ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 52

ตอนที่ 52 เรียนผูกแต่ไม่เรียนแก้!

ค้างหนี้เดิมพันหนึ่งหมื่นเหรียญทองยังพอว่า แต่ประเด็นสำคัญคือพวกเขาพอจะนึกอะไรออกแล้ว พวกเขานึกถึงตอนที่ทหารองครักษ์กลับมารายงานข่าว ทหารองครักษ์เคยบอกว่าหนิวโหย่วเต้าขนเหรียญทองหนึ่งหีบออกมาจากค่ายทหารของเฟิ่งรั่วหนาน…

ทั้งสามคิดไปคิดมาก็ไม่กล้าคิดต่อแล้ว หรือว่าเงินที่ใช้ซื้อสินสอดจะหยิบยืมมาจากเฟิ่งรั่วหนาน?

แต่ละคนเบิกตากว้างจ้องมองหนิวโหย่วเต้า หนิวโหย่วเต้าถูกทั้งสามจ้องมองจนรู้สึกกระดากขึ้นมา เขาฝืนยิ้มพลางเอ่ยว่า “พวกพระองค์มองกระหม่อมแบบนี้ทำไม? กระหม่อมลำบากวิ่งเต้นลงแรง เป็นท่านอ๋องที่ได้รับผลประโยชน์ พวกพระองค์คงไม่คิดจะให้กระหม่อมชดใช้เงินใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

ไม่เกี่ยวกับเรื่องชดใช้เงินเลย ซางเฉาจงเอ่ยถามด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย “เต้าเหยี่ย ท่านยืมเงินจำนวนนี้มาทำอะไร?”

หนิวโหย่วเต้าแบสองมือออก “ยังจะทำอันใดได้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ? ก็ย่อมต้องนำมาจัดซื้อสินสอดสู่ขอให้ท่านอ๋องน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋องโปรดวางใจ เงินนี้กระหม่อมไม่ได้ยักยอกไปแม้แต่เหรียญเดียว จับจ่ายซื้อสินสอดอะไรไปบ้างองครักษ์เหล่านั้นต่างจดบัญชีไว้อย่างละเอียด กระหม่อมไม่มีทางยักยอกเงินเพียงเท่านี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

“….” ทั้งสามตะลึงตาค้าง พูดอะไรไม่ออกแม้แต่นิดเดียว พวกเขาไม่อยากยอมรับจุดประสงค์ในการใช้เงินนี้เลยจริงๆ เจ้ายืมเงินเฟิ่งรั่วหนานมาซื้อสินสอดไปสู่ขอเฟิ่งรั่วหนานกับทางบ้านของเฟิ่งรั่วหนานอย่างนั้นหรือ? ทำไมถึงได้ทำอะไรวกไปวนมาเช่นนั้น! เรื่องนี้มันออกจะเกินเลยไปหน่อยแล้วกระมัง คนเราต่อให้ยากจนแค่ไหนก็ไม่ควรทำเรื่องน่าละอายเช่นนั้นเลย!

ความรู้สึกของคนทั้งสามเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ ถือกำเนิดในจวนหนิงอ๋องสูงศักดิ์ ต่อให้ตกอับแค่ไหน เนื้อในก็ยังเป็นผู้ดีอยู่ ต่อให้ยากจนข้นแค้นขนาดไหนก็ไม่มีทางไปทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้

ซางเฉาจงสายตาพร่าเลือนขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกคล้ายจะเป็นลม เพื่อการใหญ่แล้ว ต่อให้ต้องแต่งกับเฟิ่งรั่วหนานเขาก็ยอม แต่หากแต่งเฟิ่งรั่วหนานด้วยวิธีการเช่นนี้จริงๆ แล้วต่อไปเขาจะเผชิญหน้ากับเฟิ่งรั่วหนานได้อย่างไร!

ซางเฉาจงใกล้จะร้องไห้แล้วจริงๆ เอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “เต้าเหยี่ย ในเมื่อท่านต้องการให้ข้าแต่งกับเฟิ่งรั่วหนาน แล้วเหตุใดถึงไปยืมเงินเฟิ่งรั่วหนานมาซื้อสินสอดเล่า?”

