ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 482

ตอนที่ 482 ราวกับจูงสุนัขอยู่ก็มิปาน

พอได้ฟังเขากล่าวเช่นนี้ ก่วนฟางอี๋คิดๆ ไปก็พบว่าจริงดั่งว่า สำนักหมื่นสรรพสัตว์มีชื่อเสียงในโลกบำเพ็ญเพียร ตามปกติแล้วไม่มีทางจะไม่รักษาคำพูด หากไม่ได้รับแรงกดดันอันใดก็ไม่มีทางพูดจากลับไปกลับมาได้จริงๆ

นางเองก็มองลุงเฉินที่เดินจากไปไกลด้วยเช่นกัน รับรู้ได้แล้วว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังสื่ออะไร

….

นอกประตูสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์หลายร้อยคนมารวมตัวกัน ถังซู่ซู่ยืนนำขบวนอยู่ด้านหน้าด้วยสีหน้าขุ่นเคือง

แต่จะทำอย่างไรได้เล่า หน้าประตูทางเข้าสำนักคนเขามีเพียงศิษย์รุ่นเล็กสองคนคอยเฝ้าและรับแจ้งเรื่องเท่านั้น ต่อให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีคนเยอะกว่าก็ไม่กล้าที่จะบุกเข้าไป ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังจับตัวเจ้าสำนักของตนเอาไว้ด้วย

ในใจถังซู่ซู่จะโกรธเกรี้ยวเพียงใด เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว นึกถึงเมื่อครั้งอดีตสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็เคยมีตำแหน่งในหอเลือนสลัวเช่นกัน ฐานะทัดเทียมกับสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ยามนี้กลับตกต่ำลงมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ คิดๆ ไปก็น่าเศร้าใจยิ่งนัก

เหล่าศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กลับด้านชาไปเสียแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าสำนักหมื่นสรรพสัตว์ พวกเขาไม่มีแม้แต่ความกล้าจะแสดงโทสะขุ่นข้อง มีหลายคนที่ก่อนหน้านี้ถึงขั้นที่กลัวว่าจะล่วงเกินสำนักหมื่นสรรพสัตว์เข้าจนรับผลกระทบที่ตามมาไม่ไหว

ดวงตะวันค่อยๆ เคลื่อนคล้อย คนกลุ่มหนึ่งเดินมาจากปลายทางบนเขา

ศิษย์คนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “ผู้อาวุโส พวกเจ้าสำนักออกมาแล้วขอรับ”

ทุกคนเงยหน้ามองเข้าไปด้านในประตูสำนัก

พวกถังอี๋ที่ถูกจับตัวไปออกมาแล้ว ถูกจับไปกี่คนก็กลับมาครบถ้วน ไม่ขาดไปแม้แต่คนเดียว มีศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ตามออกมาส่งด้วยไอรีนโนเวล

เมื่อทั้งคณะเดินพ้นออกมา ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่ตามมาส่งก็ประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสำนักถัง เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันไป ขออภัยด้วยจริงๆ นี่คือสินไหมชดเชยเล็กน้อยที่ทางสำนักเราอยากมอบให้” เขาล้วงตั๋วแลกทองปึกหนึ่งออกมา เป็นเงินหนึ่งล้านเหรียญทอง นับเป็นสินไหมชดเชยแทนคำขออภัย

สำหรับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้วเงินก้อนนี้นับว่าไม่น้อยเลย แต่ถังอี๋กลับปรายตามองอย่างเย็นชา แค่นเสียงเอ่ยว่า “ไม่จำเป็น!”

ต่อให้ยากไร้เพียงใดก็ไม่ถึงขั้นที่ต้องทำตัวไร้ศักดิ์ศรี นางหันไปโบกมือเล็กน้อย พากลุ่มคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เดินสาวเท้าออกไป

ซูพั่วและหลัวหยวนกงมีสีหน้าบึ้งตึง ครั้งนี้ได้รับความอับอายจริงๆ

“เช่นนั้นไม่ขอส่ง” ศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่ออกมาส่งยิ้มละไม จากนั้นมองตั๋วแลกทองในมือ หัวเราะหยันเล็กน้อย เต็มไปด้วยความรู้สึกหมิ่นแคลนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ จากนั้นหันหลังกลับไปรายงานผล

พอเดินห่างออกมาเล็กน้อย ถังซู่ซู่พินิจดูถังอี๋หัวจรดเท้า เอ่ยถามว่า “สำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่ได้ทำอันใดเจ้าสำนักใช่หรือไม่?”

ถังอี๋ตอบ “ไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่สอบถามพวกเราเล็กน้อย”

….

กลางขุนเขาทำเลงามชัยภูมิมงคล อาคารทอดตัวเรียงราย ทัศนียภาพงามหลากหลาย สมเป็นสำนักใหญ่ชั้นแนวหน้าในใต้หล้า

ท่ามกลางศาลาพลับพลาหอสูง ชายชราสองคนเดินออกมา คนหนึ่งคือเฉาจิ้ง ส่วนชายชราองอาจทรงภูมิอีกคนที่สะพายกระบี่ไว้ด้านหลังก็คืออูจ้าวสิง ยอดฝีมืออันดับหกในทำเนียบโอสถ เฉาจิ้งเป็นตัวแทนสำนักหมื่นสรรพสัตว์ออกมาส่งแขก อูจ้าวสิงก็คือแขกคนนั้น

ตลอดทางเฉาจิ้งพูดคุยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม แต่ในใจกลับไม่สบอารมณ์นัก เขาถูกเจ้าสำนักด่าสาดเสียเทเสียมา หากยังอารมณ์ดีอยู่ก็แปลกแล้ว

