหวที่สลบอยู่เล็กน้อย ไม่มีเวลาไปสนใจคนผู้นั้นแล้ว เขากระซิบพลามส่งสัญญาณมือ “หนี!”
ไม่มีข้อมูลใดเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดที่อยู่เบื้องหน้าเลย ไม่สามารถวิเคราะห์อันใดออกมาได้ ก่อนที่จะทราบแน่ชัดว่าสัตว์ประหลาดตนนี้เป็นมิตรหรือไม่ หนิวโหย่วเต้าไม่กล้าเสี่ยงเดิมพันส่งเดช หาวิธีถอยหนีไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน หลังจากทราบสถานการณ์แน่ชัดแล้วค่อยวางแผนก็ยังไม่สาย艾琳小說
ทุกคนค่อยๆ ถอยหนีออกมา พยายามไม่ส่งเสียงดัง
พอถอยห่างมาไกลเล็กน้อย หนิวโหย่วเต้าก็ส่งสัญญาณให้ก่วนฟางอี๋ช่วยดูแลหยวนกัง ทั้งกลุ่มทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว เตรียมจะออกจากพระราชวังนี้แห่งนี้ให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ฟุ่บ! แสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งผ่านเหนือศีรษะทุกคนไป รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ผ่านไปในชั่วพริบตา ทุกคนตกใจจนร่อนลงสู่พื้นแล้วไม่กล้าเดินหน้าต่อ
สตรีผมเงินมีปีกคนหนึ่งกระพือปีกที่ส่องแสงสีเงินงามระยับเย้ายวน ร่อนลงบนพื้นแผ่วเบา ร่อนลงที่ริมสระน้ำแห่งหนึ่ง
น้ำในสระเป็นสายน้ำที่ไหลลงมาจากขุนเขา ไหลหลากตลอดปี
เมื่อร่อนลงริมสระน้ำ หญิงสาวผมเงินยืดคอมองไปยังผิวน้ำ เส้นผมสีเงินปลิวไสวยุ่งเหยิง นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะใบหน้าของตนเบาๆ ท่าทางดูสงสารเงาที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ
ในเวลานี้เอง ทุกคนถึงได้เห็นใบหน้าของนางชัดๆ จุดสงวนบนร่างคล้ายจะได้รับการปกป้องโดยเกราะกระดูกสีเงินที่มีมาแต่กำเนิด
ดวงหน้าของนางมองครั้งแรกดูค่อนข้างเย้ายวน ใบหน้าเรียวแหลม หน้าผากและสันจมูกล้วนมีเกราะกระดูกสีเงินหุ้มไว้ เขี้ยวยาวสองซี่ยื่นโผล่ออกมาด้านล่างปาก มีลวดลายสีเงินตามใบหน้า ภายใต้แสงสะท้อนจากปีก ลวดลายสีเงินนั้นดูราวกับปรอทที่ไหลวนเวียน ยิ่งขับเน้นให้ความรู้สึกแปลกพิสดาร แล้วก็มีความรู้สึกชั่วร้าย
ทำให้ทุกคนรู้สึกว่านี่สิถึงจะเป็นรูปลักษณ์ของมารร้าย
ติ๋ง! มีเสียงหยดน้ำแว่วดังชัดเจน
ดูเหมือนอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนี้จะร้องไห้อยู่ อย่างน้อยก็มองเห็นน้ำตาที่ไหลออกมาชัดเจน น้ำตาหยดหนึ่งตกกระทบน้ำในสระ ทำให้เกิดระลอกน้ำเพื่อมไหวเป็นวง
พวกหนิวโหย่วเต้ามองกันไปมองกันมา ล้วนไม่เข้าใจว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนี้ร้องไห้ด้วยเหตุใด หรือเป็นเพราะถูกขังมาหลายร้อยปี ในที่สุดก็หลุดพ้น จึงดีใจจนร่ำไห้?
อสูรศักดิ์สิทธิ์มองเงาตนในสระน้ำ ก่อนจะหงายฝ่ามือขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ใช้มือที่มีกรงเล็บงอกยาวรองรับน้ำตาอีกหยดที่ไหลย้อยลงมาจากแก้มอีกด้าน หยดน้ำตากลางฝ่ามือใสดังผลึกแก้ว ภายใต้แสงสีเงินจากสองปีกที่ส่องกระทบลงมา น้ำตาหยดนั้นเปล่งประกายแวววาว
“ผู้ใดบอกข้าได้บ้างว่าเหตุข้าจึงร้องไห้?”
“ผู้ใดบอกข้าได้บ้างว่าเหตุใดข้าถึงเศร้าหมอง?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า