ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 483

ตอนที่ 483 จ้าวสยงเกอมาแล้ว

ทั้งสามคนจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มองแล้วไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นัก ซูพั่วขอคำอธิบาย “คนผู้นี้คือ?”

หนิวโหย่วเต้าหันกลับมา “นางเป็นใครไม่สำคัญ ที่สำคัญคือสองวันมานี้ลำบากท่านทั้งสามแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

ซูพั่วอ้าปากทว่าพูดไม่ออก ประเด็นสำคัญคือการขอร้องคนอื่นมิใช่เรื่องง่าย จะพูดจาหนักไปก็ไม่ได้ จะพูดจาระคายหูก็ไม่ได้อีก

ถังอี๋เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าจะเข้าใจผิดข้าอย่างไรก็ได้ แต่จะไม่ยอมทำอะไรเพื่ออาจารย์อาตงกัวจริงๆ หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าย้อนถาม “ข้าเข้าใจผิดเจ้าอย่างไร? ปีนั้นตอนที่สำนักสวรรค์พิสุทธ์ต้องการสังหารข้า เจ้ากล้าพูดหรือว่าเจ้าไม่รู้เรื่องด้วยเลย? เจ้ากล้าพูดหรือว่าเจ้าไม่ได้ยอมรับอย่างเงียบๆ?”

ถังอี๋กัดริมฝีปาก พูดอะไรไม่ออก เรื่องไร้จิตสำนึกที่ทำลงไปในอดีตครานั้นสุดท้ายก็เป็นเส้นขีดคั่นอยู่ระหว่างคนทั้งสอง

ซูพั่วกล่าวว่า “หนิวโหย่วเต้า เรื่องราวในปีนั้นไม่เกี่ยวกับเจ้าสำนัก เป็นพวกเรา…”

หนิวโหย่วเต้ายกมือปรามไม่ให้เขาพูดต่อ เอ่ยต่อไปว่า “เอะอะอะไรก็เอ่ยถึงอาจารย์อาตงกัว แล้วครั้งนั้นพวกเจ้ายอมเห็นแก่หน้าตงกัวเฮ่าหราน ปล่อยให้ข้าเหลือทางรอดบ้างหรือไม่? เจ้าสำนักถัง เจ้าพิจารณาตัวเองให้ดีเถิด ตอนอยู่ในแดนจิตสำนึก ข้าห้ามไม่ให้พวกเจ้าตามมา ให้พวกเจ้ารีบพาคนออกไป เจ้าฟังหรือเปล่า? ข้าบอกเจ้าไปชัดเจนแล้วว่าจะเกิดปัญหาขึ้น ให้เจ้ารีบออกไปเสีย แต่เจ้าก็ยังพาคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เข้ามาติดร่างแหด้วยตัวเอง พบพานคนอย่างพวกเจ้า ต่อให้ฟ้าถล่มก็รั้งกลับมาไม่ได้ พูดอะไรก็ไม่ยอมฟัง แล้วจะให้ข้ากลับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปทำไม? หรือจะให้ไปเป็นเจ้าสำนักที่ไม่มีผู้ใดเชื่อฟัง แบบนั้นจะมีประโยชน์อะไร?”

ถังอี๋เอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าจะมีเรื่อง พวกเราก็นึกห่วงความปลอดภัยของเจ้า ก็เลย…”

หนิวโหย่วเต้าตัดบท “เลิกหาเหตุผลได้แล้ว แม้แต่ตัวเองยังปกป้องไม่ได้ คิดจะมาห่วงความปลอดภัยข้าอีกหรือ เจ้าล้อเล่นอันใดอยู่ มีความสามารถพอจะช่วยเหลือข้าได้หรือไร?”

