ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 51

สรุปบท ตอนที่ 51 แบบนี้ก็ได้หรือ?: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 51 แบบนี้ก็ได้หรือ? – ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet

บท ตอนที่ 51 แบบนี้ก็ได้หรือ? ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 51 แบบนี้ก็ได้หรือ?

ตัวเมืองจังหวัดกว่างอี้ นอกเมืองมีสะพานแขวนข้ามคูเมืองอยู่ ประตูเมืองจะเปิดก่อนฟ้าสาง จากนั้นปล่อยสะพานแขวนลงมาให้ประชาชนได้ใช้สัญจร พอฟ้ามืดก็จะดึงสะพานขึ้นแล้วปิดประตูเมือง หากเดินทางเข้าออกเมืองไม่ทันตามเวลาปิดประตูเมือง เช่นนั้นก็จะต้องค้างคืนในเมือง หรือไม่ก็พักแรมนอกเมือง ประชาชนทั่วไปไม่มีสิทธิ์ขอผ่อนปรน

ได้ยินว่าในสมัยที่แคว้นอู่รวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง ประตูเมืองแทบจะเปิดไว้ทั้งวันทั้งคืน ยามนี้ใต้หล้าต่อสู้ชิงอำนาจ โดยเฉพาะจังหวัดกว่างอี้ที่ก่อตั้งกองกำลังส่วนตัวขึ้นเช่นนี้ ไม่มีทางได้เห็นสถานการณ์ที่เปิดประตูเมืองทิ้งไว้ทั้งคืนอีกแน่นอน

นอกตัวเมืองก็ใช่ว่าจะมืดมิดจนมองไม่เห็นสิ่งใด มีอ่างน้ำมันจุดไฟลุกโชนจัดวางไว้เป็นระยะ แสงเพลิงเจิดจ้า ป้องกันมิให้มีผู้ใดเข้ามาใกล้โดยที่คนในเมืองมองไม่เห็น นอกเมืองมีทหารยามกลุ่มเล็กๆ ประจำการอยู่ รับผิดชอบหน้าที่เติมเชื้อเพลิง ในช่วงกลางคืนทหารยามด้านนอกจะโดยสารตะกร้าชักรอกเพื่อเดินทางเข้าออก

หนิวโหย่วเต้าต้องการมารอรับซางเฉาจง ไป๋เหยาย่อมพาหนิวโหย่วเต้าไปรอบนกำแพงเมือง

ไป๋เหยามองเห็นหนิวโหย่วเต้าเหลียวซ้ายแลขวา คล้ายจะสนใจการจัดวางแนวป้องกันนอกตัวเมืองยิ่งนัก แม้จะทราบดีว่าไม่สมควรคิดเช่นนี้ ทว่าไป๋เหยาก็ยังรู้สึกคลางแคลงสงสัยว่าเขาจะเป็นไส้ศึกที่ฝ่ายไหนส่งมาสืบความลับทางการทหารหรือไม่ แต่เขาไม่ได้รู้เลยว่าหนิวโหย่วเต้าที่เคยเป็น ‘นักโบราณคดี’ ผู้นี้เพียงแค่สนใจในรูปแบบการวางแนวป้องกันในยามราตรีของยุคโบราณเช่นนี้เท่านั้น เนื่องจากของบางสิ่งได้สูญสลายไปตามกาลเวลา ไม่ว่านักโบราณคดีจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางได้เห็นมันอีก

อย่าว่าแต่หนิวโหย่วเต้าเลย กระทั่งหยวนกังก็ยังรู้สึกสนใจอย่างมากเช่นกัน เขาติดตามหนิวโหย่วเต้ามานานหลายปี ย่อมติดนิสัยจากการทำงานมาบ้างไม่มากก็น้อย

พวกเขารอคอยกันเช่นนี้ รอกันจนถึงช่วงกลางดึก บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไปถึงได้มีแสงคบเพลิงเป็นกลุ่มเป็นก้อนปรากฏขึ้นมา ดึงดูดความสนใจของทหารยามเฝ้าเมือง ความวุ่นวายบนกำแพงเมืองทำให้พวกหนิวโหย่วเต้าที่พักผ่อนอยู่ในป้อมปราการบนกำแพงเมืองรู้ตัว ทุกคนต่างเดินออกมาจากป้อมปราการมามองดู

