ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 484

ตอนที่ 484 ไอ้หนุ่มอย่างเจ้าหน้าไม่อายเกินไปแล้วกระมัง?

ถูฮั่นไม่ทราบว่าเฉินกงที่เขากล่าวถึงคือผู้ใด แล้วมีความหมายอย่างไรกันแน่ แต่ในเมื่อจ้าวสยงเกอไม่ให้เขาถามมาก เขาก็ไม่สะดวกจะถามต่อเช่นกัน ได้แต่รับคำสั่งแล้วจากไป

ถูฮั่นไม่อยากให้จ้าวสยงเกอต้องคอยนานเกินไป จึงเร่งเดินทางกลับไปยังเมืองวั่นเซี่ยง มุ่งหน้าตรงไปยังโรงเตี๊ยมชะตาสวรรค์

พอมาถึงชั้นสองของโรงเตี๊ยมก็ถูกหยวนกังขวางไว้ ทั้งสองฝ่ายเคยพบหน้ากันมาก่อน ต่างรู้จักหน้าค่าตากัน

หยวนกังเอ่ยถาม “มีธุระใด?”

ถูฮั่นตอบว่า “มาพบหนิวโหย่วเต้า”

หยวนกังเอ่ยว่า “มีธุระใดก็ค่อยให้เต้าเหยี่ยไปพูดคุยกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ให้ชัดเจนเถิด” ความหมายในวาจาคือเจ้ายังไม่มีสิทธิ์เป็นตัวแทนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาพูดคุยอันใด

ถูฮั่นกล่าวว่า “หากไม่มีข้า เขาคงตายอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปนานแล้ว ไหนเลยจะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตรุ่งโรจน์เช่นในยามนี้ เจ้าไปแจ้งเขาซะ บอกว่าถูฮั่นมาหา จะพบไม่พบก็ให้เขาตัดสินใจเอา”

หยวนกังค่อนข้างประหลาดใจ ไม่ทราบว่าศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์คนนี้มีความเกี่ยวข้องอื่นใดกับหนิวโหย่วเต้าอีกจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “รอสักครู่” จากนั้นหันหลังเดินออกไป

ไม่นานนักก็กลับมาอีกครั้ง กวักมือเล็กน้อย สื่อว่าให้ตามเขามา พาถูฮั่นเข้าไปที่ห้องพักของหนิวโหย่วเต้า

ภายในห้อง หนิวโหย่วเต้ากำลังปวดหัวนัก เขาจะนั่งสมาธิบนเตียงอิ๋นเอ๋อร์ก็ปีนขึ้นเตียงมาด้วย นั่งจับสายคาดเอวเขาอยู่ตรงนั้นไม่ยอมปล่อย

เขาไม่ทราบว่าสตรีนางนี้คิดจะก่อเรื่องไปถึงไหนกันแน่ ตามติดเป็นเงาตามตัวเช่นนี้ เขาไม่มีทางเจรจาเรื่องลับใดๆ ได้เลย คิดจะนอนร่วมเตียงเคียงหมอนด้วยอย่างนั้นหรือ?

ประตูเปิดออกแล้วปิดลง หยวนกังกับถูฮั่นเข้ามาแล้ว หยวนกังคอยเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตู

ถูฮั่นเดินมาที่ริมเตียง จ้องมองหนิวโหย่วเต้าด้วยดวงตาเย็นชาที่เหลือข้างเดียว ไม่มีทีท่าว่าจะแสดงความเคารพใดๆ เลย

หนิวโหย่วเต้าหย่อนสองเท้าลง อิ๋นเอ๋อร์ลุกตามมายืนอยู่ด้านข้างทันที

ถูฮั่นเอ่ยเสียงแหบพร่า สุ้มเสียงเจือแววถากถาง “ตอนนี้รุ่งโรจน์ขึ้นมา สตรีข้างกายมีไม่น้อยเลยสินะ ได้ยินว่าเปลี่ยนสตรีไปเรื่อยเลยมิใช่หรือ”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา “ข่าวลือไม่มีผลต่อผู้ทรงปัญญา ข้าไม่ได้มีวาสนามากมายปานนั้นหรอก”

ถูฮั่นเอ่ยว่า “ข้าก็มิใช่ผู้มีปัญญาอันใด”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ได้ยินว่าหากไม่มีท่าน ข้าคงตายในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปนานแล้ว เรื่องราวในปีนั้นมีความลับอันใดซ่อนอยู่ใช่หรือไม่?”