ถังอี๋กล่าวว่า “ได้ ครั้งนี้นับว่าข้าผิดไปแล้ว ขอเพียงเจ้ายอมกลับมา วันหน้าพวกเราจะเชื่อฟังแต่โดยดี”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ไม่ใช่ผิดแค่ครั้งนี้ พวกเจ้าทำผิดมาหลายครั้งแล้ว อย่ามาพูดอะไรจำพวกวันหน้าจะเชื่อฟังเลย ขนาดนี้ตอนนี้ก็ยังมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ยอมเชื่อฟัง ข้าเคยพูดไปชัดเจนแล้ว ให้พวกเจ้าไปจัดการผู้อาวุโสถังคนนั้นให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

พูดประโยคเดียวก็อุดปากทั้งสามไว้ได้แล้ว ความรู้สึกที่ต้องมาอ้อนวอนคนอื่นนั้นช่างไม่น่าอภิรมย์เลย ต้องทนรับการถูกฉีกหน้า

ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านข้างได้แต่ทอดถอนใจ มองหนิวโหย่วเต้าด้วยสีหน้ายิ้มคล้ายมิยิ้ม สังเกตเห็นว่าคนผู้นี้สุขุมเยือกเย็นเสมอมา ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็รับมือได้ มีเพียงตอนอยู่ต่อหน้าถังอี๋ที่จะระงับอารมณ์ไม่อยู่ ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงปัญหา

“ส่งแขก!” หนิวโหย่วเต้าหันหลังให้อย่างไม่ไว้หน้า มองออกไปนอกหน้าต่าง

“เชิญ!” หยวนกังผายมือเชิญคนทั้งสามให้ออกไป

กระทั่งทั้งสามออกไปแล้ว ก่วนฟางอี๋หัวเราะเอ่ยไปว่า “เต้าเหยี่ย เจ้าออกจะเสียกริยาไปหน่อยนะ”

หนิวโหย่วเต้าแค่นเสียง “พวกโง่เง่า”

ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “จะกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ได้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความโง่เขลา พวกเขาไม่มีสิทธิ์พอจะวางอำนาจได้ ดังนั้นจึงต้องปล่อยให้คนมองว่าโง่เขลา เรื่องที่คนรุ่นก่อนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทำไว้ ผลลัพธ์และผลกระทบล้วนตกมาอยู่ที่พวกเขาอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ไม่มีที่ไหนยอมรับพวกเขาไว้ เจ้าจะให้พวกเขาทำอย่างไรเล่า? พวกเขาแบกรับภาระมาตลอด ลำบากลำบนนัก เจ้าก็ต้องการเลี่ยงผลลัพธ์และผลกระทบอยู่มิใช่หรือ? มิเช่นนั้นตัวเจ้าไหนเลยจะต้องกลัวว่าจะเลี่ยงไม่พ้นขนาดนั้น? เจ้าหนีได้ แต่พวกเขาทำได้เพียงต้องทนแบกรับไว้ เพราะว่าพวกเขาไม่มีทางเลือก”

หนิวโหย่วเต้าเงียบไป…

ช่วงพลบค่ำวันนั้น คนที่ประกาศไว้ว่าจะไม่ยอมก้มหัว คนที่คอยคัดค้านเรื่องหนิวโหย่วเต้ากับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เได้มาปรากฏตัว ถังซู่ซู่มาแล้ว

ซูพั่วและหลัวหยวนกงก็ตามมาด้วย เดิมทีถังอี๋ก็อยากมาด้วย แต่ถูกสองผู้อาวุโสห้ามไว้ เนื่องจากทั้งสองก็มองออกเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้าคุยกับถังอี๋ไม่ได้จริงๆ

แม้แต่ซูพั่วและหลัวหยวนกงก็ไม่คิดไม่ถึงเลยเช่นกันว่าพอเข้ามาในห้องพักของหนิวโหย่วเต้า ทันทีที่เห็นหนิวโหย่วเต้า ถังซู่ซู่จะค่อยๆ คุกเข่าลงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ คุกเข่าลงตรงเบื้องหน้าหนิวโหย่วเต้า

เดิมทีซูพั่วและหลัวหยวนกงคิดจะยื่นมือไปรั้งไว้ แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ชักมือที่ยื่นออกไปกลับมา

