ตอนที่ 49 ข้าจะแต่งกับเฟิ่งรั่วหนานอย่างนั้นหรือ?
หลังนางจากไป เฟิ่งหลิงปอเดินวนเวียนอยู่ภายในห้องพลางใคร่ครวญดู จากนั้นหันไปตะโกนเรียกบ่าวรับใช้ “มีใครอยู่บ้าง!”
บ่าวรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา เขาชี้จดหมายลับที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ เอ่ยสั่งการว่า “นำไปมอบให้หนิวโหย่วเต้า!”
“ขอรับ!” บ่าวรับใช้หยิบจดหมายลับเดินออกไป
เวลานี้หนิวโหย่วเต้าพักอยู่ในเรือนรับรองของจวนผู้ว่าการ มีคนคอยเฝ้าเอาดูอยู่
ภายใต้แสงโคม หนิวโหย่วเต้าถือจดหมายลับฉบับนั้นพลิกดูอยู่หลายรอบ หวังเหิงอย่างนั้นหรือ? หวังเหิงเป็นใครเขาก็ไม่รู้ ทั้งไม่รู้จักและไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่จากเนื้อความที่ให้ส่งตัวเขาไปตัดสินคดีที่เมืองหลวง คนทางเมืองหลวงที่ตนเคยล่วงเกินไว้นอกจากตระกูลซ่งก็ไม่มีใครอื่นแล้ว จึงคาดเดาได้ไม่ยากว่าเป็นผู้ใดที่อยากทำร้ายตน
นี่ไม่ได้มีอันใดน่าประหลาดใจเลย เขาคาดการณ์ไว้ในใจแต่แรกแล้วว่าตระกูลซ่งต้องการล้างแค้น แต่เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกสนใจคือการที่เฟิ่งหลิงปอมอบจดหมายลับฉบับนี้ให้ตน ความนัยที่แฝงเร้นอยู่มีมากมายนัก เจตนาย่อมไม่พ้นไปจากอยากข่มขวัญตน
“เดาว่าตระกูลซ่งคงรู้เรื่องแล้ว เห็นทีว่าทางฝั่งถังซู่ซู่จะปิดบังเฉไฉทางตระกูลซ่งไม่ได้ ยายแก่ถังน่าจะย้ายหินมาทับเท้าตัวเอง[1]เข้าแล้ว!” หนิวโหย่วเต้ายื่นจดหมายให้หยวนกังที่อยู่ข้างๆ
หลังจากหยวนกังอ่านอยู่หลายรอบ ก็เอ่ยถามว่า “หวังเหิงเป็นใคร?”
หนิวโหย่วเต้าส่ายศีรษะเล็กน้อย “ไม่รู้ แต่ต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลซ่งแน่ คนที่ใช้สำนวนวาจาแบบนี้กับเฟิ่งหลิงปอได้ ตำแหน่งคงไม่ต่ำต้อยแน่ ลองถามๆ ดูก็น่าจะรู้แล้วว่าเป็นใครกัน”
หยวนกังเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ถามหยั่งเชิงประโยคหนึ่งว่า “ถ้าตระกูลซ่งล้างแค้นสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ จะกระทบถึงถังอี๋คนนั้นไหม? ”
หนิวโหย่วเต้าหลุบตาลงเล็กน้อย “เรื่องนี้สำคัญด้วยเหรอ?”
หยวนกังเงียบไป ไม่พูดอีก ยื่นจดหมายจ่อเทียนเผาทิ้งไป…
…….