ถูฮั่นเงียบไปเล็กน้อย เรื่องราวบางอย่างไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีกแล้ว มีแต่จะสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นเท่านั้น “ข้าพูดไปเรื่อยเท่านั้น”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา ยังจะมีผู้ใดอีกเล่าที่ประสงค์ร้ายต่อตน คงไม่พ้นไปจากคนพวกนั้น ถังซู่ซู่คุกเข่ายอมรับผิดแล้ว ไม่จำเป็นต้องซักไซ้เอาความกันอีกต่อไปจริงๆ เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหล่าถู ไม่ได้พบกันหลายปี ท่านมาพบข้าเป็นการเฉพาะ คงไม่ได้มาเพื่อพูดจาเรื่อยเปื่อยกระมัง? ข้าขอบอกไว้ก่อน เรื่องใดก็ส่วนเรื่องนั้น สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็ส่วนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเรา หากท่านมาพูดขอร้องแทนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็ไม่จำเป็นแล้ว ข้ามีความคิดเป็นของตัวเอง ท่านมาพูดก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องนี้ไม่ถึงคราวให้ท่านต้องมาออกหน้า หากว่ามาในฐานะสหายเก่า ย่อมมีสุรามารับรอง”

ถูฮั่นกล่าวมา “มาด้วยธุระอื่น ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องถอยออกไปก่อน” ตาเดียวที่เหลืออยู่จ้องมองไปยังอิ๋นเอ๋อร์ จากนั้นหันไปมองหยวนกังที่อยู่ด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าสื่อถึงสองคนนี้

สำหรับหนิวโหย่วเต้าแล้ว หยวนกังไม่จำเป็นต้องหลบออกไปเลย เขาไม่มีความลับใดที่จะให้หยวนกังรู้ไม่ได้ ส่วนอิ๋นเอ๋อร์ หากทำให้นางยอมหลบออกไปได้ก็แปลกแล้ว

เขาส่ายหน้า “ไม่จำเป็น มีธุระก็พูดมาได้เลย”

ในเมื่อตัวเขาไว้วางใจ ถูฮั่นก็ไม่ได้ฝืนดึงดันอีก เอ่ยไปว่า “มีคนอยากพบเจ้า ไปกับข้า”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “คนอยากพบข้า แล้วยังต้องให้ข้าเป็นฝ่ายไปหาอีกหรือ ให้เขามาไม่ได้หรือไร?”

“ไม่ได้!” ถูฮั่นปฏิเสธทันควัน เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “จ้าวสยงเกอ!”

ในที่สุดก็มาแล้ว! ม่านตาหนิวโหย่วเต้าหดตัวเล็กน้อย “อยู่ที่ใด?”

พอได้ยินนามนี้ หยวนกังเองก็ใจสั่นขึ้นมาเช่นกัน ได้ยินชื่อเสียงของคนผู้นี้มานานนัก

ถูฮั่นเอ่ยว่า “ไปกับข้าเดี๋ยวก็รู้”

….

ผีเสื้อจันทราส่องแสง ภายในห้องชุดโรงเตี๊ยม ถังอี๋ ซูพั่ว หลัวหยวนกงและถังซู่ซู่ทั้งสี่นั่งอยู่พร้อมหน้า ต่างเงียบงันไม่พูดจา

วันนี้เกิดเรื่องขึ้นทั้งวัน ทำให้จิตใจคนทั้งสี่หนักอึ้ง

ยังคงเป็นถังซู่ซู่ที่ทำลายความเงียบขึ้นมา “เรื่องของข้าจบลงแล้ว ฟังจากที่พวกท่านเล่า หนิวโหย่วเต้าคลางแคลงว่าเฉาจิ้งพรากพรหมจรรย์ของเจ้าสำนักไปแล้วอย่างนั้นรึ?”

