ตอนที่ 485 พลังปีศาจ
จ้าวสยงเกอเองก็แค่พูดๆ ไปเท่านั้น สำหรับเขาแล้ว เขาตั้งใจมาที่นี่ไม่ใช่เพราะสนใจเรื่องอื่น จึงถามกลับไปว่า “มาด้วยธุระใดน่ะหรือ? เจ้ารู้อยู่แก่ใจไยต้องแสร้งถาม”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “หากท่านอยากทำก็ทำเอง อย่ามายัดเยียดให้ข้า”
จ้าวสยงเกอกล่าวว่า “เจ้ากับข้าล้วนมาจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ สุดท้ายก็ไม่อาจทอดทิ้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้ ไยต้องหลอกตัวเองด้วย”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “คนที่ทิ้งไม่ลงคือท่าน ข้าทิ้งไปนานแล้ว”
จู่ๆ จ้าวสยงเกอก็ลงมือ ชิงกระบี่ในมือเขาไป ชักกระบี่ออกจากฝักครึ่งเล่มเสียงดังชิ้ง เงยหน้ารับแสงจันทร์ คำว่า ‘หลั่งเลือดภักดี’ สี่คำบนกระบี่ปรากฏเด่นชัด กระบี่หวนคืนฝัก เขาโยนกลับไปให้หนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง “กระบี่ของตงกัวเฮ่าหราน หากทิ้งได้จริงไฉนกระบี่เล่มนี้ถึงยังอยู่ข้างกายเล่า”
หนิวโหย่วเต้าค้ำกระบี่ไว้บนพื้น “ในเมื่อท่านคิดเช่นนี้ ข้ายังจะทำอันใดได้อีก?”
จ้าวสยงเกอกล่าวว่า “ในเมื่อข้ามาแล้ว เจ้าก็ต้องมีคำอธิบายให้ข้า แล้วก็มีคำอธิบายให้แก่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ด้วย ไม่เช่นนี้ก็อย่าหวังจะผ่านข้าไปได้”
“ท่านขู่ข้าหรือ?”
“ข้าไม่ได้ขู่เจ้า เพียงจะเก็บกวาดแทนสำนัก!”
“ท่านถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ขับออกจากสำนักแล้ว จะมาเก็บกวาดแทนสำนักไหน?”
“ผดุงความยุติธรรม ไม่ได้หรือ?”
“ได้ หมัดท่านหนัก ย่อมบังคับให้ปฏิบัติตามได้ ทำได้แน่นอน! ข้าเพียงแปลกใจ ในเมื่อท่านห่วงใยถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่เข้ามาจัดการเอง? ด้วยความแข็งแกร่งของท่าน มันจะไม่ง่ายกว่าให้ข้าทำหรือ? ไยต้องมาบีบบังคับให้ข้าทำด้วย”
“เลิกโยกโย้ได้แล้ว ในใจเจ้าเองก็รู้ดี ฐานะของข้าอิหลักอิเหลื่อ มีความสัมพันธ์กับนิกายมาร ปีนั้นข้าก่อเหตุสังหารครั้งใหญ่ ล่วงเกินคนไว้มากมาย ทุกคนต่างคิดไปแล้วว่าข้าเป็นคนของนิกายมาร เพราะพะวงว่ามีนิกายมารอยู่เบื้องหลัง พวกเขาจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือกับข้า หากข้ากลับไปยังสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างเปิดเผย มันก็มีแต่จะชักนำความเดือดร้อนมาให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์”
“หรือว่าท่านไม่ใช่คนของนิกายมาร?”
“มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนิกายมาร แต่ไม่เคยเข้าร่วมนิกายมาร”
“ผู้อาวุโส ท่านมีห่วงกังวล ข้าก็มีห่วงกังวลเช่นกัน ข้าคิดว่าผู้อาวุโสก็น่าจะทราบสถานการณ์ในปัจจุบันของข้าดี ในอดีตสำนักสวรรค์พิสุทธิ์และหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วก่อเรื่องใหญ่เอาไว้ท่านเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ ข้าจำเป็นต้องตัดสัมพันธ์กับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ อีกทั้งข้าก็ไม่อาจเมินเฉยต่อความเป็นความตายของทางมณฑลหนานโจวได้ มิเช่นนั้นจะต้องสูญเสียไปกี่ชีวิตเล่าถึงจะเติมเต็มช่องว่างนี้พอ?”
“แรกเริ่มข้าก็ไม่ได้สนใจอะไรเจ้านัก แต่เรื่องราวในปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเจ้ามีความสามารถนั้น ข้าคิดว่าเจ้ามีวิธีสร้างสมดุลได้”
“ไม่มีผู้ใดสามารถฝืนสถานการณ์ได้ ข้าเพียงจัดการไปภายใต้กฎเกณฑ์ของสถานการณ์ หากอยู่ภายใต้แรงกดดันจากกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ ข้าจะเอาอันใดไปสร้างสมดุลได้เล่า?”
“สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ง่อนแง่นใกล้พังทลายลงเต็มที หากเจ้าทอดทิ้ง จิตใจของคนในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะแตกแยกอย่างสมบูรณ์ หากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่เหลือทางรอด ข้าก็จะไม่ให้เจ้ามีทางรอดเช่นกัน”
วาจานี้ของจ้าวสยงเกอประกาศชัดเจนว่าหากตัวเจ้าหนิวโหย่วเต้าไม่ยอมให้ความช่วยเหลือ ข้าก็ไม่มีทางละเว้นเจ้า
ถูฮั่นที่ดูแลอิ๋นเอ๋อร์อยู่เงยหน้าขึ้น สังเกตดูปฏิกิริยาของหนิวโหย่วเต้า
สีหน้าหนิวโหย่วเต้าเรียบเฉย สายตาจับจ้องไกลออกไปในความมืดมิด เอ่ยถามเนิบช้า “ผู้อาวุโสอยากปกป้องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรืออยากปกป้องคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์?”
