ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 481

ตอนที่ 481 แสดงน้ำใจกับผู้อื่น

อวิ๋นจีก็รับรู้ได้ว่าจู่ๆ บรรยากาศก็ผิดแปลกไปเล็กน้อย เหลือบมองไปที่อิ๋นเอ๋อร์คราหนึ่งเช่นกัน แต่ไม่ได้คิดอะไรมากนัก

หนิวโหย่วเต้ามองนางพลางส่ายหน้า ถอนหายใจกล่าวไปว่า “จะว่าไปแล้วก็ต้องขอบคุณผู้อาวุโส เพราะผู้อาวุโสดึงดูดท่านผู้นั้นลงไปใต้ดิน ถึงทำให้พวกข้ามีโอกาสหนีเอาชีวิตรอด พวกเราหลบซ่อนตัวหลบเลี่ยงภัยถึงเอาตัวรอดมาได้ ยังหลงนึกว่าผู้อาวุโสประสบเหตุร้ายไปเสียแล้ว ไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสจะหนีออกมาได้ก่อน”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! อวิ๋นจีก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน “เจ้าก็อย่าได้ถือโทษที่ข้าทอดทิ้งพวกเจ้าแล้วหนีมาเลย ข้าถูกราชินีปีศาจตัวนั้นหมายหัวแล้ว เอาตัวเองยังไม่รอด ไม่มีกำลังพอจะช่วยเหลือคนอื่นจริงๆ แต่โชคดี นับว่าช่วยให้พวกเจ้าพ้นภัยมาได้ ดีแล้ว อย่างนั้นก็แยกย้ายกันตรงนี้แล้วกัน หากมีเวลาก็ไปนั่งเล่นที่เขาข้ามเมฆาบ้าง” น้ำเสียงฟังดูหม่นหมองเป็นอย่างยิ่ง

ความพยายามที่ทุ่มเทในช่วงหลายสิบปีมานี้ มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์ที่ลำบากลำบนกว่าจะได้มา สุดท้ายกลับถูกราชินีปีศาจชิงไป เกรงว่าชาตินี้คงหมดหวังจะได้มาครองเสียแล้ว ในใจจึงเศร้าใจอย่างแท้จริง

ถึงจะบอกว่าแยกย้ายกัน แต่นางก็ไม่ได้คิดจะไปจากที่นี่ นางยังคงคิดจะไปเฝ้ารออยู่ที่ทางเข้าอีกสักพัก นางหมกมุ่นอยู่มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์มานานขนาดนี้ ไหนเลยจะยอมปล่อยวางได้ง่ายๆ

“ผู้อาวุโส!” หนิวโหย่วเต้าเรียกไว้

อวิ๋นจีหันกลับมา ไม่ทราบว่าเขายังมีเรื่องใดอีก

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยกับก่วนฟางอี๋ “เอาออกมา”

ก่วนฟางอี๋ไม่เข้าใจ ถามด้วยความฉงน “อะไร?”

หนิวโหย่วเต้าพูดตรงๆ ไม่หลบเลี่ยง “มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์!”

อวิ๋นจีเบิกตากว้างทันที

ก่วนฟางอี๋ก็เบิกตากว้างเช่นกัน มองหนิวโหย่วเต้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ท่าทางคล้ายจะอยากจะโผเข้าไปกัดเขาให้ตายใจแทบขาด เปิดเผยว่ามุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์อยู่กับนางเช่นนี้ นี่ไม่เท่ากับเรื่องมาให้นางหรอกหรือ? ของสิ่งนี้ต้องเก็บไว้เงียบๆ เอามาป่าวประกาศแบบนี้ได้อย่างไร?

