ตอนที่ 50 หลานรั่วถิงทำร้ายข้าเสียแล้ว
เขาเกือบหลุดอาละวาดด้วยความขาดสติ เรื่องนี้เหลวไหลจนเกินจะทนรับไหว เขาโมโหจนแทบคลั่งแล้ว
ว่ากันตามปกติแล้ว ฝ่าซือติดตามเองก็นับว่าเป็นลูกน้องเช่นกัน ถึงแม้สถานการณ์ของฝ่าซือติดตามคนนี้จะค่อนข้างแตกต่างออกไป เนื่องจากความสามารถมีจำกัดจึงไม่สามารถควบคุมอะไรเขาได้ ผูกมัดเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่หากว่ากันตามสถานะในฉากหน้าแล้ว เคยเห็นลูกน้องเช่นนี้หรือไม่เล่า? ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะกล้าดีช่วยทาบทามเรื่องวิวาห์ให้เจ้านายโดยพลการ เรื่องใหญ่ขนาดนี้กลับไม่บอกกันเลยสักคำ แตกต่างอันใดกับการเอานายไปเร่ขายเล่า?
ในที่สุดองครักษ์คนนั้นก็เข้าใจแล้ว ที่แท้ท่านอ๋องไม่รู้เรื่องนี้เลยจริงๆ!
หลานรั่วถิงลูบเคราอย่างเงียบๆ จากนั้นโบกมือเพื่อบอกองครักษ์นายนั้นให้ถอยออกไปก่อน ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ท่านอ๋องใจเย็นก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้เกรงว่าคงเกี่ยวข้องกับเรื่องหยิบยืมกำลังทหารพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางซูชิงก็พยักหน้าเล็กน้อยเช่นกัน เอ่ยเสริมว่า “เสด็จพี่ ท่านอาจารย์พูดมีเหตุผล การสู่ขอและการยืมกำลังทหารหาได้ขัดแย้งกันไม่ ในทางกลับกัน มันอาจจะมีประโยชน์เสียด้วยซ้ำ จำได้หรือไม่ว่าก่อนออกเดินทางเขาเคยบอกว่าเสด็จพี่อาจได้รับความลำบากใจอยู่บ้าง? บางทีคงหมายถึงเรื่องนี้!”
ซางเฉาจงพยายามสงบอารมณ์ลงอย่างสุดกำลัง ค่อยๆ ข่มสีหน้าโกรธเกรี้ยวลง พอมีสติขึ้นมาเล็กน้อยก็เอ่ยเสียงเข้มว่า “เฟิ่งรั่วหนานเป็นหนึ่งในแม่ทัพเอกของเฟิ่งหลิงปอ ไหนเลยจะปล่อยให้ออกเรือนส่งเดชได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกเรือนกับข้าเลย ไปสู่ขอธิดาของเขาแล้วยังจะขอยืมกำลังทหารอีก พวกเจ้าคิดว่าจะเป็นไปได้หรือ?”
เรื่องนี้ทำให้ทั้งสองรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ไปสู่ขอบุตรสาวของเขาเพื่อขอยืมกำลังทหาร อีกทั้งเฟิ่งหลิงปอเองก็มิใช่คนโง่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของซางเฉาจงเลย เฟิ่งหลิงปอจะยกบุตรสาวให้ออกเรือนกับซางเฉาจงได้อย่างไร? เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สองเรื่องมารวมกัน เช่นนั้นก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย เรื่องนี้ทำให้พวกเขาสับสนงุนงงนัก
ซางซูชิงใคร่ครวญดูจากนั้นเอ่ยว่า “ว่ากันตามหลักแล้ว เฟิ่งหลิงปอไม่มีทางยกบุตรสาวให้ออกเรือนกับเสด็จพี่แน่นอน แต่หากมองจากคนที่ถูกส่งมาจากทั้งสองด้านแล้ว แม้แต่พ่อบ้านของตระกูลเฟิ่งก็ยังมาด้วยตัวเอง คล้ายว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นไปได้จริงๆ”
หากเป็นไปไม่ได้ก็ค่อยยังชั่ว แต่สิ่งที่ซางเฉากลัวหวาดกลัวก็คือการที่เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ นี่มิใช่เรื่องตลกเลย เขากัดฟันกล่าว “พวกเจ้ามีใครเคยพบเฟิ่งรั่วหนานหรือยัง? ได้ยินว่าสตรีนางนี้กำยำยิ่งกว่าบุรุษเสียอีก ไม่ทราบเช่นกันว่าจริงหรือเท็จ”
หลานรั่วถิงยิ้มแห้งๆ แวบหนึ่ง ซางซูชิงเอ่ยถามเสียงอย่างนุ่มนวลว่า “เสด็จพี่ รูปลักษณ์ภายนอกสำคัญมากจริงๆ หรือเพคะ?”
