ตอนที่ 474 สมาชิกไร้สมอง
แผ่นหินที่ระเบิดขึ้นมา ดินโคลนที่กระจ่ายปลิวว่อน เกิดเสียงหล่นกระทบดังไปทั่ว
จากนั้นหน้าดินพลันปูดนูนปริแยกเชื่อมโยงกันไป มีเสียงทึบๆ ดังสนั่นมาจากใต้ดินอย่างต่อเนื่อง เรือนหลังหนึ่งที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงพังถล่มลงมาเพราะหน้าดินที่เดี๋ยวยุบเดี๋ยวนูน ถล่มลงดังครืน
“หนี!” หนิวโหย่วเต้ารีบร้องบอก
หากไม่มีหนีตอนนี้แล้วจะรอไปถึงเมื่อไร ทั้งสี่คนทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่เพิ่งจะทะยานข้ามกำแพงวังไปก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเดิม มีอสูรผีเสื้อมากมายอยู่เบื้องหน้า
อสูรผีเสื้อจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนเข้ามาปิดล้อมพระราชวังแห่งนี้เป็นวงกว้าง อสูรโลหิตที่กระพือปีกที่เปล่งแสงสีแดงฉานก็มีอยู่ไม่รู้เท่าไร ไกลออกไปยังคงมีอสูรผีเสื้อบินเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
แต่พวกมันก็ไม่ได้เข้าใกล้พระราชวัง อสูรผีเสื้อจำนวนมหาศาลหยุดอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากพระราชวังออกไปร้อยจั้ง บ้างก็ร่อนลงสู่พื้น บ้างก็ลอยอยู่กลางอากาศ คล้ายกำลังรอเรียกระดมพล
อสูรผีเสื้อที่มากมายมหาศาลขนาดนี้ อสูรโลหิตจำนวนมากขนาดนี้ ทำให้พวกหนิวโหย่วเต้าขนหัวลุกขึ้นมา
เริ่มแรกหนิวโหย่วเต้ายังคิดจะใช้วิธีแยกย้ายกันหลบหนี หนีได้กี่คนก็เท่านั้น อสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางตามไล่ล่าหลายทิศทางพร้อมกันได้ เพิ่มโอกาสในการหนีรอดให้มากขึ้น แต่สุดท้ายความคิดนี้ก็ถูกทำลายลงอีกครั้ง เนื่องจากคราบเลือดที่หยวนกังพ่นใส่ร่างพวกเขาดูเหมือนจะไม่ส่งผลต่ออสูรโลหิตมากนัก ตัวเขายังพอว่า แต่สำหรับหยวนฟางและก่วนฟางอี๋นับว่าอันตรายเกินไป สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจให้หยวนกังเป็นผู้นำกลุ่ม
ภาพที่ปรากฏตรงเบื้องหน้าคือการตกอยู่ในวงล้อมของกองทัพอสูรผีเสื้อ เขาจึงไม่มีความคิดที่จะแยกย้ายกันหนีอีกต่อไป ทำได้เพียงฝ่าวงล้อมออกไป
“เจ้าลิง ไหวหรือเปล่า?” หนิวโหย่วเต้าตะโกนถามหยวนกัง
“ต้องลองดู!” นี่คือคำตอบของหยวนกัง
เขาเองก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน กว่าจะสยบอสูรโลหิตตัวหนึ่งได้ก็ค่อนข้างเต็มกลืนแล้ว เผชิญหน้ากับอสูรโลหิตมากมายปานนี้ นอกจากลองดูแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก
หนิวโหย่วเต้ายิ้มเจื่อน ก็ทำได้แค่ลองดูเท่านั้น ไม่อย่างนั้นยังจะทำอะไรได้อีก การกระทำหุนหันพลันแล่นของอวิ๋นจีได้ยั่วยุโทสะของอสรูศักดิ์สิทธิ์เข้าแล้ว พวกมันจะยอมเชื่อพวกเขาอีกหรือ? อย่างน้อยทางนี้ก็ยังมีความหวังกับอิทธิพลของหยวนกังอยู่
ส่วนกลิ่นอายของหยวนกังจะส่งผลต่ออสูรศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่นั้น หนิวโหย่วเต้าไม่มีความหวังเลยแม้แต่นิดเดียว ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ กว่าจะสยบอสูรโลหิตตัวหนึ่งได้ก็ค่อนข้างเต็มกลืนแล้ว หากจะบอกว่าสามารถข่มขู่อสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ เกรงว่าแม้แต่ตัวหยวนกังเองก็คงไม่กล้าเชื่อเช่นกัน
“กี้ด!”