หนิวโหย่วเต้าลนลานเอ่ยไปว่า “ก็กระหม่อมขอเงินหมื่นเหรียญทองจากพระองค์แล้ว พระองค์บอกว่ายากไร้ บอกว่าพระองค์หาให้ไม่ได้ กระหม่อมก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งลงเขามา จะเอาเงินหมื่นเหรียญทองจากไหนมาสำรองจ่ายให้พระองค์ไปก่อนล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางเฉาจงแทบจะร้องคร่ำครวญออกมา “แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปยืมเงินนางเลยนี่!”

หนิวโหย่วเต้าจ้องมองพลางกล่าวว่า “ท่านอ๋อง พระองค์ไม่มาเป็นกระหม่อมก็พูดได้สิพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่คุ้นเคยกับสถานที่และผู้คน ทางนี้ก็มีเพียงเฟิ่งรั่วหนานที่พอจะรู้จักกันอยู่บ้าง หากมาถึงจังหวัดกว่างอี้ ไม่ให้กระหม่อมไปยืมนางแล้วจะให้ไปยืมผู้ใดล่ะพ่ะย่ะค่ะ? ถ้าไปหาคนอื่น ผู้ใดจะรู้จักกระหม่อมล่ะพ่ะย่ะค่ะ! เงินหมื่นเหรียญทองมิใช่จำนวนน้อยๆ ถ้าไปหาคนอื่น กระหม่อมบอกว่าขอยืมเงินแล้วคนอื่นเขาจะให้กระหม่อมยืมหรือพ่ะย่ะค่ะ? แน่นอน หากไปหาคนอื่นก็ใช่ว่าจะหาวิธีเอาเงินหมื่นเหรียญทองนี้มาไม่ได้ ไปสืบหาบ้านคหบดีสักคน แล้วไปปล้นไปชิงเอาคงจะเร็วที่สุด แต่พวกเรามาเยือนจังหวัดกว่างอี้เพราะเรื่องงาน มิได้มาเพื่อสร้างปัญหาในจังหวัดกว่างอี้ คหบดีเหล่านั้นสามาถยืนหยัดอยู่ในโลกอันโกลาหลวุ่นวายได้ ใครไปรู้ล่ะว่าจะมีเบื้องหลังเป็นอย่างไรบ้าง ใครจะไปรู้ล่ะว่าคนที่รักษาความปลอดภัยของอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน บุ่มบ่ามลงมือไปจะเหมาะหรือพ่ะย่ะค่ะ? หากรอให้กระหม่อมสืบเรื่องราวเหล่านี้จนกระจ่างแล้วค่อยลงมือ ใครจะรู้ว่าเฟิ่งหลิงปอจะยังอยู่ในตัวจังหวัดหรือไม่? เฟิ่งหลิงปอเองก็เป็นคนที่มีธุระมากมายต้องไปจัดการเช่นกัน ไม่มีทางเฝ้าอยู่แต่ในจวนผู้ว่าการรอให้กระหม่อมไปสู่ขอแน่ คนเขาจะมีธุระต้องไปๆ มาๆ บ้างก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของพวกเราทำให้ยากจะจับความเคลื่อนไหวของเขาได้ กว่ากระหม่อมจะได้เงินมา หากเขาออกไปข้างนอกไม่อยู่ในจังหวัดแล้ว เช่นนั้นเราก็ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวจะต้องล่าช้าไปจนถึงเมื่อไร ด้วยสถานการณของพวกเราในตอนนี้ยิ่งจัดการได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี ชักช้าไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”

วาจาอันสมเหตุสมผลนี้ทำให้ทั้งสามคนพูดไม่ออก ฟังดูคล้ายจะเป็นจริงดั่งว่า แต่เหตุใดถึงรู้สึกอับอายกันถ้วนหน้าเล่า แล้ววันพรุ่งนี้จะมีหน้าไปพบหน้าคนตระกูลเฟิ่งได้อย่างไร!

ซางเฉาจงเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ในเมื่อตัดสินใจจะใช้กาทมิฬแสนตัวเป็นข้ออ้าง อันที่จริงจะมอบสินสอดให้หรือไม่ก็มิใช่เรื่องใหญ่แล้ว สายตาเฟิ่งหลิงปอมิได้ตื้นเขินถึงขั้นจะมาใส่ใจกับสินสอดน้อยนิดเช่นนี้ ไม่ว่าเรื่องราวจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับสินสอดเหล่านี้ เช่นนั้นก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปหยิบยืมเงินเฟิ่งรั่วหนานมาเลย” คนที่ไม่มีหน้าจะไปพบคนตระกูลเฟิ่งที่สุดก็คือตัวเขา!

หนิวโหย่วเต้ากล่าวด้วยความแปลกใจ “ท่านอ๋อง พระองค์คิดว่ากระหม่อมอยากไปยืมเงินจำนวนนี้มาก่อเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ? ท่านอ๋อง ดีร้ายอย่างไรเฟิ่งหลงปอก็เป็นผู้ปกครองของจังหวัด เขาใช่คนที่ผู้ใดนึกอยากพบก็เข้าพบได้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ? ท่านอ๋อง สถานการณ์ของพระองค์เป็นอย่างไร พระองค์ย่อมรู้แจ้งแก่ใจดี เฟิ่งหลิงปอจะยอมข้องแวะกับพระองค์หรือพ่ะย่ะค่ะ? พระองค์คิดจริงๆ หรือว่าเรื่องวิวาห์ครานี้สามารถเจรจากันได้ง่ายๆ เพียงแค่พูดๆ ไปผู้อื่นก็ยอมยกบุตรสาวให้ออกเรือนกับพระองค์อย่างนั้นหรือ? ถ้าไม่สร้างเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นมา เฟิ่งหลิงปอจะยอมพบกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ? เกรงว่าขอเพียงกระหม่อมแจ้งว่าเป็นใครมาจากไหนก็คงจะถูกเขาไล่ตะเพิดออกจากเมืองแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ หรือจะให้กระหม่อมเล่าเรื่องกาทมิฬแสนตัวให้ใครสักคนฟังแล้วค่อยให้คนนำไปรายงานต่อ? เรื่องที่ไร้หลักฐานยืนยันเช่นนี้จะเอาไปพูดกับคู่สนทนาส่งเดชได้หรือ? อีกอย่างนะพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีเราก็จำเป็นต้องสร้างเรื่องให้ใหญ่โตอยู่แล้ว เพื่อให้เฟิ่งหลิงปอรู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางปกปิดไว้ได้ ต้องตัดความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะคิดไม่ซื่อกับพวกเราทิ้งไปให้หมด มิเช่นนั้นเวลานี้พวกเราล้วนอยู่ในอาณาเขตของเขา หากถูกเขาลงมือควบคุมตัวเอาไว้อย่างเงียบๆ เกรงว่าเราคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ร่ำไห้ ท่านอ๋อง กระหม่อมล้วนแต่หวังดีคิดเพื่อพระองค์ พระองค์จะใจร้ายละทิ้งกระหม่อมไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! พระองค์คงมิได้คิดจะให้กระหม่อมชดใช้เงินจำนวนนี้เองจริงๆ ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” ท่าทางเขาสื่อชัดเจนว่าเรื่องคืนเงินนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา สนแต่เพียงเรียนผูก แต่ไม่สนใจเรียนแก้!

“ข้า…” ซางเฉาจงอึกอักพูดไม่ออก คำพูดของอีกฝ่ายคล้ายสมเหตุสมผล พอลองคิดๆ ตามที่พูดมา ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะทุ่มเทใคร่ครวญเพื่อเขาจริงๆ แล้วเขายังจะพูดอันใดได้อีก?

ซางซูชิงกล่าวเสียงอ่อน “เสด็จพี่ เต้าเหยี่ยทำเต็มที่แล้ว เรื่องเงินจำนวนนี้พวกเราคิดหาทางใช้คืนเถิดเพคะ!”