หนิวโหย่วเต้ายื่นมือออกไปทวง “เอามาให้ข้า”

ก่วนฟางอี๋เผยสีหน้าโกรธเคือง เว้นแต่นางจะฆ่าปิดปากอวิ๋นจีไปเสีย มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถรั้งสมบัตินี้ไว้ได้ ประกอบกับคำพูดของหนิวโหย่วเต้ายังคงมีอิทธิพลต่อนางอยู่ สุดท้ายก็ได้แต่ล้วงเอาไข่มุกสีทองเม็ดนั้นออกมา ปาออกไปใส่หัวหนิวโหย่วเต้าพลางเอ่ยสบถ “นี่มันของข้า!”ไอรีนโนเวล

หนิวโหย่วเต้ารับเอาไว้ จากนั้นก็ยื่นส่งให้อวิ๋นจี “ผู้อาวุโส ตอนที่ปีศาจตัวนั้นตามไล่ล่าท่านได้ทำมันหล่นไว้ พวกเราเก็บติดมือกลับมาด้วย ไม่อาจปล่อยให้ท่านมาเสียเที่ยวได้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่าน”

อวิ๋นจีมีท่าทางคล้ายไม่อยากจะเชื่อ เอ่ยเสียงสั่น “ให้ข้าจริงๆ น่ะหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าใช้การกระทำบอกกับว่านี่มิใช่คำลวง หากแต่เป็นความจริง เขาตวัดมือโยนออกไป

อวิ๋นจีรับไป โอบอุ้มด้วยสองมือพินิจดูว่าเป็นของจริงหรือไม่ สูญเสียสมบัติล้ำค่าไปแต่กลับได้คืนมา เป็นความรู้สึกที่คนอื่นไม่มีทางจินตนาการได้ ดีใจจนแทบคลั่งแล้วจริงๆ

นางไม่พูดพร่ำทำเพลง จัดการยัดใส่ปาก พอกลืนลงไปแล้วถึงได้วางใจ จากนั้นค้อมกายให้หนิวโหย่วเต้า “ขอบคุณ!”

ก่วนฟางอี๋ทนรับไม่ได้ เงยหน้ามองท้องฟ้า ‘ของของข้าเจ้ากลับให้คนอื่นอย่างนั้นหรือ?’ นางอยากจะถามสวรรค์นักว่ายังมีความยุติธรรมอยู่หรือไม่!

หยวนกังยังพอว่า เขาทราบนิสัยของหนิวโหย่วเต้าดี จึงไม่คิดอะไร

หยวนฟางแสยะปากยิ้มด้วยสีหน้าแข็งทื่อ เสียดายเช่นกัน สมบัติล้ำค่าเชียวนะ! มุกนี้มีมูลค่าตั้งเท่าไรกัน ให้คนอื่นไปง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ?

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “กล่าวขอบคุณเป็นคนนอกไปไย ฝากทักทายพี่อวิ๋นแทนข้าด้วย ทางข้ายังมีธุระต้องจัดการต่อ ไม่ขอไปส่งผู้อาวุโสแล้ว”

“ตกลง! หากมีเวลาว่างก็แวะมานั่งเล่นที่เขาข้ามเมฆาล่ะ”

“ข้าจะจดจำไว้ เรื่องคนผู้นั้น รบกวนโหวฉิงเทียนช่วยจับตามองให้ข้าด้วย”

“ได้ ข้าจะไปสั่งการพวกเขาไว้ พวกเขาสี่คนค่อนข้างไว้ใจได้ หากมีความต้องการใดๆ ก็เรียกใช้พวกเขาได้เต็มที่ ลาก่อน!” อวิ๋นจีตอบรับด้วยสีหน้าจริงใจ จากนั้นหันหลังทะยานจากไปอย่างเร่งร้อน ได้ของมาแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องอยู่เฝ้าปากทางเข้าแดนความฝันอีก กลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น จึงรีบจากไป

ชีวิตคนไม่แน่นอน นางไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าสูญเสียของไปแล้วจะได้คืนมาเช่นนี้ ไล่ตามไขว่คว้ามานานหลายปีในที่สุดก็ได้มาครอง จิตใจนางตื่นเต้นอยู่ตลอด

หนิวโหย่วเต้าเฝ้ามองอยู่สักพักก็หันไปเอ่ยกับคนรอบตัวว่า “ไปเถอะ”