เสียงร้องโกรธเกรี้ยวดังสะท้อนอยู่ทั่วฟ้าดิน
ทั้งสี่คนหันไปมอง เห็นว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นโผล่ออกมาจากพื้นดินแล้ว กระพือปีกลอยตัวอยู่เหนือพระราชวัง แสงเงินส่องเรืองรอง
เสียงโครมครามจากการต่อสู้เงียบสงบลงแล้ว ทางนี้ก็ไม่ทราบว่าอวิ๋นจีหนีรอดภัยไปได้หรือว่าสิ้นใจตายแล้ว
เมื่อเสียงของอสูรศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้น อสูรผีเสื้อทั้งหมดที่ล้อมอยู่ด้านนอกต่างศิโรราบทันที ท่าทางดูยอมรับเชื่อฟัง
ดูจากภาพนี้แล้ว อสูรศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิพลต่ออสูรผีเสื้อเพียงใด ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิดดูก็รู้แล้ว หนิวโหย่วเต้าร้อนใจขึ้นมาทันที กังวลว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์จะระดมกองทัพอสูรผีเสื้อให้มาโจมตีพวกเขา
เรื่องราวค่อนข้างเหนือความคาดหมาย กองทัพอสูรผีเสื้อเมินเฉยต่อพวกหนิวโหย่วเต้าที่ทะยานเข้ามา ไม่ตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น สายตาของทุกตัวจ้องมองราชินีที่สองแสงเจิดจ้าอยู่เหนือพระราชวัง
“ไป!” หนิวโหย่วเต้าตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง เรียกให้พวกพ้องที่พะว้าพะวงอยู่เดินหน้าต่อไป พุ่งฝ่าออกจากวงล้อมของอสูรผีเสื้อต่อไป
ทั้งกลุ่มทะยานแหวกฝ่ากองทัพอสูรผีเสื้อออกไป เกิดความวุ่นวายเล็กน้อย แต่อสูรผีเสื้อเหล่านี้ก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเท่าไร ส่วนใหญ่ยังคงจ้องมองไปทางราชินีโดยไม่ขยับเขยื้อน
อสูรผีเสื้อมากมายถึงเพียงนี้กลับดูเรียบร้อยเชื่อฟังถึงขนาดนี้ พวกหนิวโหย่วเต้าเองก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก หากว่ากันในอีกแง่หนึ่งแล้ว นี่ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงสถานะของอสูรศักดิ์สิทธิ์ในแดนความฝันผีเสื้อ ทำให้รู้สึกว่าหากอสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่สั่งการ อสูรผีเสื้อตรงหน้าก็จะไม่กล้าขยับเขยื้อน
ขณะที่ทั้งสี่คนเพิ่งจะฝ่าออกมาจากวงล้อมของอสูรผีเสื้อ พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าอสูรผีเสื้อที่บินเข้ามาทางเบื้องหน้าดูผิดปกติไปเล็กน้อย ทิศทางดูผิดปกติ พวกเขาจึงหันกลับไปมอง พวกว่าอสูรผีเสื้อที่ล้อมเป็นวงอยู่ด้านหลังก็เปลี่ยนทิศทางแล้วเช่นกัน อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือพระราชวังหายไปแล้ว
ทั้งสี่คนใจหายวาบ เงยหน้ามองขึ้นไป เป็นอย่างที่คิดจริงๆ อสูรศักดิ์สิทธิ์กระพือปีกส่องแสงเจิดจ้าไล่ตามพวกเขามาแล้ว บินขนานอยู่ด้านบนพวกเขา
อีกฝ่ายเองก็ไม่คิดจะเล่นสนุกต่อไป ปีกไหวกระพือเร็วขึ้นกว่าเดิม ประกายแสงสีเงินสว่างวาบ บินไปลอยอยู่เบื้องหน้า ขวางทางพวกเขาเอาไว้
ทั้งกลุ่มหักเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางทันที แสงสีเงินวาบผ่านไป อสูรศักดิ์สิทธิ์พุ่งลงมาจากด้านบน ขวางหน้าพวกเขาเอาไว้ เปล่งเสียงกระจ่างชัดก้องกังวาน “พวกต่างเผ่าจอมโกหก คิดหนีหรือ?” ในวาจาแฝงความโกรธเกรี้ยวไว้ชัดเจน
ทั้งกลุ่มถูกบีบให้ต้องร่อนลงพื้น หนิวโหย่วเต้าจ้องมองอสูรศักดิ์สิทธิ์ จู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นมาว่า “หงเหนียง พาพวกเขาสองคนไปซะ ข้าจะไปล่อนาง!”
เหตุผลที่เรียกชื่อหงเหนียงเป็นเพราะระดับสภาวะของหงเหนียงเพียงพอจะพาหยวนกังที่เหินทะยานไม่เป็นจากไปได้ ยิ่งเมื่อมียันต์อาคมของหงเหนียงและกลิ่นกายของหยวนกัง ขอเพียงออกจากที่นี่ไปได้ย่อมมีความหวังที่จะหนีรอด
“เต้าเหยี่ย!”
“เต้าเหยี่ย!””
“เต้าเหยี่ย!””
ทั้งสามแทบจะตะโกนออกมาพร้อมกัน ในใจต่างตกตะลึง
หยวนกังยังพอว่า รู้ดีหนิวโหย่วเต้าเป็นคนอย่างไร เมื่อถึงเวลาที่สมควรเสียสละตัวเองก็จะทำโดยไม่ลังเลเลย นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขายอมภักดีติดตามหนิวโหย่วเต้าเสมอมา
แต่ในใจของก่วนฟางอี๋และหยวนฟางกลับตกตะลึงจนหน้าเปลี่ยนสีไป คิดไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต้าจะยอมสละตัวเองเพื่อปกป้องพวกเขา
ในเวลานี้ ภายในใจของทั้งสองฝาดเฝื่อนนัก ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า