เหตุผลที่จับตัวคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ออกมาจากแดนความฝันก็เป็นเพราะความงามของถังอี๋ที่ทำให้เขาเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นจริงๆ

หลังจากจับกลับมา เขาก็ยังไม่มีเวลาว่างมาเสพสุขสำราญ คลื่นอสูรสังหารคนไปมากมายปานนั้น เขาต้องมีคำอธิบายให้แก่ทางสำนัก ต่อมาเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น ไม่คิดเลยว่าคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะแห่มาที่งานชุมนุมสัตว์วิเศษ ไม่ทราบเช่นกันว่ามีข่าวรั่วออกไปได้อย่างไร ทำให้คนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาขวางประตูทางเข้าสำนักหมื่นสรรพสัตว์เพื่อทวงคนคืน

เจ้าสำนักซีไห่ถังเรียกพบเขาทันที ถามว่าเขาจับกุมผู้ใดมาใช่หรือไม่?

เฉาจิ้งกระหายในความงามของถังอี๋ เนื้อมาถึงปากแล้วไหนเลยจะยอมปล่อยไปง่ายๆ แรกเริ่มเขาไม่ยอมรับ บอกว่าไม่ได้จับมา

ผลลัพธ์คือวันต่อมาอูจ้าวสิงมาเยือนอีกคน เข้าพบซีไห่ถัง ขอให้ซีไห่ถังยอมไว้หน้าปล่อยตัวคน อูจ้าวสิงและซีไห่ถังเป็นสหายที่คบค้ากันมาเนิ่นนาน

พอซีไห่ถังบอกไม่มีเรื่องเช่นนี้ แต่สหายกลับเอ่ยยืนยันว่ามีคนด้านนอกเห็นพวกถังอี๋ถูกเฉาจิ้งจับกุมออกมาจากแดนความฝันกับตา ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน

อูจ้าวสิงไม่มีทางถ่อมาถึงที่นี่เพื่อคุยเรื่องเหลวไหลกับตน ซีไห่ถังตระหนักได้แล้วว่าศิษย์น้องคนนั้นของตนมีเรื่องปิดบังตนอยู่ เขาจึงเรียกพบเฉาจิ้งอีกครั้ง เอ่ยถามเป็นครั้งสุดท้ายว่าสรุปแล้วได้จับกุมผู้ใดมาหรือไม่?

เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าศิษย์พี่เจ้าสำนักโมโหแล้ว เฉาจิ้งจึงทำได้เพียงยอมรับสารภาพ แต่กลับหาข้ออ้างมาพูดว่าสงสัยว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะมีปัญหาอะไรทำนองนั้น

จะมีปัญหาอันใดหรือไม่ไม่รู้ พอซีไห่ถังเห็นว่าถังอี๋ถูกคุมตัวไว้ในห้องเดี่ยวแยกกับศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์คนอื่นๆ ก็เข้าใจเรื่องราวแล้ว ศิษย์น้องคนนี้ของตนเป็นคนอย่างไร เขาทราบกระจ่างดี

เขาถามเฉาจิ้งอีกครั้งว่าได้แตะต้องตัวถังอี๋หรือไม่ หากว่าแตะต้องไปแล้ว เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจไว้หน้าอูจ้าวสิงได้อีก ข่าวเสียหายบางอย่างไม่อาจปล่อยให้หลุดออกไปได้ จะต้องฆ่าปิดปากเท่านั้น

เฉาจิ้งตอบว่าไม่ได้แตะต้อง ซีไห่ถังจึงจัดการดุด่าเขาไปยกหนึ่ง

อยากจะความสำราญแต่กลับไม่รู้จักดูเวล่ำเวลาเสียบ้าง สำนักหมื่นสรรพสัตว์กำลังจัดงานชุมนุมสัตว์วิเศษ มีผู้บำเพ็ญเพียรจากทั่วหล้ามาร่วมงาน หากเจ้าจับเจ้าสำนักแห่งหนึ่งที่มาร่วมงานไปย่ำยีแล้วเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป สำนักหมื่นสรรพสัตว์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร?

แต่ซีไห่ถังก็ไม่ได้ปล่อยตัวคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปทันที เกิดเรื่องขึ้นมาแล้ว จะเล่นละครก็ต้องเล่นให้จบ หาไม่แล้วเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นคงยากจะอธิบายต่อภายนอกได้

เขาบอกอูจ้าวสิงว่าในแดนความฝันเกิดเหตุคลื่นอสูรขึ้น มีศิษย์ตายไปนับร้อย คนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์บังเอิญอยู่ในเหตุการณ์พอดี จึงอยากจะสอบถามข้อเท็จจริงบางอย่างเล็กน้อย

เมื่อเขากล่าวมาเช่นนี้ อีกทั้งโยงใยถึงชีวิตคนนับร้อย อูจ้าวสิงจึงทำได้เพียงอยู่รอฟังผล艾琳小說

ด้วยเหตุนี้สำนักหมื่นสรรพสัตว์จึงแสร้งทำการสอบสวนเล็กน้อย เพราะเห็นแก่หน้าอูจ้าวสิงจึงไม่กล้าวุ่นวายกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มากนัก จนกระทั่งเพิ่งปล่อยตัวออกมาในยามนี้

พอมาถึงจุดสำหรับส่งแขกลงเขา ก่อนที่อูจ้าวสิงจะอำลาไป เฉาจิ้งก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่คิดเลยว่าอูซยงจะมีไมตรีกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ด้วย”

“ฮ่าๆ ก็ไม่ถึงขั้นมีไมตรีอันใดหรอก ในอดีตเคยติดค้างน้ำใจผู้อาวุโสของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เอาไว้ บังเอิญได้ทราบข่าวพอดี หากนิ่งเฉยดูดายก็ยากจะสงบใจได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า