ตอนที่ 497 โฉมงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า
เมื่อน้ำชาถูกยกมา นางสังเกตสตรีที่ยกน้ำชามาเล็กน้อย เป็นสตรีที่เคยสร้างความลำบากใจให้ตนก่อนหน้านี้
ก่วนฟางอี๋เอ๋ยถาม “ท่านประมุข ท่านผู้นี้คือใครหรือ?”
อี้ซูเหลือบมองนางเล็กน้อย คิดว่านางจะฟ้องเรื่องตน
หลงซิวไม่ทราบความ ยังคงตอบด้วยรอยยิ้ม “อี้ซูศิษย์คนเล็ก เป็นศิษย์คนสุดท้ายที่รับไว้”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยกับอี้ซูทันที “แม่นางอี้คงยังไม่รู้กระมัง สมัยก่อนอาจารย์เจ้าดีต่อข้ามาก ใจกว้างมือเติบ ควักเงินหมื่นเหรียญทองให้โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง”
จะพูดเรื่องนี้ไปทำไมกัน หนิวโหย่วเต้าส่งสายตาให้นางอยู่หลายครั้ง แต่นางทำเป็นมองไม่เห็น หรือก็คือตั้งใจเอ่ยให้อี้ซูได้ฟัง
อี้ซูมองอาจารย์ตนเล็กน้อย
หลงซิวตกอยู่ในสภาพยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขาส่ายหน้าไปมา “ชั่วพริบตาเดียว เกรงว่าจะผ่านไปสามสิบกว่าปีแล้วกระมัง ตอนนี้มุทะลุเลินเล่อ เกรงว่าคงทำให้หงเหนียงต้องขบขันเสียแล้ว แต่วัยเยาว์ยังคงเป็นช่วงเวลาที่ดี!” เขาเองก็ไม่ได้หลบเลี่ยงเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าปล่อยวางแล้ว
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “ข้าไม่กล้าขบขันหรอกเจ้าค่ะ ข้าสำนึกเสียใจแทบแย่ หากรู้แต่แรกว่าท่านจะได้ขึ้นเป็นประมุขแห่งวังเหินเวหา ตอนนั้นเป็นตายอย่างไรข้าก็จะตามพัวพันแต่งกับท่านให้ได้”
“ฮ่าๆ!” หลงซิวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่งเงยหน้าหัวเราะดังลั่น หัวเราะอย่างเต็มที่ จากนั้นชี้ไปที่ก่วนฟางอี๋ “ปีนั้นมีคนมาเกี้ยวพาเจ้ามากมาย ตัวข้าหลงซิวมีหน้ามีตาสู้คนอื่นไม่ได้ จึงไม่เข้าตาของหงเหนียงอย่างไรเล่า”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ก็แค่พูดไปตามมารยาทเท่านั้น ในใจกลับทราบดีว่าหากตอนนั้นตนครองคู่กับสตรีที่มีชื่อเสียงเช่นนี้จริง ภายในสำนักจะต้องมีการคัดค้าน และจะต้องถูกคนในสำนักวิจารณ์อย่างหนักแน่นอน อีกทั้งด้วยอุปนิสัยของตนในเวลานั้น หากสตรีนางนี้ยอมตกลงติดตามตนจริงๆ เกรงว่าตนคงไม่มีทางยอมปล่อยมือง่ายๆ ผลสุดท้ายคงเลือกยอมรับแรงกดดันไว้จนทำให้ทางสำนักโกรธเกรี้ยว เกรงว่าตนคงไม่ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขวังเหินเวหาแล้ว
แต่แน่นอน มันก็อาจจะมีผลลัพธ์อีกอย่างปรากฏขึ้นมาเช่นกัน นั่นคือเมื่อได้รับแรงกดดัน ตนอาจจะทอดทิ้งสตรีนางนี้ก็เป็นได้
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “สุดท้ายแล้วยังคงเป็นข้าที่สายตาไร้แวว มองพลาดไปจริงๆ มิเช่นนั้นตอนนี้อาจจะเป็นฮูหยินประมุขไปแล้ว ดูสิยังจะมีผู้ใดกล้ารังแกข้าอีก”
หลงซิวถามยิ้มๆ “ผู้ใดจะกล้ารังแกเจ้ากัน?”