ยามราตรีกลางป่าเขาหนาวเหน็บนัก ธงขาวบนเสาไม้ไผ่ไหวสะบัดตามแรงลมอย่างแผ่วเบา ข้างสุสานใหม่เอี่ยมจุดไฟไว้กองหนึ่ง ซางซูชิงบรรเลงพิณ เสียงพิณฟังดูหม่นหมอง ชวนให้คนโศกศัลย์
คนตายจากไปแล้ว ใช้เสียงพิณเซ่นสรวงไว้อาลัย
ซางเฉาจงยืนมือไพล่หลังอยู่ข้างๆ เหม่อมองเงาตะคุ่มใต้แสงจันทร์ ในใจนึกคิดไปสารพัด หวนนึกถึงช่วงเวลาในอดีต ครอบครัวทรงเกียรติเหลือคณา เพียงพริบตากลับตกอับลงเช่นนี้ อกสั่นขวัญผวาอยู่ตลอดปานสุนัขจรจัด ช่วงเวลาหลายปีในคุกหลวงอันมืดมิดฝังลึกอยู่ในใจ บางครั้งถึงขั้นที่ตามหลอกหลอนดั่งฝันร้าย
ความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันและเคราะห์ร้ายทุกอย่างผ่านพ้นไปหมดแล้ว เขาไม่นึกแค้นเคืองผู้ใด ถ้าจะแค้นก็คงแค้นที่ตนไร้ความสามารถ และรู้สึกสับสนยิ่งนัก สับสนกับอนาคตที่ดูเลื่อนลอยไม่แน่นอน
น้องสาวที่ดีดพิณอยู่เบื้องหน้า นางเฉลียวฉลาดยิ่ง อ่อนโยนมีคุณธรรม รู้หนังสือมีจรรยา พิณหมากตำราภาพ กาพย์กลอนกวีศิลป์ล้วนแตกฉานเชี่ยวชาญ ทว่าถูกชะตาชีวิตบีบบังคับให้ต้องแกร่งกร้าวห้าวหาญ แต่เดิมเป็นคุณหนูผู้ดีจากตระกูลใหญ่เลื่องชื่อ มือถือตำราคัดอักษรอยู่เป็นนิตย์ ยามนี้กลับต้องแขวนกระบี่ติดเอว ขี่ม้าพเนจรไปกับเหล่าบุรุษ ไม่หวั่นต่อความยากลำบาก ไม่เคยปริปากพร่ำบ่น กลับคอยปลุกปลอบให้กำลังใจพี่ชายอย่างเขาอยู่เสมอ หากตัดเรื่องปานอัปลักษณ์บนหน้าออกไป ไม่ว่าจะมองในมุมไหน น้องสาวก็ควรเป็นยอดสตรีที่เหล่าบุรุษยากจะหาพบได้ในโลกใบนี้ แต่เป็นเพราะพี่ชายอย่างตนไร้ความสามารถ แบกรับภาระสำคัญไม่ไหวซ้ำยังใช้ชีวิตผิดพลาด เขารู้สึกละอายต่อวิญญาณของบิดามารดาที่อยู่บนสวรรค์ยิ่งนัก
จากนั้นก็มองดูทหารองครักษ์ที่ปรากฏอยู่ทั้งในที่ลับและที่แจ้งรอบป่าที่กำลังเฝ้าระวังภัยจากรอบด้านให้เขา ทุกคนล้วนเป็นทหารกล้าที่เคยผ่านสนามรบมาทั้งสิ้น แม้นจะมองไม่เห็นแสงสว่างและหนทางในอนาคต แต่ก็ยังยอมละทิ้งครอบครัวติดตามเขามา ติดตามเขาไปเสาะแสวงหาอนาคตที่ยังไม่รู้นั้น เขารู้ดีว่านี่คืออานิสงส์ที่เหลือตกทอดมาจากเสด็จพ่อ แต่เรื่องนี้กลับทำให้เขากังวลใจขึ้นเรื่อยๆ กลัวว่าจะทำให้คนเหล่านี้ผิดหวัง ไม่ทราบว่าตนจะนำพาพวกเขาไปในทิศทางใด เขาทำได้เพียงบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า มุ่งหน้าไป มุ่งหน้าต่อไป!
แต่เส้นทางอนาคตช่างมืดมนนัก การแสร้งตบตาอยู่ที่นี่ตามความคิดของหนิวโหย่วเต้าทำให้เขาไม่สบายใจ พฤติกรรมอันไม่แน่ไม่นอนของหนิวโหย่วเต้าทำให้เขาไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ
รัตติกาลยาวนาน เหม่อมองฟ้ายามราตรี ภายในใจเฝ้ามุ่งหวังตั้งตารอรุ่งอรุณมาเยือนอยู่ทุกค่ำคืน…
…….
