ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 496

ตอนที่ 496 คนรู้จักพบหน้าก็คุยกันง่าย

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ไปด้วยกัน มีธุระจะให้เจ้าจัดการ”

ก่วนฟางอี๋ฉงนเล็กน้อย แต่ยังคงไม่ค่อยยินยอมนัก บอกปัดไปว่า “เจ้าลองดูลุงเฉินไม่ก็สวี่เหล่าลิ่วดูสิว่าใครเหมาะกว่า เดี๋ยวข้าให้พวกเขาไปเป็นเพื่อนเจ้า ถ้ามีเรื่องอะไรก็ให้พวกเขาไปจัดการ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ในบางสถานการณ์สตรีเหมาะสมกว่าบุรุษ วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป? เอาละ อย่าโยกโย้เลย เจ้านั่นแหละ”

“….” ในเมื่อไม่อาจปฏิเสธได้ก็ทำได้เพียงฝืนทำตามอย่างไม่เต็มใจ

ก่อนจะผ่านประตูออกไป หนิวโหย่วเต้ามองโจวเถี่ยจื่อเล็กน้อย จากนั้นก็ส่งสายตาให้หยวนกัง

หยวนกังพยักหน้ารับอย่างรู้ใจ รู้ว่าหนิวโหย่วเต้าต้องการให้เขาลองหยั่งเชิงโจวเถี่ยจื่อคนนี้…

เมื่อมาถึงนอกเรือนรับรองของวังเหินเวหา ศิษย์ที่มาด้วยกันเข้าไปแจ้งกับยามเฝ้าหน้าประตู

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยสอดไปประโยคหนึ่ง “รบกวนฝากบอกด้วยว่าหงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีก็มาด้วย”

ศิษย์ที่เฝ้าประตูย่อมไม่ว่าอะไร ถึงอย่างไรก็ต้องเข้าไปแจ้งอยู่แล้ว แค่เพิ่มมาอีกชื่อเท่านั้น

ก่วนฟางอี๋กลับผงะไป มองหนิวโหย่วเต้าด้วยความตะลึง นางยังคิดอยู่เลยว่าอย่างมากก็แค่รออยู่ด้านนอกเท่านั้น แต่เขาต้องการพาตนเข้าไปด้วยอย่างนั้นหรือ!

ในจังหวะที่ศิษย์คนหนึ่งเข้าไปด้านในเหลือคนเฝ้าประตูอยู่คนเดียว หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “มีแขกมารบกวนทางวังเหินเวหาเป็นจำนวนมากหรือ?”

เขาอยากรู้ว่าที่ตนถูกถ่วงเวลาไว้นานขนาดนี้ มีสาเหตุมาจากทางวังเหินเวหาหรือว่ามีสาเหตุจากทางสำนักหมื่นสรรพสัตว์ จึงจงใจถามหยั่งเชิงเล็กน้อย

ศิษย์คนนั้นที่มาด้วยกันพลันส่ายหน้าให้ศิษย์ที่เฝ้าประตูเล็กน้อย เนื่องจากเขาทราบชัดเจนดีว่าเป็นเพราะโฉวซานขัดขวางเอาไว้

ศิษย์ที่เฝ้าประตูคนนั้นย่อมเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ไม่ทราบ”

ยามที่หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม ดูคล้ายว่าไม่ได้เหลือบมองด้านข้างเลย แต่ความจริงเขาคอยสังเกตศิษย์ที่รับผิดชอบมาแจ้งเรื่องที่อยู่ด้านข้างผู้นี้ด้วยหางตาอยู่ จดจำพฤติกรรมผิดแปลกเอาไว้ในใจ รู้ว่าถามไปคงไม่ได้อะไร จึงร้อง “โอ้” คำหนึ่งแล้วไม่ถามให้มากความอีก