“ไปเปยอะไร? ไม่ไปแล้ว!” ก่วนฟางอี๋ระเบิดอารมณ์ออกมา โมโหจนทนไม่ไหว

หนิวโหย่วเต้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็แค่ของชิ้นเดียว จำเป็นต้องยึดติดด้วยหรือ? ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยเลย”

ก่วนฟางอี๋โมโห “คิดเล็กคิดน้อยหรือ? เจ้าอยากแสดงน้ำใจกับผู้อื่น ข้าย่อมต้องเข้าใจ แต่นั่นคือของของข้า ในเมื่อเป็นของข้าแล้ว เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปยกให้คนอื่น?”

เพิ่งจะได้มุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์มาครอง ถือไว้ยังไม่ทันร้อนก็กลายเป็นของคนอื่นไปเสียแล้ว ทำให้นางเจ็บใจมากนัก

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ “ของเจ้าของข้าอะไรกัน ของข้าก็คือของเจ้า ของเจ้าก็คือของข้าด้วย”

“เหลวไหล!” ก่วนฟางอี๋สบถใส่ทันที

หนิวโหย่วเต้าผายมือออก “ข้าพูดจริง ของที่ข้ามีติดตัว เจ้าอยากได้อะไรบอกมาได้เลย ข้าจะให้เจ้าทุกอย่าง”

ก่วนฟางอี๋ขุ่นเคือง “เจ้ามันยาจกชัดๆ ไม่มีเงินติดตัวแม้แต่แดงเดียว ค่ากินค่าอยู่ตลอดทางมานี้ล้วนเป็นข้าควักเงินจ่าย ข้าจะเอาอะไรมาได้!”

แม้จะเป็นคำด่าทอ แต่หนิวโหย่วเต้าคิดตามแล้วก็ยื่นมือลูบคลำไปตามร่างตน พบเป็นดั่งว่าจริงๆ ตัวเขานอกจากกระบี่ในมือแล้ว แขนเสื้อทั้งสองข้างล้วนว่างเปล่า

หยวนฟางที่มองอยู่ด้านข้างก็เสียดายนัก อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนอย่างหวังดี “เต้าเหยี่ย ที่ร่วมสาบานกับอวิ๋นฮวนคนนั้นไป อันที่จริงก็ยังไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะคิดเป็นจริงเป็นจัง ไม่จำเป็นต้องใจกว้างถึงขนาดนี้เลย หากไม่นำของออกมา นางปีศาจงูตัวนั้นก็ไม่มีทางรู้ว่าของอยู่กับพวกเรา”

เพิ่งจะพูดจบก็ถูกคนกระโดดถีบแล้ว หยวนกังถีบเข้าที่สะโพกทีหนึ่ง

“แค่พูด แค่พูดเท่านั้น” หยวนฟางลูบสะโพกพลางยิ้มแห้งๆ ให้หยวนกัง

หนิวโหย่วเต้ามองซ้ายมองขวา ดูเหมือนจะเห็นต่างกับการกระทำของตน ดูเหมือนจำเป็นจะต้องมอบคำอธิบายให้เสียหน่อยแล้ว เขาชี้ไปที่หยวนฟาง “ผู้ออกบวชทุกสิ่งล้วนว่างเปล่า สมณะอย่างเจ้ากลับเอาแต่หมกมุ่นกับเงินทอง ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายไม่เห็นเรื่องร่วมสาบานเป็นจริงเป็นจัง การร่วมสาบานเป็นเพียงจุดเริ่มต้น สิ่งสำคัญคือวันหน้าจะทำอย่างไร ไม่ว่าจะร่วมสาบานด้วยใจจริงหรือเสแสร้ง ต่อให้ร่วมสาบานด้วยใจจริง แต่ถ้าจัดการไม่ดีมันก็กลายเป็นเสแสร้งได้ ถึงจะเสแสร้งร่วมสาบาน แต่หากจัดการได้ดี มันก็กลายเป็นความจริงใจได้ ดังนั้นเรื่องราวล้วนมีสองด้านเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะจัดการอย่างไร เข้าใจหรือไม่?”艾琳小說