รออยู่ไม่นานนัก ทหารม้านับพันนายมุ่งหน้าเข้ามา เป็นขบวนทหารคุ้มกันคณะซางเฉาจงที่เดินทางมาถึง พวกซางเฉาจงที่เงยหน้าขึ้นมามองเห็นหนิวโหย่วเต้าที่ยืนโบกมือทักทายอยู่ข้างคบเพลิงบนกำแพงเมือง ซ้ำยังมีหยวนกังที่ติดตามอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ ดั่งเงาตามตัว เขามักจะมีท่าทีเย็นชาอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นหนิวโหย่วเต้าอยู่ที่นี่ พวกเขาก็รู้สึกเบาใจขึ้นไม่น้อย

คนที่อยู่ด้านบนและด้านล่างกำแพงเมืองต่างพิสูจน์ยืนยันตัวแล้วว่าเป็นพวกเดียวกัน เมื่อได้รับคำสั่งจากเบื้องบน ทหารจึงปล่อยสะพานแขวนลง เปิดประตูเมืองให้ทั้งขบวนได้เข้ามาในเมือง

เมื่อทั้งขบวนเข้ามาเรียบร้อยแล้ว ประตูเมืองจึงปิดลง สะพานแขวนถูกดึงขึ้นอีกครั้ง

ในที่สุดหนิวโหย่วเต้าที่ลงมาจากกำแพงเมืองก็ได้พบกับพวกซางเฉาจง ต่างฝ่ายต่างประสานมือเอ่ยทักทายกัน

“เต้าเหยี่ย!” เมื่อได้ยินพวกซางเฉาจงเรียกขานหนิวโหย่วเต้าเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นไป๋เหยาหรือโซ่วเหนียนก็ล้วนแต่รู้สึกประหลาดใจยู่บ้าง

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ท่านผู้ว่าการได้จัดเตรียมคฤหาสน์หลังหนึ่งไว้ให้คณะของท่านอ๋องเข้าพำนักชั่วคราวแล้วพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยไปพบท่านผู้ว่าการกันก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ” เขาขยิบตาส่งสัญญาณ

พวกซางเฉาจงมีคำถามมากมายนัก แต่พอเห็นสัญญาณจากหนิวโหย่วเต้าก็ทราบว่าไม่เหมาะพูดคุยกันต่อหน้าผู้อื่น

ทั้งขบวนขึ้นม้าอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์แห่งหนึ่งโดยมีพวกโซ่วเหนียนคอยนำทางให้ สถานที่กว้างขวาง เพียงพอให้ซางเฉาจงและผู้ติดตามอีกหลายร้อยคนเข้าพักอาศัย

เมื่อโซ่วเหนียนพาคนมาส่งถึงที่เรียบร้อยก็ขอตัวลา ภารกิจของเขาเสร็จสิ้นแล้ว

กององครักษ์ของซางเฉาจงเข้ารับช่วงดูแลคฤหาสน์ทันที พลันกระจายตัวออกตรวจค้น มิใช่เพราะไม่ไว้ใจเฟิ่งหลิงปอ หากแต่เป็นเรื่องจำเป็นที่พวกเขาทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว

เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร เหล่าองครักษ์จึงแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ ที่ควรพักก็ไปพัก ที่ควรเผ้ายามก็ไปเฝ้ายาม ที่ควรลาดตระเวนก็ไปเดินลาดตระเวน

แกนนำหลักอย่างพวกซางเฉาจงเข้าไปในเรือนหลัก แม้จะเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล ทว่ากลับไม่มีอารมณ์อยากพักผ่อนแม้แต่น้อย สั่งการให้เหล่าองครักษ์เฝ้าระวังรอบด้านห้ามมิให้มีคนนอกเข้ามาใกล้

หนิวโหย่วเต้าทราบดีว่าคนกลุ่มนี้มีเรื่องอยากถามตน พอเข้ามาในห้องรับแขก ซางเฉาจงก็รีบกล่าวถามอย่างร้อนใจทันที “เต้าเหยี่ย ได้ยินว่าท่านทาบทามเรื่องวิวาห์ให้ข้ากับเฟิ่งรั่วหนาน มิทราบว่าจริงหรือเท็จ?”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าตอบรับอย่างจริงใจ “ถ้าไม่มีเรื่องไม่คาดคิดอันใดเกิดขึ้น เรื่องวิวาห์นี้น่าจะเป็นที่แน่นอนแล้ว ตามความเห็นของกระหม่อม เฟิ่งหลิงปอกำลังร้อนใจ ไม่มีทางถ่วงเวลาแน่ คาดว่าท่านอ๋องคงจะได้วิวาห์กับเฟิ่งรั่วหนานอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่วันนี้ ” พูดจบก็ประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องล่วงหน้าพ่ะย่ะค่ะ!”