กลับเป็นก่วนฟางอี๋ที่กระตุกแขนเสื้อหนิวโหย่วเต้า ลากเขาออกไปด้านข้างพลางเอ่ยถาม “เจ้ารั้นจะพาข้าเข้าไปด้วยให้ได้ คิดอะไรอยู่กันแน่?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างคล้ายว่าเป็นเรื่องธรรมดา “ได้ยินว่าเจ้ารู้จักหลงซิว คนรู้จักพบหน้าก็คุยกันง่ายไม่ใช่เหรอ”

ก่วนฟางอี๋ตกใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ารู้จักหลงซิว? พวกลุงเฉินบอกหรือ? ไม่มีทาง!” เนื่องจากนางทราบดีว่าพวกลุงเฉินไม่มีทางพูดเรื่องในอดีตของนางกับคนอื่นส่งเดช อีกทั้งไม่ใช่เรื่องดีงามอันใดด้วย

นางก็จำได้ไม่กระจ่างแล้วเช่นกันว่าตอนที่รู้จักหลงซิว ลุงเฉินอยู่ข้างกายตนหรือยัง

หนิวโหย่วเต้ายิ้ม “ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักหลงซิวจริงๆ สินะ”

“…” ก่วนฟางอี๋พูดไม่ออก ฉุนเฉียวโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที “เจ้าหลอกข้าหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “รู้ทั้งรู้ว่าข้าต้องการมาพบหลงซิว รู้จักเขาไยไม่บอกแต่แรกเล่า?”

ก่วนฟางอี๋กลอกตาใส่ “เรื่องระหว่างข้ากับบุรุษที่ข้าเคยรู้จักเป็นอย่างไรเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่รู้ เรื่องไร้สาระเหล่านั้นมีอันใดน่าพูดถึงกัน”

หนิวโหย่วเต้ากลับอยากรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหลงซิวลึกซึ้งเพียงใด จึงลองถามไปว่า “พวกเจ้ามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกันหรือ?”

ก่วนฟางอี๋โมโหแล้ว “เจ้าเห็นข้าเป็นอะไรกัน? เจ้าคิดว่าผู้ใดก็สามารถหลับนอนกับข้าได้อย่างนั้นเรอะ?”

หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “มาตามเกี้ยวพาเจ้าหรือ?”

ก่วนฟางอี๋กลับไม่อยากยอมรับในจุดนี้ “ก็ทำนองนั้นกระมัง ด้วยชื่อเสียงของข้าในเวลานั้น คนที่ชื่นชมในชื่อเสียงมาด้วยหวังจะเอาเปรียบข้ามีมากมาย ไม่ต่างจากไปหาความสำราญกับเหล่าคณิกาเลย จะมีสักกี่คนที่จริงใจ? เขานับว่าเข้ามาพัวพันกับข้าอยู่ระยะหนึ่ง พอไม่ได้สมใจก็ห่างหายไป เขามีฐานะเป็นศิษย์สำนักใหญ่ ไม่มีทางลอยชายอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีได้นาน เวลานั้นเขาไม่นับว่าโดดเด่นในวังเหินเวหามากนัก ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าภายหลังเขาจะกลายเป็นประมุขวังเหินเวหา หลังจากได้ยินว่าเขาขึ้นรับตำแหน่งข้าก็ค่อนข้างแปลกใจ ตอนนี้พอคิดๆ ดูแล้ว นับว่าเป็นคนที่รู้จักเก็บงำประกายนัก ข้ากับเขาไม่ได้มีเรื่องเช่นนั้นอย่างที่เจ้าคิด”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับเงียบๆ ถามไปอีกว่า “เจ้าบอกข้ามาตามตรง ในบรรดาผู้นำหกสำนักใหญ่ที่ข้าต้องการพบ เจ้ารู้จักอยู่กี่คน?”