“…..” ซางเฉาจงผงะไป รีบเอ่ยแก้ตัวว่า “ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ข้าแค่รู้สึกว่าเฟิ่งหลิงปอไม่มีทางตอบตกลงแน่” เขาตำหนิตัวเองอยู่ในใจ กล่าวโทษที่ตนพูดจาแบบนั้นโดยลืมนึกถึงความรู้สึกของน้องสาวไป เพราะว่ารูปโฉมของน้องสาวก็…
เดาไปเดามาก็ยังคาดเดาความจริงไม่ออกอยู่ดี ดังนั้นทั้งสามจึงตัดสินใจเดินทางไปยังตัวเมืองจังหวัดกว่างอี้เพื่อค้นหาความจริง
กำลังทหารมารวมตัวกัน หลังจากทั้งหมดกล่าวอำลาหน้าหลุมฝังศพแล้ว พวกเขาก็เดินทางออกไปจากภูเขาพร้อมกับพวกโซ่วเหนียน มุ่งหน้าไปตามถนนหลวง ควบม้าจากไป
ระหว่างทาง ซางเฉาจงมีสภาพห่อเหี่ยว อันที่จริงเขาไม่ได้ใส่ใจรูปลักษณ์ภายนอกของเฟิ่งรั่วหนานเลยจริงๆ แต่แน่นอน หากจะแต่งงานจริงๆ มีผู้ใดบ้างที่ไม่อยากได้ภรรยางดงามอ่อนหวาน ที่สำคัญคือเขารู้ตัวดีว่าเมื่อมาถึงจุดนี้เขาไม่มีสิทธิ์เลือกจุกจิกแล้ว ขอเพียงทำให้ทุกคนสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ทำให้ทุกคนมีหนทางรอด ทำให้ทุกคนมีอนาคตที่สดใส ตัวเขาจะเป็นอย่างไรนั้นไม่สำคัญเลย เขาเลิกเพ้อฝันถึงเรื่องรักใคร่ชายหญิงไปนานแล้ว
พอความโกรธเกรี้ยวเลือนหายไป เขาสงบสติอารมณ์พลางใคร่ครวญดู ตอนนี้เขากลับหวังว่าหนิวโหย่วเต้าจะไม่ทำให้เขาต้องผิดหวัง ขอเพียงงานใหญ่สำเร็จลุล่วง ต่อให้ต้องแต่งกับนางยักษ์ร้ายเขาก็ยินดี!