ถังอี๋ทั้งโกรธทั้งอาย “ข้าบอกไปแล้วว่าไม่มีอะไร ข้ากับเฉาจิ้งพบหน้ากันทั้งหมดสองครั้งถ้วน ครั้งแรกคือตอนที่ถูกพาตัวไป อีกครั้งคือตอนที่ถูกปล่อยตัวออกมา ระหว่างนั้นไม่ได้พบปะใดๆ เลย ต้องให้ข้าพูดกี่ครั้งพวกท่านถึงจะยอมเชื่อ?”

ถังซู่ซู่เคาะพนักวางแขน “พวกเราย่อมเชื่อคำพูดของเจ้าสำนัก แต่ประเด็นสำคัญคืออีกฝ่ายจะยอมเชื่อหรือ? หากว่าเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ ถึงอย่างไรท่านกับเขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยากัน เขาจะรับได้หรือ? เจ้าสำนักเองก็ยอมรับเองว่าถูกเฉาจิ้งแยกตัวไปคุมขังเดี่ยวจริงๆ เรื่องเช่นนี้ย่อมทำให้เขาแคลงใจ ในเมื่อสงสัยขึ้นมาแล้ว จะชี้แจงให้ชัดเจนได้หรือ? ผู้ใดจะเป็นพยานให้เจ้าสำนักได้เล่า?”

ถังอี๋เอ่ยว่า “เรื่องนี้จบลงเพียงเท่านี้เถิด อย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย” หยิบยกหัวข้อนี้มาเป็นประเด็นหารือกันอย่างเปิดเผย คนหน้าบางอย่างนางย่อมรับไม่ไหว

ถังซู่ซู่พร่ำบ่นด้วยความหวังดี “ข้ารู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้ทำให้ท่านอับอาย แต่เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กๆ เลย ว่ากันอย่างเบาหน่อยก็นับเป็นความอัปยศร้ายแรงสำหรับเขา หากว่ากันให้หนักหน่อยก็นับว่าเกี่ยวข้องกับอนาคตของทั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ตอนแรกข้าไม่ให้ท่านมา ท่านก็ดึงดันจะออกจากเป่ยโจวมาให้ได้ ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์หมดหนทางแล้ว ข้าก็ยอมออกไปคุกเข่าแล้ว แต่ท่านกลับมากังวลห่วงหน้าตาของตน ตามความเห็นข้า เจ้าสำนักจำเป็นต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในเรื่องนี้”

ถังอี๋เอ่ยอย่างอับอายว่า “เรื่องเช่นนี้หากว่าเขาไม่ยอมเชื่อ แล้วข้าจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้อย่างไร หรือว่าข้าจะต้องไปทอดกายยืนยันให้เขาเล่า?”

หลัวหยวนกงและซูพั่วสบตากัน ค่อนข้างกระอักกระอ่วน เรื่องเช่นนี้มีเพียงถังซู่ซู่ที่พูดได้ บุรุษอย่างพวกเขาทั้งสองไม่สมควรสอดปากพูด

ถังซู่ซู่ก้มหน้าหลุบตาเอ่ยไปว่า “ผู้กล้ายากจะฝ่าด่านหญิงงามได้ ตามความเห็นข้า ขอเพียงเจ้าสำนักหักใจสละหน้าบางๆ นี้ลงได้ การเป็นฝ่ายไปทอดกายให้ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย อีกอย่างเดิมทีก็เป็นสามีภรรยากันอยู่แล้ว เป็นเรื่องถูกต้องตามหลักเหตุผล ไม่มีผู้ใดว่าอันใดได้ หากมีสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากันจริงก็อาจจะเป็นเรื่องดี”

“ข้าทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้…”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า