เมื่อได้รับคำยืนยันแล้ว หลานรั่วถิงและซางซูชิงต่างมองกันไปมองกันมา จากนั้นก็มองดูปฏิกิริยาของซางเฉาจงพร้อมกัน

ซางเฉาจงมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เขาเอ่ยถามว่า “เต้าเหยี่ย เรื่องใหญ่ขนาดนี้เหตุใดจึงไม่หารือกับข้าก่อน?”

หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “เฮ้อ สถานการณ์บีบบังคับ เฟิ่งรั่วหนานคนนั้นรูปโฉมไม่นับว่างดงาม กระหม่อมจึงกลัวพระองค์จะคิดไม่ตก ท่านอ๋อง ฝืนใจหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางซูชิงนึกในใจถ้าหากเช่นนี้มิใช่การหลอกลวงแล้วจะเป็นอะไรได้อีก? แต่ในฉากหน้านางยังคงโบกมือกล่าวว่า “เต้าเหยี่ยเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้มีเจตนาเช่นนี้”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยตอบ “กระหม่อมทราบว่าพระองค์มิได้มีเจตนาเช่นนี้ กระหม่อมเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องอธิบายเลยพ่ะย่ะค่ะ! ท่านหญิง นี่มิได้เรียกว่าหลอกลวง แต่เรียกว่ากลยุทธ์ พระองค์เคยเห็นหัวขโมยสักกี่คนที่ไม่ยอมลงมือลักทรัพย์เพียงเพราะกลัวถูกจับได้พ่ะย่ะค่ะ? ใต้หล้าโกลาหลวุ่นวาย ผู้คนหลากหลายรูปแบบ ทุกคนล้วนต้องการตั้งหลักปักฐานในโลกหล้า ด้วยเหตุนี้จึงต้องแสดงฝีมือสารพัด งัดความสามารถต่างๆ ออกมา หากไม่ยอมเริ่มออกเดินก้าวแรก มัวแต่กังวลว่าเรือจะพลิกคว่ำ เช่นนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว! ลองคิดกลับกันดูถ้าเฟิ่งรั่วหนานกลายเป็นภรรยาของท่านอ๋อง จะเป็นอย่างไรต่อ เฟิ่งหลิงปอจะฆ่าลูกเขยทำให้ลูกสาวกลายเป็นหม้ายได้ลงคอจริงๆ น่ะหรือ อีกอย่าง ขอเพียงได้ทหารมาครอง มีสถานที่ให้ปักหลักมั่นคง มีช่องทางให้ขยับขยาย พวกเราต่างยังมีชีวิตอยู่ เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ย่อมคิดหาทางแก้ปัญหาได้มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ? ทหารที่หยิบยืมมาจะกลายเป็นทหารของพวกเราเองในไม่ช้าก็เร็ว ส่วนทางนี้ เฟิ่งหลิงปอเองก็เป็นหุ่นเชิดเช่นกัน ว่ากันตามจริงแล้วสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจน่าจะขึ้นอยู่กับสำนักหยกสวรรค์ สรุปคือ ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องมาดูกันว่าท่านอ๋องจะมีประโยชน์ต่อสำนักหยกสวรรค์หรือไม่ ขอเพียงยังมีประโยชน์ ต่อให้ทราบว่ากาทมิฬแสนตัวที่บอกกับพวกเขาไปไม่มีอยู่จริงแล้วอย่างไรเล่า? พวกเขาไม่มีทางตัดขาดกับท่านอ๋องอยู่ดี! ว่ากันอย่างถึงที่สุดแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านอ๋องเองว่าจะทำให้คนเขาเห็นค่าได้หรือไม่ มิเช่นนั้นต่อให้นำกาทมิฬแสนตัวมาให้อีกฝ่ายได้ แต่หากท่านอ๋องไม่มีประโยชน์พอก็คงไปไหนไม่รอดอยู่ดี ท่านหญิง กาทมิฬแสนตัวเป็นเพียงกลยุทธ์แลกเปลี่ยนกำลังทรัพย์เท่านั้น พระองค์ไม่จำเป็นต้องพะวงถึงเรื่องที่ว่าภายหน้าจะหากาทมิฬแสนตัวมาให้ไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ คิดเพียงว่าจะนำทุนรอนที่หยิบยืมมาก้อนนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างไรให้งอกเงยขึ้นมาจะดีกว่า พยายามมองตรงไปเบื้องหน้า เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ! ท่องม้าไปทั่วหล้า ลมก็ดีฝนก็ช่าง ไม่อาจหยุดยั้งได้ หากทหารมาก็ใช้ขุนพลต้านรับ หากน้ำมาก็ใช้คันดินกั้น[1] มีอันใดต้องกลัวกันพ่ะย่ะค่ะ?”

