ตอนที่ 52 เรียนผูกแต่ไม่เรียนแก้!
ค้างหนี้เดิมพันหนึ่งหมื่นเหรียญทองยังพอว่า แต่ประเด็นสำคัญคือพวกเขาพอจะนึกอะไรออกแล้ว พวกเขานึกถึงตอนที่ทหารองครักษ์กลับมารายงานข่าว ทหารองครักษ์เคยบอกว่าหนิวโหย่วเต้าขนเหรียญทองหนึ่งหีบออกมาจากค่ายทหารของเฟิ่งรั่วหนาน…
ทั้งสามคิดไปคิดมาก็ไม่กล้าคิดต่อแล้ว หรือว่าเงินที่ใช้ซื้อสินสอดจะหยิบยืมมาจากเฟิ่งรั่วหนาน?
แต่ละคนเบิกตากว้างจ้องมองหนิวโหย่วเต้า หนิวโหย่วเต้าถูกทั้งสามจ้องมองจนรู้สึกกระดากขึ้นมา เขาฝืนยิ้มพลางเอ่ยว่า “พวกพระองค์มองกระหม่อมแบบนี้ทำไม? กระหม่อมลำบากวิ่งเต้นลงแรง เป็นท่านอ๋องที่ได้รับผลประโยชน์ พวกพระองค์คงไม่คิดจะให้กระหม่อมชดใช้เงินใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
ไม่เกี่ยวกับเรื่องชดใช้เงินเลย ซางเฉาจงเอ่ยถามด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย “เต้าเหยี่ย ท่านยืมเงินจำนวนนี้มาทำอะไร?”
หนิวโหย่วเต้าแบสองมือออก “ยังจะทำอันใดได้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ? ก็ย่อมต้องนำมาจัดซื้อสินสอดสู่ขอให้ท่านอ๋องน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋องโปรดวางใจ เงินนี้กระหม่อมไม่ได้ยักยอกไปแม้แต่เหรียญเดียว จับจ่ายซื้อสินสอดอะไรไปบ้างองครักษ์เหล่านั้นต่างจดบัญชีไว้อย่างละเอียด กระหม่อมไม่มีทางยักยอกเงินเพียงเท่านี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“….” ทั้งสามตะลึงตาค้าง พูดอะไรไม่ออกแม้แต่นิดเดียว พวกเขาไม่อยากยอมรับจุดประสงค์ในการใช้เงินนี้เลยจริงๆ เจ้ายืมเงินเฟิ่งรั่วหนานมาซื้อสินสอดไปสู่ขอเฟิ่งรั่วหนานกับทางบ้านของเฟิ่งรั่วหนานอย่างนั้นหรือ? ทำไมถึงได้ทำอะไรวกไปวนมาเช่นนั้น! เรื่องนี้มันออกจะเกินเลยไปหน่อยแล้วกระมัง คนเราต่อให้ยากจนแค่ไหนก็ไม่ควรทำเรื่องน่าละอายเช่นนั้นเลย!
ความรู้สึกของคนทั้งสามเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ ถือกำเนิดในจวนหนิงอ๋องสูงศักดิ์ ต่อให้ตกอับแค่ไหน เนื้อในก็ยังเป็นผู้ดีอยู่ ต่อให้ยากจนข้นแค้นขนาดไหนก็ไม่มีทางไปทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้
ซางเฉาจงสายตาพร่าเลือนขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกคล้ายจะเป็นลม เพื่อการใหญ่แล้ว ต่อให้ต้องแต่งกับเฟิ่งรั่วหนานเขาก็ยอม แต่หากแต่งเฟิ่งรั่วหนานด้วยวิธีการเช่นนี้จริงๆ แล้วต่อไปเขาจะเผชิญหน้ากับเฟิ่งรั่วหนานได้อย่างไร!
ซางเฉาจงใกล้จะร้องไห้แล้วจริงๆ เอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “เต้าเหยี่ย ในเมื่อท่านต้องการให้ข้าแต่งกับเฟิ่งรั่วหนาน แล้วเหตุใดถึงไปยืมเงินเฟิ่งรั่วหนานมาซื้อสินสอดเล่า?”
หนิวโหย่วเต้าลนลานเอ่ยไปว่า “ก็กระหม่อมขอเงินหมื่นเหรียญทองจากพระองค์แล้ว พระองค์บอกว่ายากไร้ บอกว่าพระองค์หาให้ไม่ได้ กระหม่อมก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งลงเขามา จะเอาเงินหมื่นเหรียญทองจากไหนมาสำรองจ่ายให้พระองค์ไปก่อนล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางเฉาจงแทบจะร้องคร่ำครวญออกมา “แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปยืมเงินนางเลยนี่!”
หนิวโหย่วเต้าจ้องมองพลางกล่าวว่า “ท่านอ๋อง พระองค์ไม่มาเป็นกระหม่อมก็พูดได้สิพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่คุ้นเคยกับสถานที่และผู้คน ทางนี้ก็มีเพียงเฟิ่งรั่วหนานที่พอจะรู้จักกันอยู่บ้าง หากมาถึงจังหวัดกว่างอี้ ไม่ให้กระหม่อมไปยืมนางแล้วจะให้ไปยืมผู้ใดล่ะพ่ะย่ะค่ะ? ถ้าไปหาคนอื่น ผู้ใดจะรู้จักกระหม่อมล่ะพ่ะย่ะค่ะ! เงินหมื่นเหรียญทองมิใช่จำนวนน้อยๆ ถ้าไปหาคนอื่น กระหม่อมบอกว่าขอยืมเงินแล้วคนอื่นเขาจะให้กระหม่อมยืมหรือพ่ะย่ะค่ะ? แน่นอน หากไปหาคนอื่นก็ใช่ว่าจะหาวิธีเอาเงินหมื่นเหรียญทองนี้มาไม่ได้ ไปสืบหาบ้านคหบดีสักคน แล้วไปปล้นไปชิงเอาคงจะเร็วที่สุด แต่พวกเรามาเยือนจังหวัดกว่างอี้เพราะเรื่องงาน มิได้มาเพื่อสร้างปัญหาในจังหวัดกว่างอี้ คหบดีเหล่านั้นสามาถยืนหยัดอยู่ในโลกอันโกลาหลวุ่นวายได้ ใครไปรู้ล่ะว่าจะมีเบื้องหลังเป็นอย่างไรบ้าง ใครจะไปรู้ล่ะว่าคนที่รักษาความปลอดภัยของอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน บุ่มบ่ามลงมือไปจะเหมาะหรือพ่ะย่ะค่ะ? หากรอให้กระหม่อมสืบเรื่องราวเหล่านี้จนกระจ่างแล้วค่อยลงมือ ใครจะรู้ว่าเฟิ่งหลิงปอจะยังอยู่ในตัวจังหวัดหรือไม่? เฟิ่งหลิงปอเองก็เป็นคนที่มีธุระมากมายต้องไปจัดการเช่นกัน ไม่มีทางเฝ้าอยู่แต่ในจวนผู้ว่าการรอให้กระหม่อมไปสู่ขอแน่ คนเขาจะมีธุระต้องไปๆ มาๆ บ้างก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของพวกเราทำให้ยากจะจับความเคลื่อนไหวของเขาได้ กว่ากระหม่อมจะได้เงินมา หากเขาออกไปข้างนอกไม่อยู่ในจังหวัดแล้ว เช่นนั้นเราก็ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวจะต้องล่าช้าไปจนถึงเมื่อไร ด้วยสถานการณของพวกเราในตอนนี้ยิ่งจัดการได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี ชักช้าไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
วาจาอันสมเหตุสมผลนี้ทำให้ทั้งสามคนพูดไม่ออก ฟังดูคล้ายจะเป็นจริงดั่งว่า แต่เหตุใดถึงรู้สึกอับอายกันถ้วนหน้าเล่า แล้ววันพรุ่งนี้จะมีหน้าไปพบหน้าคนตระกูลเฟิ่งได้อย่างไร!
ซางเฉาจงเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ในเมื่อตัดสินใจจะใช้กาทมิฬแสนตัวเป็นข้ออ้าง อันที่จริงจะมอบสินสอดให้หรือไม่ก็มิใช่เรื่องใหญ่แล้ว สายตาเฟิ่งหลิงปอมิได้ตื้นเขินถึงขั้นจะมาใส่ใจกับสินสอดน้อยนิดเช่นนี้ ไม่ว่าเรื่องราวจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับสินสอดเหล่านี้ เช่นนั้นก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปหยิบยืมเงินเฟิ่งรั่วหนานมาเลย” คนที่ไม่มีหน้าจะไปพบคนตระกูลเฟิ่งที่สุดก็คือตัวเขา!