หลานรั่วถิงยิ้มเจื่อน ซางเฉาจงเองก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างจนปัญญา ประเด็นสำคัญคือทางนี้ต่างทราบกันว่าหนิวโหย่วเต้าเป็นตัวแทนที่เขาส่งมาเพื่อสู่ขอให้เขา เขาจึงต้องเป็นคนคืนเงิน เขาเป็นคนแต่งจะให้คนอื่นมาออกเงินค่าสินสอดให้ก็คงไม่เข้าท่ากระมัง!

“ยังคงเป็นท่านหญิงที่ปราดเปรื่อง!” หนิวโหย่วเต้ายกนิ้วโป้งให้ซางซูชิงพลางกล่าวชมเชย

ซางซูชิงค้อมกายคำนับอีกครั้ง “เต้าเหยี่ยต้องเหน็ดเหนื่อยครุ่นคิดเช่นนี้ ลำบากท่านแล้ว”

“ไม่ลำบากเลย สมควรแล้ว สมควรแล้ว” หนิวโหย่วเต้ายิ้มแย้มพลางโบกมือ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ทว่ามีคำพูดที่ฟังดูไม่ดีบางอย่างที่กระหม่อมจำเป็นต้องพูดตรงๆ”

ทั้งสามคนจ้องมองเขาทันที มีเรื่องโผล่ออกมาอย่างต่อเนื่องจนพวกเขาเริ่มตามไม่ทันแล้ว ไม่รู้เลยว่าคนผู้นี้จะเผยเรื่องใดออกมาอีก

จนปัญญาที่ไม่สามารถอุดปากห้ามไม่ให้เขาพูดได้ ซางซูชิงทำได้เพียงเอ่ยเสียงอ่อนว่า “เชิญฝ่าซือว่ามาได้เลย!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ให้กระหม่อมลงแรงจัดการเรื่องราวน่ะไม่มีปัญหา กระหม่อมย่อมทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ มิหวาดกลัวจะถูกด่าทอ…ระหว่างพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมกันอีก กระหม่อมจะกล่าวตามตรงแล้วกัน กระหม่อมเพียงลงแรงทำงาน แต่ไม่ขอรับผิดชอบพ่ะย่ะค่ะ!”

คำพูดนี้ทำให้คนทั้งสามค่อนข้างกระสับกระส่าย แต่ละคนต่างมีคำถามในใจ มีเรื่องอะไรอีก!

ซางซูชิงถามหยั่งเชิง “ไม่ทราบว่า…เต้าเหยี่ยหมายถึงความรับผิดชอบอันใดหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าพยักเพยิดหน้าไปทางหลานรั่วถิง “ท่านหลาน อาจารย์ของท่านนามว่าลั่วเส่าฟูกระมัง?”

หลานรั่วถิงผงะไปแวบหนึ่ง พยักหน้ารับ “ถูกต้อง ลั่วเส่าฟูคือนามของท่านอาจารย์ข้า” ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย เหตุใดจึงโยงมาถึงอาจารย์ของตนด้วย? เขาคิดจะก่อบาปกรรมอันใดอีก แม้แต่คนตายก็ไม่ละเว้นเลยหรือ?

“ที่แท้ก็ใช่จริงๆ!” หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจคราหนึ่ง “ข้าทราบจากคำบอกเล่าของเฟิ่งหลงปอ ดูเหมือนเฟิ่งหลิงปอจะชื่นชมอาจารย์ท่านยิ่งนัก เอ่ยเยินยออาจารย์ท่านเสียยกใหญ่ ซ้ำยังถามข้าด้วยว่าแผนการสู่ขอในครั้งนี้ใช่ความคิดของท่านหลานหรือไม่…ตัวข้าอายุยังน้อย ไหล่ยังอ่อนอยู่ แบกรับอะไรไม่ไหว ดังนั้นข้าจึงยอมรับไปว่าเป็นแผนการของท่านหลาน คนเขาจึงชมเชยว่าศิษย์โดดเด่นเพราะมีอาจารย์ดี เช่นนั้นคงไม่ดีหากพวกเราพูดจากลับไปกลับมา เพราะแบบนั้นจะทำให้คนเขานึกสงสัยเอาได้ เกรงว่าต่อไปท่านคงต้องรับภาระมากขึ้นแล้ว”