มุมมองนี้แปลกแยกแหวกแนวยิ่ง ทว่าทำให้คนทั้งสามรู้สึกตาสว่างขึ้นมาในทันใด ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ แต่พอใคร่ครวญดูก็สมเหตุสมผลจริงๆ ฟังแล้วปลอดโปร่งนัก แล้วก็ทำให้ทั้งสามพลันเกิดความมั่นใจอันแรงกล้าขึ้นมา

“เต้าเหยี่ยหลักแหลมนัก ซูชิงได้รับการสั่งสอนแล้ว!” ซางซูชิงประสานมือคำนับด้วยความเคารพนอบน้อม ดวงตาที่อยู่หลังม่านแพรเหลือบมองไปทางหยวนกังแวบหนึ่ง นึกถึงคำเตือนของหยวนกังในครานั้นอีกครั้ง ‘สำหรับสถานการณ์ของพวกท่าน ตัวของเต้าเหยี่ยมีค่ากว่าสภาวะของเขามากนัก!’

ซางเฉาจงมองหนิวโหย่วเต้าด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิม มีความเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมา!

หลานรั่วถิงกลับลอบยิ้มเฝื่อนๆ มิน่าเล่าคนผู้นี้ถึงหลอกล่อเฟิ่งหลิงปอให้ยอมยกบุตรสาวให้ได้ ฝีปากนี้ช่างคมกล้านัก พูดจาฉะฉานกลับเท็จเป็นจริงได้!

“มิได้หลักแหลมอันใดเลย เพียงอยู่กับความเป็นจริงเท่านั้น เอาล่ะ ท่านอ๋อง พวกเรามาพูดคุยถึงปัญหาที่แท้จริงที่เราต้องเผชิญกันดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” หนิวโหย่วเต้าโบกมือให้ซางซูชิง ยกกำปั้นจ่อปากกระแอมคราหนึ่ง สอดมือควานไปในแขนเสื้อ ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา ยื่นให้ซางเฉาจง “นี่คือค่าใช้จ่ายในการดำเนินเรื่องครานี้ ท่านอ๋องคิดหาทางจัดการหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ซางเฉาจงรับไปกางอ่าน หลังอ่านจบก็เงยหน้าเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยความสงสัย “ท่านไปยืมเงินเฟิ่งรั่วหนานมาหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบอืมคำหนึ่ง “ยืมมาหนึ่งหมื่นเหรียญทอง เดิมทีอีกฝ่ายต้องการดอกเบี้ยอีกแสนเหรียญทอง กระหม่อมคิดหาวิธีช่วยลดดอกเบี้ยให้ท่านอ๋องอย่างเต็มที่แล้ว คืนแค่เงินต้นหนึ่งหมื่นเหรียญทองก็พอพ่ะย่ะค่ะ”

นี่มันเรื่องอะไรกัน? หลานรั่วถิงและซางซูชิงล้วนอยากทราบเนื้อความบนกระดาษยิ่งนัก ต่างหยิบไปอ่านดูคร่าวๆ แวบหนึ่ง ถึงได้พบว่าเป็นสัญญาเดิมพันฉบับหนึ่ง

…………………………………………………………………………

[1] หมายถึง ไม่ว่าปัญหาจะถาโถมเข้ามาในรูปแบบไหนก็พร้อมรับมือไปตามสถานการณ์

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า