ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 480

ตอนที่ 480 ออกจากแดนความฝัน

เผือกร้อนลวกมือเป็นอย่างไรน่ะหรือ? เป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า

พอได้เงินก้อนนี้มา เฉาเซิ่งไหวรู้สึกว่าร้อนลวกมือจนยากจะรับไว้ได้ อีกทั้งเขาไม่ใช่คนโง่ เขาคิดสังหารอีกฝ่ายแต่อีกฝ่ายกลับให้เงินเขา มีเรื่องดีขนาดนี้ด้วยหรือ?

เฉาเซิ่งไหวกัดฟันเอ่ยถาม “เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรกันแน่?”

หนิวโหย่วเต้าไม่มีทางบอกคำตอบแก่เขาในตอนนี้ เนื่องจากยังไม่รู้ว่าเฉาจิ้งจะปกป้องหลานชายคนนี้จากเรื่องที่ก่อเหตุดึงดูดคลื่นอสูรหรือไม่ ในตอนที่ยังไม่อาจยืนยันความปลอดภัยของเฉาเซิ่งไหวได้ เขาไม่มีทางก่อเรื่องที่จะไม่เป็นผลดีต่อสำนักหมื่นสรรพสัตว์ขึ้น ต้องปล่อยให้เฉาเซิ่งไหวกลับไปก่อน รอดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดตอนนี้ถึงได้มอบเงินหนึ่งแสนเหรียญทองให้แก่เขา นี่ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับนิสัยละโมบของเฉาเซิ่งไหว

เงินหนึ่งแสนเหรียญทองสำหรับศิษย์ในสำนักแห่งหนึ่งแล้วมิใช่เงินจำนวนน้อยๆ เลย รายได้จากราชาหมีขนทองตัวเดียวต้องแบ่งกันหลายคน แต่ละคนจะได้ถึงมือแค่ไม่กี่แสนเหรียญทองเท่านั้น คนที่ยอมทำผิดกฎสำนักเพื่อเงินไม่กี่แสนเหรียญทองเป็นคนเช่นไร เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว

แรงดึงดูดจากเงินหนึ่งแสนเหรียญทอง แรงกดดันจากบทลงโทษของสำนัก มีทั้งแรงกดดันและแรงดึงดูด

แค่เพียงทำให้คนผู้นี้กลับไปครั้งนี้แล้วยากจะตัดสินใจได้ก็พอแล้ว ขอเพียงกลับไปครั้งนี้แล้วคนผู้นี้ยังไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ผิดอยู่แล้วยังทำผิดเพิ่ม วันหน้าก็ยากจะหันหลังกลับได้

หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อย ลงมือจี้จุดตามร่างเขาสามสี่ครั้งเพื่อคลายผนึกให้อีกฝ่าย “เจ้าคิดมากไปแล้ว ลูกน้องข้ามีให้ใช้ถมเถ เงินทองก็มีมากมาย ลำพังตัวเจ้าจะมาช่วยอะไรข้าได้? ย่ำม้าท่องทั่วหล้า ถนนคือหนทาง ผู้พบพานคือสหาย ตัวข้าผู้นี้ไม่ชอบผูกแค้นแต่ชอบผูกมิตร ไปเถอะ อีกไม่กี่ชั่วยามแดนความฝันจะปิดลงแล้ว”

เมื่อพลังฟื้นฟูกลับมา เฉาเซิ่งไหวผ่อนลมหายใจออก โบกตั๋วแลกทองในมือ “เจ้ามีน้ำใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้ว “ดูเหมือนน้ำใจของข้าจะไม่ทำให้เจ้าซาบซึ้งเลย เอาเถอะ อย่างนั้นข้าจะไปขอคำอธิบายเรื่องนี้จากสำนักหมื่นสรรพสัตว์” กล่าวพลางยื่นมือจะไปดึงตั๋วแลกทองกลับมา

เฉาเซิ่งไหวรีบถอยกรูดไป ไม่ใช่ว่าเขาหักใจคืนเงินในมือไม่ลง หากแต่กลัวว่าหนิวโหย่วเต้าจะกลับคำไปร้องเรียนสำนักหมื่นสรรพสัตว์จริงๆ เขารีบชี้แจงว่า “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น หากแต่ถ้าเรื่องในครั้งนี้ทราบไปถึงทางสำนักแล้ว ข้าเพียงกังวลว่ากลับไปอาจจะแก้ตัวไม่ได้”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “นั่นเป็นเรื่องภายในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ของพวกเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้า เจ้ามาบอกข้าก็ไม่มีประโยชน์ แดนความฝันใกล้จะปิดลงแล้ว มีเรื่องอะไรเดี๋ยวไว้คุยกัน เฉาซยง ฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังไม่เปลี่ยนใจ ท่านรีบไปเสียจะดีกว่า ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด!”

เฉาเซิ่งไหวลอบกัดฟัน ประสานมือคำนับ “ตกลง หวังว่าหนิวซยงจะรักษาคำพูด ลาก่อน!”

ผู้ใดจะทราบว่าขณะที่เพิ่งจะหันหลังไป หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยเตือนขึ้นมาอีกประโยคว่า “ข้าจะรอฟังข่าวดีจากเฉาซยงอยู่ที่โรงเตี๊ยมชะตาสวรรค์”

เฉาเซิ่งไหวชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ก่อนจะทะยานจากไปทันที

หนิวโหย่วเต้าเฝ้ามองตามไป หรี่ตาลงเล็กน้อย พอหันกลับมาก็สบตาเข้ากับแววตาใสซื่อของอิ๋นเอ๋อร์ทันที จากนั้นก็มองดูเสื้อที่ถูกดึงไว้ เขาถอนหายใจดัง “เฮ้อ! ไม่ลองทบทวนดูอีกทีหรือ จะไปกับข้าจริงๆ น่ะหรือ?”