ก่วนฟางอี๋ใคร่ครวญดูเล็กน้อย “ไม่รู้จักเจ้าสำนักเทพนารีคนนั้น อีกฝ่ายเป็นสตรี เจ้าลองคิดดูก็คงรู้กระมังว่าสตรีล้วนชังข้ากันทั้งสิ้น ไหนเลยจะเคยไปเยือนสวนไม้เลื้อย”

หนิวโหย่วเต้า “กล่าวก็คืออีกห้าคนที่เหลือเจ้ารู้จักทั้งสิ้น?”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยด้วยความลังเล “จะว่าอย่างไรดีล่ะ จะบอกว่ารู้จักก็ได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะรู้จักไปเสียทั้งหมด ส่วนใหญ่ล้วนเคยรู้จักในสมัยก่อน ในสมัยก่อนบางคนก็เข้ามาหาโดยใช้นามจริง อย่างเช่นหลงซิว แต่ตอนนั้นบางคนก็ไม่ได้ใช้ชื่อจริง คาดว่าคงอยากจะมาเชยชม แต่ก็กลัวจะกระทบต่อชื่อเสียง”

หนิวโหย่วเต้าไม่เข้าใจ “ในเมื่อไม่ใช้ชื่อจริง แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าใช่พวกเขา”

ก่วนฟางอี๋หัวเราะ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “ตอนนั้นมีคนตามเกี้ยวพาข้ามากมาย ก่อเหตุทะเลาะหึงหวงกันบ่อยครั้ง ตัวพวกเขาไม่ยอมบอก ย่อมมีคนอื่นที่อยากหาเรื่องซ้ำเติม จึงไปฟ้องร้องเปิดประเด็น มีสายตาคอยจับจ้องอยู่มากมาย จะปิดบังไว้ได้หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าหลุดขำออกมา อย่างนี้นี่เอง

เวลานี้เอง คนที่เข้าไปรายงานกลับออกมาแล้ว อี้ซูก็ตามออกมาปรากฏตัวเช่นกัน ถามขึ้นว่า “ผู้ใดคือหนิวโหย่วเต้า?”

ทางนี้รีบเดินเข้าไป หนิวโหย่วเต้าคำนับพลางเอ่ยว่า “เป็นผู้น้อยเอง”

“เชิญ!” อี้ซูเอียงคอส่งสัญญาณเล็กน้อย รอให้หนิวโหย่วเต้าขึ้นบันไดมา ทว่าผายมือไปทางก่วนฟางอี๋ที่ตามมาด้วย “เจ้าเป็นใคร?”

หนิวโหย่วเต้ารีบชี้แจง “ผู้นี้คือหงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉี”

อันที่จริงอี้ซูรู้แต่แรกแล้ว แต่จงใจเอ่ยถามไปเท่านั้น

คราแรกที่ได้เห็นก่วนฟางอี๋ นางจำเป็นต้องยอมรับในใจเลยว่าสตรีนางนี้ดูแลตัวเองได้ดีจริงๆ โดยรวมแล้วยังดูเหมือนอายุไม่มากนัก ความทรงเสน่ห์นั้นยังคงงามสง่าน่าหลงใหลเช่นเดียวกับในอดีต ไม่แปลกเลยที่จะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า ทำให้มีบุรุษมากมายปานนั้นมาชอบพอ

ที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีก็สมควรแล้ว ก่วนฟางอี๋เป็นสตรีรักสวยรักงามคนหนึ่ง เงินทองส่วนใหญ่ที่หามาได้ล้วนทุ่มไปกับการดูแลบำรุงโฉมของตน ในสายตาของบุรุษธรรมดายังคงเป็นโฉมงามคนหนึ่งอยู่แน่นอน แต่สำหรับเฮ่าอวิ๋นถูที่พบเห็นสาวงามหลากหลายบุคลิกในวังหลังอยู่เป็นประจำนับเป็นข้อยกเว้น

แต่เหล่าสตรีมักจะไม่ถูกชะตากับสตรีที่ดึงดูดชายมากมายให้มาหลงใหลชอบพอ อี้ซูจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ได้บอกแล้วหรือว่าให้เจ้าเข้าไปได้?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า