จ้าวสยงเกอถาม “ต่างกันอย่างไร? หากไร้ซึ่งคนในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ จะยังมีสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่อีกหรือ?”
“แล้วท่านกับข้ามิใช่คนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือ?” หนิวโหย่วเต้าย้อนถามประโยคหนึ่ง
จ้าวสยงเกอหันมามองเขา ค่อนข้างแปลกใจ เจ้าหมอนี่ยอมรับแล้วหรือว่าตนคือคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีทจึงถามออกไปว่า “หมายความว่าอย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าอยู่ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่ ข้ารุ่งเรือง สำนักสวรรค์พิสุทธิ์รุ่งโรจน์”
เขายกกระบี่ขึ้นมา ชักออกมาจากฝักครึ่งเล่มเช่นกัน เผยคำว่า ‘หลั่งเลือดภักดี’ สี่พยางค์ที่ส่องสะท้อนแสงจันทร์ให้จ้าวสยงเกอดู “ใต้หล้ามีผู้ทรงอิทธิพลอยู่มากมาย ผู้คล้อยตามรุ่งเรือง ผู้ขัดขืนล่มมลาย พวกเราไม่มีกำลังพอจะขัดขืนกลุ่มอิทธิพลยิ่งใหญ่ทั่วหล้าได้ การโอบกอดเสี้ยวความหวังไว้ไม่มีประโยชน์อะไร จำเป็นต้องวางแผนหาทางออกอื่น ยืนหยัดจนตายมิสู้ปล่อยวางเสีย หากรู้ชัดเจนว่าเป็นหนทางตายแล้วยังมุ่งหน้าต่อไป ทุกคนมีแต่จะต้องตายไปด้วยกัน แม้อาจจะโหดร้าย แต่เมื่อถึงเวลาที่สมควรต้องปล่อยก็ควรปล่อยวางให้ได้ ต้องปล่อยก่อนถึงจะยกขึ้นมาใหม่ได้ ต้องยอมหักใจให้ก่อนถึงจะได้รับมา สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตกต่ำมาถึงจุดนี้ไม่อาจโทษผู้ใดได้ จำเป็นต้องสละอะไรบ้างเช่นกัน ข้าขอกล่าวกับผู้อาวุโสไว้สักประโยค ต้องทำลายเพื่อก่อขึ้นใหม่!”
ชิ้ง! กระบี่กลับเข้าฝัก เปรียบดั่งการตัดสินใจที่แน่วแน่ของเขา
จ้าวสยงเกอเงียบไป ฟังความหมายในวาจาของเขาออก ถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะล่มสลายไปก็ไม่สำคัญ ตราบใดที่เขารุ่งเรือง เขาก็สามารถสร้างสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ขึ้นมาใหม่ได้ทุกเมื่อ
ถูฮั่นก้มหน้า จิตใจและสีหน้าของเขาก็หนักอึ้งเช่นดียวกัน
จู่ๆ จ้าวสยงเกอก็หัวเราะออกมา “ฝีปากคมคายเหลือเกิน ข้ามาเพื่อโน้มน้าวเจ้า กลับกลายเป็นเจ้าโน้มน้าวข้าไปเสียแล้ว ตงกัวเฮ่าหรานได้ศิษย์ดีมาคนหนึ่งแล้ว ไม่แปลกเลยที่เจ้าสามารถฝ่าฟันอุปสรรค์อันตรายก้าวหน้าขึ้นมาได้ ดี ข้ายอมรับว่าเจ้าโน้มน้าวข้าได้สำเร็จ”
หนิวโหย่วเต้าได้ยินก็ลอบปรีดาอยู่ในใจ รีบเอ่ยไปว่า “มิใช่เพราะข้าโน้มน้าวผู้อาวุโส แต่เป็นเพราะผู้อาวุโสคิดเพื่อส่วนรวมต่างหาก”
“ใช้ไม้นี้ให้น้อยๆ หน่อย เจ้าเองก็อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไปเลย” จ้าวสยงเกอที่ยืนอยู่ข้างๆ หันมาจ้องเขาพลางเอ่ยว่า “ตัวข้าใช้อารมณ์ตัดสินเรื่องราวได้ง่ายๆ ไม่เยือกเย็นและมีสติเหมือนกับเจ้า พูดจาระคายหูเล็กน้อยก็ตัดไมตรีแล้ว หากมีความสามารถเช่นเดียวกับเจ้า ปีนั้นข้าคงไม่ถูกขับออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ อาจารย์เลี้ยงดูข้ามาแต่เล็กจนโต บุญคุณที่มีต่อข้ามากล้นดั่งขุนเขา ดังนั้นข้าจึงไม่อาจทนมองคนในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก้าวไปสู่ความตายได้…หากมอบหนทางรอดสักสายให้พวกเขาได้ ขอเพียงจัดการเรื่องนี้ได้ ข้าก็จะไม่บีบบังคับเจ้าอีก!”
หนิวโหย่วเต้าเงียบไปสักพักหนึ่ง จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าจะลองดู”
“ข้าจะถือว่าเจ้ารับปากแล้ว” จ้าวสยงเกอยืนกรานเอาเอง ไม่ยอมให้เขาอธิบาย จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อไปทันที “เจ้ามาเพื่อหาเรื่องเฉาจิ้งหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า