ท่ามกลางเสียงฝีเท้าม้าที่ดังก้อง ซางซูชิงที่นั่งกระดอนขึ้นลงอยู่บนหลังม้าหันไปมองพี่ชายผู้มีสีหน้าหดหู่อยู่เป็นระยะ
นางก็เข้าใจดีเช่นกัน หากเฟิ่งรั่วหนานเป็นอย่างที่ร่ำลือกันจริงๆ หากว่ากันตามฐานะของพี่ชายแล้ว มันก็นับเป็นการทำให้เขาลำบากใจจริงๆ ทว่านางมิได้เกลี้ยกล่อม แล้วก็มิได้กล่าวปลอบโยน ยิ่งไม่ได้แสดงความเห็นใจใดๆ เพราะว่านางรู้ดีว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเธอสองพี่น้องไม่มีทางเลือกมากนัก เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วก็มิใช่เพียงเรื่องของพวกเธอสองพี่น้องอีกต่อไป ผู้ติดตามเหล่านี้ล้วนฝากฝังชีวิตเอาไว้กับพวกเธอสองพี่น้อง มิใช่ชาวบ้านธรรมดาอีกต่อไป เกียรติยศศักดิ์ศรีส่วนตัวไม่มีความหมายอันใดแล้ว อย่าว่าแต่ให้พี่ชายแต่งกับเฟิ่งรั่วหนานเลย ต่อให้เฟิ่งหลิงปออยากได้นางเป็นอนุ นางก็ต้องกัดฟันยอมรับเช่นกัน จนปัญญาที่ใบหน้าอัปลักษณ์ของนางเป็นดั่งยันต์กันภัย เพียงเลิกม่านแพรขึ้นก็ทำให้คนตกใจได้ คาดว่าคงไม่มีชายใดต้องตาตนแน่!
โซ่วเหนียนผู้รับหน้าที่คุ้มกันหันกลับไปมองเหล่าสมณะยี่สิบรูปที่ติดตามอยู่ท้ายขบวนเป็นครั้งคราว สมณะทุกรูปเปลี่ยนมาสวมชุดลำลองและหมวกผ้าสักหลาดปกปิดศีรษะล้านเลี่ยนไว้ แต่ละรูปต่างแบกห่อคัมภีร์เล็กบ้างใหญ่บ้างเอาไว้ เขาเองก็ฉงนเช่นกัน ซางเฉาจงพาสมณะกลุ่มนี้ไปด้วยทำไม?
เมื่อเดินทางกันมาได้ครึ่งทาง ก็ได้พบกับทหารม้าเกราะเหล็กห้าร้อยนายที่จังหวัดกว่างอี้ส่งมาเป็นกองหนุน ทั้งสองฝ่ายรวมตัวกันกลายเป็นขบวนทหารม้าที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
โซ่วเหนียนสังเกตเห็นแล้วว่าระหว่างทางมีลูกน้องของซางเฉาจงพุ่งออกมาจากป่าเขาสองข้างทางเข้าร่วมขบวนทีละคนสองคนเป็นระยะๆ
เห็นได้ชัดว่าความเร็วของขบวนนี้ไม่อาจเทียบกับตอนขามาที่โซ่วเหนียนแวะผลัดเปลี่ยนพาหนะตามจุดพักม้าได้
ย่ำค่ำแล้ว โคมไฟในจวนผู้ว่าการถูกจุดขึ้น หลังจากหนิวโหย่วเต้าได้รับสารด่วน จึงทราบว่าขบวนของซางเฉาจงจะมาถึงตัวจังหวัดในอีกสองชั่วยามให้หลัง เขาตัดสินใจไปคอยอยู่ที่ประตูเมืองล่วงหน้า เรื่องบางเรื่องอธิบายกับพวกซางเฉาจงให้กระจ่างตั้งแต่นอกจวนผู้ว่าการจะดีกว่า หากว่าซางเฉาจงค้านหัวชนฝาขึ้นมา เขาต้องคิดหาทางเอาตัวรอด การถูกคุมตัวไว้ในจวนผู้ว่าการที่มียอดฝีมือมากมายหลบหนีได้ลำบาก
เขาให้คนไปแจ้งต่อทางเฟิ่งหลิงปอ การที่ฝ่าซือติดตามจะไปรอต้อนรับเจ้านายของตนนับเป็นเรื่องเหมาะสม เฟิ่งหลิงปอจึงมิได้ขัดขวางเขา
เมื่อได้รับอนุญาต หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังเพิ่งก้าวพ้นเรือนรับรอง ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งขวางทางไว้ พอดูให้ชัดก็พบว่ามิใช่ใครอื่น เป็นเผิงอวี้หลานที่พาคนมาขวางทางไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า