หยวนฟางไม่เข้าใจ แต่ก็ทำเป็นว่าเข้าใจแล้ว พยักหน้าหงึกๆ อยู่ตรงนั้น มิเช่นนั้นต้องโดนทุบตีอีกแน่นอน

หนิวโหย่วเต้าหันไปคุยกับก่วนฟางอี๋ต่อ “หากเจ้าเก็บสิ่งนั้นไว้แล้วจะมีประโยชน์อะไร?”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “ไยจะไม่มีประโยชน์เล่า? อวิ๋นจีก็พูดไปแล้วมิใช่หรือ สมบัติชิ้นนั้นส่งผลต่อสิงสาราสัตว์”

“เจ้ารู้หรือว่าจะใช้งานได้อย่างไร?”

“ข้าก็เอาไปขายแลกเงินได้ไม่ใช่หรือ?”

“เจ้ากล้าเอาออกไปขายหรือ? แล้วเจ้าจะอธิบายกับสำนักหมื่นสรรพสัตว์อย่างไรว่าเอามันมาจากไหน?”

“อวิ๋นจีก็บอกแล้วนี้ สำนักหมื่นสรรพสัตว์พึ่งพาสมบัตินี้ตั้งตัวขึ้นมา ข้าเก็บไว้ค่อยๆ ศึกษาก็ได้ไม่ใช่หรือ?”

“ศึกษาอะไร? สร้างกิจการเลียนแบบสำนักหมื่นสรรพสัตว์หรือ? สำนักหมื่นสรรพสัตว์จะปล่อยให้เจ้าทำเช่นนี้หรือ? คิดจะหาเรื่องใส่ตัวหรือไว? หงเหนียง สิ่งที่อยู่ในมือเจ้ายังไม่แน่ว่าจะเป็นของเจ้าไปเสียทั้งหมดได้”

“แล้วอวิ๋นจีไม่เข้าใจหลักเหตุผลนี้หรือไร? สมบัตินี้ต้องมีประโยชน์อื่นอีกแน่นอน อวิ๋นจีไม่มีทางบอกความจริงออกมาจนหมดหรอก”

“ประโยชน์อะไร เจ้าเข้าใจเหรอ? นางมาจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ในเมื่อนางรู้ดี เช่นนั้นก็ยกให้คนที่รู้ไปจัดการเสีย หงเหนียง ความสามารถคนเรามีจำกัด ไม่อาจโลภมากเอาหมดทุกเรื่องได้ มอบให้นางไปไม่ดีตรงไหนกัน?”

“ไม่ดี! นางได้ไปแล้วทำหลุดมือ นั่นก็แปลว่าไร้วาสนา ไม่ใช่ของนาง ข้าเก็บได้นับเป็นโชคของข้า แปลว่าข้าโชคดี มันมีวาสนากับข้า เป็นของข้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรเอาของข้าไปให้นาง?”

“โชคหรือ? ข้าไม่เชื่อในโชคชะตา ไหนเลยจะมีโชคดีมากมายปานนั้น ข้าไม่เคยเชื่อถือในโชคชะตาใดๆ เรื่องนี้หากวิเคราะห์ลงไปถึงที่สุดแล้ว ล้วนเป็นเพราะปัจจัยที่มนุษย์สร้างขึ้น มีเส้นทางอยู่นับหมื่นพัน โชคชะตาอยู่บนเส้นทางสายหนึ่ง หากเจ้าไม่เลือกเดินไปบนเส้นทางนั้น เจ้าก็ไม่มีวันพบเจอโชคดี ถึงพบพานก็อาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ สุดท้ายมันก็ยังไม่ตกเป็นของเจ้าอยู่ดี หงเหนียง ต้องเป็นฝ่ายให้ถึงจะได้ตอบแทนมา วันนี้เจ้าปลูกเหตุแห่งโชคไว้ วันหน้าก็มีโอกาสจะได้ผลผลิตจากโชคชะตา มอบของให้นางไปยังไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องแย่ ขี่ม้าท่องทั่วหล้า พายุฝนพัดพา ปฏิบัติตนมีคุณธรรม อดทนให้มากเข้าไว้ เมื่อมีความอดทน หนทางก็จะขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะมีโอกาสเผชิญโชคดีมากยิ่งขึ้น มองให้ไกลๆ หน่อย!”