การคุกเข่าครั้งนี้ทำให้ภายในห้องเงียบสงัดลง รวมถึงหนิวโหย่วเต้าด้วย ล้วนแต่คิดไม่ถึงเลยว่าถังซู่ซู่ที่ไม่เคยยอมก้มหัวมาโดยตลอด พอยอมก้มหัวแล้วจะทำได้อย่างหมดจดเช่นนี้

แค่ดูก็รู้ว่าอายุของถังซู่ซู่นั้นมากแล้ว อายุราวเจ็ดสิบแปดสิบปี มาคุกเข่าให้คนรุ่นเยาว์เช่นนี้ ซ้ำยังเป็นผู้อ่อนอาวุโสด้วย ผู้ใดเห็นก็รู้สึกหนักใจทั้งสิ้น

หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว หนิวโหย่วเต้ารับการคุกเข่านี้ไม่ไหว ตงกัวเฮ่าหรานเองก็รับไม่ไหวเช่นกัน ลำดับอาวุโสของถังซู่ซู่สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด

แล้วก็เป็นเพราะเหตุผลนี้ จึงทำให้ที่ผ่านมาถังซู่ซู่ไหนเลยจะทนก้มหน้าเชื่อฟังชนรุ่นหลังที่อ่อนวัยเช่นนี้ได้

แต่เหตุการณ์ที่เผชิญอยู่ด้านนอกประตูสำนักหมื่นสรรพสัตว์ทำให้นางรู้ซึ้งแล้ว เจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่สูงส่งได้รับความอัปยศอดสูถึงเพียงนั้น แต่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กลับหมดปัญญาจะทำอันใดได้ ทำให้ทั่วทั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตลอดจนถึงบรรพจารย์รุ่นก่อนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ล้วนได้รับความอัปยศกันถ้วนหน้า

นางเป็นสตรีที่ต้องทำตัวเข้มแข็งคนหนึ่ง ไร้หนทางจะระบายความคับข้องเศร้าหมองในใจออกมา

ครั้งนี้นางได้รับรู้อย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าเกียรติยศและทิฐิส่วนตัวของนาง หากเทียบกับความอยู่รอดของทั้งสำนักแล้วไม่นับเป็นอันใดเลยจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้นางจึงยอมมาคุกเข่าให้

หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่ได้หลบเลี่ยงการคุกเข่านี้ หากแต่เอ่ยถามด้วยท่าทีไม่อนาทรร้อนใจว่า “ไยผู้อาวุโสถังจึงให้เกียรติกันถึงเพียงนี้เล่า?”

ถังซู่ซู่มีสีหน้าโศกหมอง ปีนั้นที่ลงมือกับหนิวโหย่วเต้า ไหนเลยจะเคยคิดว่าจะมีวันนี้ได้ นางส่ายหน้าช้าๆ “ข้าผิดไปแล้ว ข้ามายอมรับผิดกับท่านแล้ว! ความผิดทั้งปวงล้วนเป็นความผิดของตัวข้าผู้เดียว ท่านเป็นผู้มีเกียรติ อย่าได้ถือสาผู้น้อยเลย อย่าได้ถือสาคนเขลานางเฒ่าอย่างข้าเลย! ขอเพียงท่านยอมช่วยสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ให้พ้นภัย ชีวิตของข้าก็มอบให้ท่านได้ เชิญจัดการได้ตามใจชอบ แม้นตายก็ไม่เสียดาย!”

ซูพั่วและหลัวหยวนกงมีสีหน้าเคร่งเครียด ต่างจ้องมองปฏิกิริยาของหนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้าเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็เปล่งเสียงขึงขังว่า “ได้! นับจากวันนี้ไป ความบาดหมางระหว่างข้ากับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะถูกลบเลือนหายไป ล้วนเป็นอดีตไปแล้ว ลุกขึ้นเถอะ!”

ถังซู่ซู่ส่ายหน้า “หากท่านไม่รับปากว่าจะช่วยสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ข้าจะไม่ลุก!”ไอรีนโนเวล

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า