ค่ำคืนผ่านพ้นไป แสงอรุณสาดส่อง ภายในกระท่อมเรียบง่ายข้างสุสาน ซางเฉาจงเอนหลังงีบหลับไปโดยมิได้ถอดชุด เสียงฝีเท้าเร่งร้อนแว่วเข้ามา ทำให้เขาสะดุ้งตื่นทันที ยื่นมือไปคว้าดาบข้างกายตามสัญชาตญาณ เงยหน้ามอง พบว่าเป็นคนของฝ่ายตน
องครักษ์นายหนึ่งประสานมือเอ่ยรายงาน “ท่านอ๋อง มีคนกลุ่มหนึ่งอยู่นอกวัด แจ้งว่าเป็นคนจากจวนผู้ว่าการจังหวัดกว่างอี้ บอกว่าได้รับการไหว้วานมาจากฝ่าซือพ่ะย่ะค่ะ”
หนิวโหย่วเต้าเชิญมาอย่างนั้นหรือ? ซางเฉาจงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต้าสั่งให้ถ่วงเวลาไว้สักสองสามวัน ไม่คิดเลยว่าเพิ่งผ่านไปวันเดียวก็มีข่าวมาแล้ว
เขาลุกขึ้นมาทันที จนใจที่ขาข้างหนึ่งคุดคู้อยู่นานเกินไปจนเหน็บชา ทรงตัวไม่มั่นคงอยู่บ้าง เขากระทืบเท้าแรงๆ สองสามที กระตุ้นเส้นลมปราณเล็กน้อย ก่อนจะสาวเท้าก้าวอาดๆ ออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซางเฉาจง หลานรั่วถิงและซางซูชิงนำคนกลุ่มหนึ่งเร่งเดินขึ้นไปบนเขา
เหตุผลที่ทุกคนลงไปค้างคืนอยู่ข้างสุสานก็เพื่อแสร้งไว้อาลัยต่อผู้ตายตามที่หนิวโหย่วเต้าบอก และการทำตามคำพูดของหนิวโหย่วเต้านั้นเรียกได้ว่าเป็นการลองเสี่ยงเดิมพันครั้งสุดท้ายดู
โซ่วเหนียนพาคนทั้งสี่มาคอยท่าอยู่ด้านนอกประตูวัดหนานซาน เมื่อเห็นพวกซางเฉาจงขึ้นเขามา ก็นึกฉงนอยู่ในใจ มีเรือนให้พำนักกลับไม่พักอาศัย ไปอยู่กลางป่ากลางเขาเพื่ออะไร?
เนื่องจากซางซูชิงเป็นสตรี ในอดีตมักอยู่ในเรือนเสมอ จึงไม่รู้จักโซ่วเหนียน ทว่าซางเฉาจงและหลานรั่วถิงสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสองต่างรู้จักโซ่วเหนียน ยามที่หนิงอ๋องยังมีชีวิตอยู่และกุมอำนาจกองทหารแคว้นเยี่ยนไว้ ในช่วงเทศกาลของทุกปีจังหวัดกว่างอี้จะส่งบ่าวรับใช้มามอบของขวัญให้เช่นกัน และผู้ที่เป็นตัวแทนของเฟิ่งหลิงปอบ่อยที่สุดก็คือโซ่วเหนียนผู้เป็นพ่อบ้านตระกูลเฟิ่ง หรือก็คือผู้ที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้
ทั้งสองประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงเลยว่าพ่อบ้านของเฟิ่งหลิงปอจะมาด้วยตัวเอง
พอเห็นพวกเขามากันแล้ว โซ่วเหนียนยิ้มให้เล็กน้อย กุมกระบี่ประสานมือเอ่ยทักทาย “บ่าวชราคารวะท่านอ๋อง คารวะท่านหลาน ท่านนี้คาดว่าคงเป็นท่านหญิง บ่าวชราคารวะท่านหญิง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า