กวนฟางอี๋เงียบไปครู่หนึ่ง แต่ปากยังคงไม่ยอมรับ “อย่ามาคุยหลักเหตุผลใหญ่โตอันใดกับข้า ข้ารู้เพียงอย่างเดียวว่าของเป็นของข้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรยกให้คนอื่น?”

หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “เจ้าก็เห็นด้วยแล้วมิใช่หรือ? หากเจ้าไม่ส่งให้ข้า ข้าจะมอบให้นางไปได้หรือ?”

“เจ้า…”

“เอาล่ะ พอได้แล้ว เป็นความผิดของข้าเอง เอาอย่างนี้แล้วกัน กลับไปแล้วข้าจะมอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้เจ้า ชดเชยความสูญเสียให้เจ้าดีหรือไม่?”

“ของขวัญอะไร? ลองว่ามาให้ชัดเจนก่อนว่าคุ้มกันหรือไม่”

“ตอนนี้ไหนเลยจะพูดให้ชัดเจนได้ กลับไปแล้วค่อยคุยกัน ทำงานให้เสร็จก่อน ไป กลับกันก่อนเถอะ”

“ไอ้สารเลวที่สมควรโดนสับหมื่นชิ้น…”

ยามที่ทั้งคณะกลับมาถึงโรงเตี๊ยมชะตาสวรรค์ในเมืองวั่นเซี่ยง พวกเขาก็ได้พบกับโหวฉิงเทียนที่มาหาพอดี

โหวฉิงเทียนแจ้งเสียงเบาๆ ตรงหน้าประตูโรงเตี๊ยมว่า “ท่านเจ้าเขาให้ข้ามาติดต่อกับเต้าเหยี่ยขอรับ บอกว่าคำสั่งของเต้าเหยี่ยเทียบเท่าคำสั่งของนาง ให้พวกเราเชื่อฟังคำสั่งของเต้าเหยี่ยขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าถามไป “ท่านเจ้าเขาล่ะ?”

“เจ้าเขาจากไปแล้วขอรับ ไม่ได้บอกจุดหมายให้ทราบ”

“พวกเจ้ามีกันกี่คน?”

“สี่คนขอรับ อีกสามคนจับตามองคนผู้นั้นอยู่”

“ดี ข้ารู้แล้ว เจ้าทิ้งที่อยู่ไว้ ข้าจะให้คนติดต่อเจ้าไปทีหลัง” หนิวโหย่วเต้าชี้ไปที่หยวนกัง ให้หยวนกังรับหน้าที่ติดต่อกับโหวฉิงเทียน จากนั้นก็พาคนอื่นๆ กลับห้องพักในโรงเตี๊ยม

ภายในโรงเตี๊ยม ลุงเฉินไม่อยู่ สวี่เหล่าลิ่วก็ไม่อยู่ เมื่อไปสอบถามเหล่าสือซานดูถึงได้ทราบว่าลุงเฉินเคยมาติดต่อทางนี้ไว้แล้วว่าจะตามคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปทวงคนจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ หลังจากสวี่เหล่าลิ่วกลับมาสอบถามและทราบปลายทางของลุงเฉินก็ตามไปสมทบที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ด้วย

หลังจากหนิวโหย่วเต้าทราบเรื่องก็ออกจากโรงเตี๊ยมทันที มุ่งตรงไปที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์