หนิวโหย่วเต้ากล่าวด้วยความแปลกใจ “ท่านอ๋อง พระองค์คิดว่ากระหม่อมอยากไปยืมเงินจำนวนนี้มาก่อเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ? ท่านอ๋อง ดีร้ายอย่างไรเฟิ่งหลงปอก็เป็นผู้ปกครองของจังหวัด เขาใช่คนที่ผู้ใดนึกอยากพบก็เข้าพบได้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ? ท่านอ๋อง สถานการณ์ของพระองค์เป็นอย่างไร พระองค์ย่อมรู้แจ้งแก่ใจดี เฟิ่งหลิงปอจะยอมข้องแวะกับพระองค์หรือพ่ะย่ะค่ะ? พระองค์คิดจริงๆ หรือว่าเรื่องวิวาห์ครานี้สามารถเจรจากันได้ง่ายๆ เพียงแค่พูดๆ ไปผู้อื่นก็ยอมยกบุตรสาวให้ออกเรือนกับพระองค์อย่างนั้นหรือ? ถ้าไม่สร้างเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นมา เฟิ่งหลิงปอจะยอมพบกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ? เกรงว่าขอเพียงกระหม่อมแจ้งว่าเป็นใครมาจากไหนก็คงจะถูกเขาไล่ตะเพิดออกจากเมืองแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ หรือจะให้กระหม่อมเล่าเรื่องกาทมิฬแสนตัวให้ใครสักคนฟังแล้วค่อยให้คนนำไปรายงานต่อ? เรื่องที่ไร้หลักฐานยืนยันเช่นนี้จะเอาไปพูดกับคู่สนทนาส่งเดชได้หรือ? อีกอย่างนะพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีเราก็จำเป็นต้องสร้างเรื่องให้ใหญ่โตอยู่แล้ว เพื่อให้เฟิ่งหลิงปอรู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางปกปิดไว้ได้ ต้องตัดความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะคิดไม่ซื่อกับพวกเราทิ้งไปให้หมด มิเช่นนั้นเวลานี้พวกเราล้วนอยู่ในอาณาเขตของเขา หากถูกเขาลงมือควบคุมตัวเอาไว้อย่างเงียบๆ เกรงว่าเราคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ร่ำไห้ ท่านอ๋อง กระหม่อมล้วนแต่หวังดีคิดเพื่อพระองค์ พระองค์จะใจร้ายละทิ้งกระหม่อมไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! พระองค์คงมิได้คิดจะให้กระหม่อมชดใช้เงินจำนวนนี้เองจริงๆ ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” ท่าทางเขาสื่อชัดเจนว่าเรื่องคืนเงินนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา สนแต่เพียงเรียนผูก แต่ไม่สนใจเรียนแก้!
“ข้า…” ซางเฉาจงอึกอักพูดไม่ออก คำพูดของอีกฝ่ายคล้ายสมเหตุสมผล พอลองคิดๆ ตามที่พูดมา ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะทุ่มเทใคร่ครวญเพื่อเขาจริงๆ แล้วเขายังจะพูดอันใดได้อีก?
ซางซูชิงกล่าวเสียงอ่อน “เสด็จพี่ เต้าเหยี่ยทำเต็มที่แล้ว เรื่องเงินจำนวนนี้พวกเราคิดหาทางใช้คืนเถิดเพคะ!”
หลานรั่วถิงยิ้มเจื่อน ซางเฉาจงเองก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างจนปัญญา ประเด็นสำคัญคือทางนี้ต่างทราบกันว่าหนิวโหย่วเต้าเป็นตัวแทนที่เขาส่งมาเพื่อสู่ขอให้เขา เขาจึงต้องเป็นคนคืนเงิน เขาเป็นคนแต่งจะให้คนอื่นมาออกเงินค่าสินสอดให้ก็คงไม่เข้าท่ากระมัง!
“ยังคงเป็นท่านหญิงที่ปราดเปรื่อง!” หนิวโหย่วเต้ายกนิ้วโป้งให้ซางซูชิงพลางกล่าวชมเชย
ซางซูชิงค้อมกายคำนับอีกครั้ง “เต้าเหยี่ยต้องเหน็ดเหนื่อยครุ่นคิดเช่นนี้ ลำบากท่านแล้ว”
“ไม่ลำบากเลย สมควรแล้ว สมควรแล้ว” หนิวโหย่วเต้ายิ้มแย้มพลางโบกมือ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ทว่ามีคำพูดที่ฟังดูไม่ดีบางอย่างที่กระหม่อมจำเป็นต้องพูดตรงๆ”
ทั้งสามคนจ้องมองเขาทันที มีเรื่องโผล่ออกมาอย่างต่อเนื่องจนพวกเขาเริ่มตามไม่ทันแล้ว ไม่รู้เลยว่าคนผู้นี้จะเผยเรื่องใดออกมาอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า