อิ๋นเอ๋อร์พยักหน้าอย่างจริงจัง “ไป!”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “เช่นนั้นเจ้าปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่?”

อิ๋นเอ๋อร์หน้าบูดขึ้นมาทันที นางเบะปากพลางส่ายหน้า สื่อว่าไม่ยินยอม

“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!” หนิวโหย่วเต้ายิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สีหน้าอับจนหนทาง ถูกอีกฝ่ายเกาะติดไม่ปล่อยเช่นนี้ จะหนีก็หนีไม่พ้น จะสู้ก็เอาชนะไม่ได้ ซ้ำยังไม่กล้ายั่วโทสะอีกฝ่ายด้วย ถูกคนเขาตามเกาะติดเช่นนี้จะวางแผนลับอันใดได้อีก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน…

ตอนที่ทั้งสองมาถึงปากทางเข้าออกแดนความฝันก็ยังไม่พบเหตุการณ์ผิดปกติอันใด มองเห็นผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ทยอยออกจากแดนความฝันไปเป็นกลุ่มๆ

ช่วงที่แดนความฝันเปิดตัว ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มต่างๆ เข้าออกได้อย่างอิสระเสรี สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่มีฐานะเป็นเจ้าบ้านไม่ได้สร้างปัญหาใดๆ ให้แก่แขกจากทั่วสารทิศ

พอเห็นว่ายังเข้าออกได้อย่างอิสระ ไม่มีท่าทีว่าจะตรวจคัดกรองคนที่ผ่านเข้าออก หัวคิ้วของหนิวโหย่วเต้าก็เลิกขึ้นมาเล็กน้อย

เขาเฝ้าสังเกตเฉาจิ้งมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางที่จะโผล่มาที่นี่อย่างกะทันหัน จากข้อมูลของเฉาจิ้งที่เขารวบรวมมาในช่วงหลายปีมานี้ทำให้เขาพอจะเข้าใจอุปนิสัยคร่าวๆ ของเฉาจิ้ง เมื่อรวมกับสถานการณ์ในตอนนี้ เขาเองก็พอจะวิเคราะห์ความคิดของเฉาจิ้งได้คร่าวๆ จึงมีความมั่นใจในเรื่องของตนขึ้นมาหลายส่วน

ด้านข้างของปากทางเข้าออก เฉาเซิ่งไหวในสภาพกระเซอะกระเซิงติดอยู่ตรงนั้น ถูกศิษย์ในสายของเฉาจิ้งห้อมล้อมพลางสอบถาม ไม่รู้เหมือนกันว่าคุยอะไรบ้าง คาดว่าคงไม่พ้นไปจากเรื่องคลื่นอสูร

เฉาเซิ่งไหวสังเกตเห็นว่าหนิวโหย่วเต้ามาถึงแล้ว เขาหลบสายตาไปอย่างรวดเร็ว ทำเหมือนคนไม่รู้จักกัน

มุมปากหนิวโหย่วเต้าผุดรอยยิ้มจางๆ ทำเป็นไม่รู้จักเช่นกัน พาอิ๋นเอ๋อร์เดินผ่านระลอกคลื่นของม่านวารีออกไป

พอออกมาจากแดนความฝัน ฟ้าดินพลันสว่างสดใส เขาเขียวขจีธาราใสกระจ่าง

ดูเหมือนอิ๋นเอ๋อร์จะไม่ชินกับแสงสว่างเช่นนี้ นางยกมือป้องแสงเบื้องหน้าทันที ส่วนมืออีกข้างยังคงจับเสื้อหนิวโหย่วเต้าเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

หลังจากสายตาปรับตัวได้เล็กน้อยแล้ว นางก็เพ่งพิศโลกแปลกใหม่ใบนี้ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ท่าทางเหมือนเด็กน้อยที่ว่านอนสอนง่าย เดินต้อยๆ ติดตามข้างกายหนิวโหย่วเต้า

พอพ้นจากปากทางไปได้เล็กน้อย สังเกตสถานการณ์รอบข้างครู่หนึ่ง พอเห็นว่าศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่มีท่าทีผิดปกติ หนิวโหย่วเต้าก็คว้าแขนของอิ๋นเอ๋อร์เอาไว้แล้วพาทะยานออกไป

ขณะที่เพิ่งทะยานผ่านป่าแถบหนึ่ง ก็มีเงาร่างหลายร่างเหินเข้ามารวมตัว เป็นพวกก่วนฟางอี๋นั่นเอง

“เต้าเหยี่ย เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย” ก่วนฟางอี๋แจ้งข่าว

ทั้งกลุ่มร่อนลงในจุดลับตาคนแห่งหนึ่งทันทีทันที หนิวโหย่วเต้ากวาดตามองคนอื่นๆ เล็กน้อย นอกจากคนที่ออกมาจากแดนความฝันแล้ว คนที่เหลืออยู่มีเพียงสวี่เหล่าลิ่วเท่านั้น ลุงเฉินไม่อยู่

สวี่เหล่าลิ่วอดไม่ได้ที่จะมองอิ๋นเอ๋อร์ซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง รู้สึกสงสัยเช่นกัน ไม่ว่านางเป็นใคร

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า