หลานรั่วถิงงุนงงอยู่บ้าง คิดไปคิดมา ยังคงเอ่ยถามด้วยความกังขา “เรื่องนี้ไม่เห็นจำเป็นต้องรับผิดชอบอันใดเลย ไม่แน่อาจจะได้รับความชื่นชมจากเฟิ่งหลิงปอเสียด้วยซ้ำ ข้าจะรับเอาความดีความชอบของเต้าเหยี่ยมาได้อย่างไร?”

“เรื่องความดีความชอบน่ะช่างเถอะ ข้าจะเอาความดีความชอบไปทำอะไรได้ แต่ไรมาตัวข้าเป็นคนชอบอยู่เงียบๆ ไม่ชอบออกหน้า หวังว่าท่านหลานจะเข้าใจ!” หนิวโหย่วเต้าเกาจมูกขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “ใช่แล้ว เรื่องยืมเงินซื้อสินสอดนี้ย่อมเป็นความคิดของท่านหลานด้วยเช่นกัน หวังว่าท่านหลานจะรับผิดชอบให้ด้วย!”

“ห๊า!” หลานรั่วถิงตกใจจนหน้าถอดสี เบิกตากว้างจ้องมองเขา รู้สึก ‘ตกตะลึงที่ได้รับผลงานโดยไม่คาดฝัน’ เล็กน้อย เขาโอดครวญอยู่ในใจ เรื่องหน้าไม่อายเช่นนี้แม้แต่คนหน้าหนาอย่างเจ้าก็ยังอับอายที่จะแบกรับไว้ เลยบอกว่าเป็นความคิดของข้าสินะ?

สองพี่น้องซางเฉาจงและซางซูชิงต่างพูดไม่ออกเลย พอจะเข้าใจแล้ว มิน่าเล่าคนผู้นี้ถึงกล้าสร้างเรื่องสารพัด เพราะถึงเขาจะทำเรื่องเลวร้ายอย่างไร แต่หน้าที่รับผิดชอบล้วนตกเป็นของผู้อื่น เมื่อทำให้ตัวเองสะอาดเอี่ยมอ่องได้ แล้วจะมีอันใดที่เขาไม่กล้าทำเล่า ถึงอย่างไรก็มีคนรับผิดแทนอยู่แล้ว!

หลังจากประสบเรื่องนี้ ทั้งสามนับว่าได้รู้จักคนผู้นี้แล้ว หลานรั่วถิงคิดไม่ออกเลยว่าคนที่งามสง่าน่านับถืออย่างตงกัวเฮ่าหราน เหตุใดถึงเลือกรับศิษย์เช่นนี้ก่อนสิ้นใจ?

หยวนกังรู้จักเต้าเหยี่ยดี เขายืนอยู่ด้านข้างอย่างสงบนิ่ง คล้ายมิได้รู้สึกประหลาดใจในเรื่องนี้เลย

หลานรั่วถิงไม่รู้เลยว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขากลั้นใจพยักหน้ารับ นับว่าตอบตกลงแล้ว ที่สำคัญคือเขาจำเป็นต้องตอบตกลง คนเขาลำบากลำบนลงมือจัดการงานใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว ถ้าไม่ยอมช่วยรับผิดชอบให้ก็คงจะไร้เหตุผลเกินไป

อย่างไรก็ตาม หลานรั่วถิงค่อนข้างกังวลที่ต้องพบหน้าคนตระกูลเฟิ่งในวันพรุ่งนี้ ไม่รู้เลยว่าจะถูกอีกฝ่ายต้อนรับขับสู้เช่นไร

เมื่อไม่มีภาระต้องรับผิดชอบ หนิวโหย่วเต้ายิ้มกว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงหารือกับทั้งสามต่อว่าวันพรุ่งนี้ควรดำเนินการอย่างไรตอนที่ไปพบคนตระกูลเฟิ่งอย่างเป็นทางการ