ผลคือเพิ่งจะออกจากโรงเตี๊ยมก็พบลุงเฉินกับสวี่เหล่าลิ่วที่กลับมาพอดี

ทั้งสองฝ่ายมาพบกันนอกเมือง หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

ลุงเฉินตอบว่า “เย็นวันก่อน หลังจากเว่ยตัวกลับไปรายงานเรื่องต่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ถังซู่ซู่ก็ร้อนใจนัก เรียกระดมศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทั้งหมดไปทวงคนจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ สำนักหมื่นสรรพสัตว์มีคนมากกว่า พวกถังซู่ซู่ผ่านประตูหุบเขาเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ สำนักหมื่นสรรพสัตว์เองก็ไม่ยอมรับว่าจับคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไป บอกว่าไม่มีเรื่องเช่นนี้”

หนิวโหย่วเต้าฟังแล้วหนักใจทันที เรื่องที่กังวลที่สุดยังคงเกิดขึ้นอยู่ดี หากเฉาจิ้งรุ่มร่ามกับถังอี๋เข้า สำนักหมื่นสรรพสัตว์ยิ่งไม่มีทางยอมรับว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จู่ๆ ถังซู่ซู่พาคนบุกไปหาเช่นนี้มีแต่จะทำให้เฉาจิ้งสังหารคนปิดปาก

แต่คำพูดต่อมาของลุงเฉินกลับทำให้หนิวโหย่วเต้าโล่งใจ “แต่ช่วงสายเมื่อวานนี้ สำนักหมื่นสรรพสัตว์กลับคำพูดบอกว่าตรวจสอบชัดเจนแล้ว มีการจับกุมคนไปจริงๆ บอกว่าเพียงอยากสอบถามสถานการณ์เล็กน้อย หากไร้เรื่องจะปล่อยคนแน่นอน แต่จนถึงตอนนี้สำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็ยังไม่ปล่อยตัวคนเลย ถังซู่ซู่พาคนไปเฝ้าประตูสำนักหมื่นสรรพสัตว์เอาไว้ตลอด”

หนิวโหย่วเต้าเงียบไปครู่หนึ่ง มองไปที่ลุงเฉินด้วยสายตามีเลสนัย ค่อยๆ ยกมือขึ้นส่งสัญญาณเล็กน้อย “กลับเถอะ ไม่มีธุระของพวกเราแล้ว”

หยวนกังรั้งแขนหนิวโหย่วเต้าทันที เอ่ยด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “เต้าเหยี่ย! เฉาจิ้งคนนั้นไม่ใช่คนดีอันใดเลย”

เขาอยากให้หนิวโหย่วเต้าลองทบทวนดูอีกครั้ง ไม่อาจปล่อยให้ถังอี๋เผชิญเรื่องเช่นนี้ได้ มิเช่นนั้นจะกระทบต่อชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต้าอย่างมาก

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงเรียบ “ถังอี๋น่าจะปลอดภัยดี หากเกิดเหตุขึ้นสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่มีทางกลับคำพูด มีแต่จะสังหารคนปิดปากเสีย ในเมื่อยอมรับแล้วว่าคนอยู่กับพวกเขา เฉาจิ้งก็ไม่กล้าก่อเรื่องอีก ปล่อยให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จัดการไปแล้วกัน พวกเรารอดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนสอดมือเข้าไปยุ่ง ลุงเฉิน เจ้ากลับไปจับตามองต่อเถอะ”

“ขอรับ!” ลุงเฉินรับคำสั่งแล้วจากไป

ก่วนฟางอี๋ที่ขุ่นเคืองหนิวโหย่วเต้ามาตลอดทางอดไม่ได้ที่จะกระซิบถามหนิวโหย่วเต้า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าจ้องมองเงาร่างลุงเฉินที่จากไปไกล เอ่ยเนิบๆ ว่า “เฉาจิ้งน่าจะได้รับแรงกดดันบางอย่าง มิเช่นนั้นคนถ่อยอย่างเขาไม่มีทางยอมกลับคำง่ายๆ มีคนลงมือแล้ว”

…………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า