ในส่วนของการเจรจาเรื่องวิวาห์กับตระกูลเฟิ่งย่อมต้องมอบหมายให้หลานรั่วถิง เรื่องนี้ไม่เหมาะให้ซางเฉาจงออกปากเจรจาเอง จะให้น้องสาวที่ยังไม่ออกเรือนไปเจรจาก็คงไม่เหมาะเช่นกัน เหลือเพียงหลานรั่วถิงที่เหมาะสมที่สุด ใช่ว่าจะให้หนิวโหย่วเต้าไปเจรจาไม่ได้ แต่ประเด็นคือเรื่องพิธีรีตองยิบย่อยประเภทนี้หนิวโหย่วเต้าคร้านจะใส่ใจ ในมุมมองของเขา สะพานก็สร้างไว้ให้พวกเจ้าแล้ว ทางก็ปูไว้ให้พวกเจ้าแล้ว หากยังเดินผิดทางอีก เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ หากขืนติดตามฝูงหมูไม่ช้าก็เร็วคงพลอยเดือดร้อนไปด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นเขาฉวยโอกาสเผ่นหนีก่อนจะดีกว่า

ดังนั้นเขาจึงขอตัวลาไปหาสถานที่พักผ่อน ทิ้งให้คนทั้งสามค่อยๆ ใช้เวลากันไป

“เต้าเหยี่ย ข้าจะไปส่งท่านเอง!” ซางซูชิงตามออกมา เดินไปส่งด้วยตัวเอง

การที่หนิวโหย่วเต้าจะได้รับเกียรติเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องสมควร เขาเองก็มิได้ปฏิเสธอะไร จะว่าไปแล้ว เขาเองก็เริ่มรู้สึกประทับใจในตัวสตรีอัปลักษณ์ผู้รู้ความคนนี้แล้ว จึงเอ่ยหยอกล้อไปเรื่อยว่า “กลางค่ำกลางคืนสวมหมวกม่านแพรเดินไปมา มองเห็นชัดเจนหรือพ่ะย่ะค่ะ? ระวังจะสะดุดล้มเอานะพ่ะย่ะค่ะ”

ซางซูชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนละมุน “ชินเสียแล้ว”

ถึงแม้วาจานี้จะเอ่ยออกมาด้วยความสุขุมเยือกเย็น ทว่าลึกลงไปคล้ายจะแฝงความขมขื่นเอาไว้เล็กน้อย ทำให้หนิวโหย่วเต้าละอายใจที่จะยกเรื่องนี้มาหยอกล้อนางเล่นอีก จึงเบี่ยงประเด็นไปว่า “ก่อนหน้านี้เห็นสมณะจากวัดหนานซานกลุ่มนั้นด้วย เหตุใดพวกพระองค์ถึงพามาด้วยล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางซูซิงเดินเนิบๆ อยู่ด้านข้าง เอ่ยตอบเสียงอ่อนหวาน “ก่อนที่เต้าเหยี่ยจะออกจากวัดหนานซานเคยกำชับว่า ต้องเก็บปีศาจหมีเอาไว้ เมื่อจากมาย่อมต้องนำมาให้เต้าเหยี่ยด้วย ทว่าปีศาจหมีตัวนั้นเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมจากมาเพียงลำพัง บอกว่าหากเขาจากไป อาศัยเพียงกำลังของเหล่าสมณะวัดหนานซานยากที่พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้ หากเหล่าสมณะผู้ศรัทธากลุ่มสุดท้ายของวัดหนานซานต้องแยกย้ายสลายตัวไป นั่นเท่ากับเขาได้ผิดต่อคำสั่งเสียก่อนสิ้นใจของอดีตเจ้าอาวาส สรุปคือเขาไม่ยอมจากมาเพียงลำพัง ต่อให้เอาดาบพาดคอก็ตาม ยืนยันว่าถึงตายก็ไม่ยอมทอดทิ้งสมณะกลุ่มนั้น พวกเราไม่มีทางเลือก ได้แต่ต้องพาพวกเขามาด้วย จะจัดการอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเต้าเหยี่ยแล้ว”

……………………………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า