“คนรังแกข้ามีอยู่มากมาย” ก่วนฟางอี๋ชี้ไปที่หนิวโหย่วเต้า “เขาก็มักจะรังแกข้าอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน หลอกข้าให้จากเมืองหลวงแคว้นฉีมา ตอนนี้ถูกเรียกใช้เยี่ยงสาวใช้ ประมุขหลง ท่านต้องช่วยทวงความเป็นธรรมให้ข้านะเจ้าคะ!”
“โอ้!” หลงซิวตีหน้าขึงขัง แสร้งซักถามตำหนิ “หนิวโหย่วเต้า เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูกนะ!”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มเจื่อน “ท่านประมุข ท่านดูนางสิ สภาพนางเหมือนคนที่จะถูกข้ารังแกได้หรือ? ท่านเคยเห็นเจ้านายที่ปล่อยให้สาวใช้สาดชาใส่หน้าแล้วไม่เอาความหรือ? เป็นผู้ใดรังแกผู้ใดกันแน่?”
ก่วนฟางอี๋ถลึงตาใส่ “นั่นเป็นเจ้ารนหาที่เอง”
“ฮ่าๆ!” หลงซิวหัวเราะเสียงสดใสอีกครั้ง ยกชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง รอยยิ้มค่อยๆ จางลง มองไปที่หนิวโหย่วเต้า ถามด้วยสุ้มเสียงที่เปลี่ยนไป “หนิวโหย่วเต้า ต้องการพบข้าด้วยเรื่องใด?”
หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นกล่าวอย่างนอบน้อม “มาเยือนสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ได้ข่าวว่าท่านประมุขมาเยี่ยมเยือนที่นี่ด้วย ผู้น้อยไม่กล้ารบกวน แต่ก็ไม่กล้าเมินเฉย จึงได้แต่ทำหน้าหนา ขอเข้าคารวะอย่างหวาดหวั่นใจ”
หลงซิวยิ้มคล้ายมิยิ้ม กล่าวว่า “แค่มาคารวะ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างนอบน้อม “ขอรับ!”
หลงซิวค่อนข้างแปลกใจ
หลังจากนั้นก็เป็นไปตามที่หนิวโหย่วเต้าว่ามาจริงๆ ไม่เอ่ยเรื่องงานใดๆ เลย เป็นการมาเยี่ยมเยือนอย่างแท้จริง รับฟังก่วนฟางอี๋และหลงซิวคุยเล่นกัน มีเอ่ยสอดประสมโรงบ้างเป็นครั้งคราว
อดีตโฉมงามที่ตนเคยเกี้ยวพามาประจบเอาใจ ทำให้วันนี้หลงซิวอารมณ์ดีนัก คำหยอกเย้าของก่วนฟางอี๋ทำให้เขามีความสุขอย่างยิ่ง
หลังส่งแขกจากไปแล้ว หลงซิวเท้าราวกั้นศาลาริมน้ำอย่างเงียบๆ
ใครบ้างจะไม่เคยมีวัยเยาว์สดใส ใครบ้างจะไม่มีเรื่องในอดีตที่ลืมไม่ลงฝังลึกอยู่ในความทรงจำ
เมื่อได้พบหน้ากันอีกครั้ง ตะกอนความทรงจำก็ลอยขึ้นมา โฉมงามมิได้งามล้ำล่มเมืองเช่นในวันวานแล้ว ทำให้เขาสะท้อนใจอย่างยิ่ง แล้วก็รู้สึกปลงขึ้นมาเล็กน้อย พบว่าเรื่องราวในอดีตกลายเป็นอดีตไปแล้วจริงๆ พบพานมิสู้เก็บไว้ในความทรงจำ
อี้ซูกลับมาจากส่งแขกแล้ว เดินอย่างแผ่วเบาไปหยุดข้างกายหลงซิว เอ่ยถามไป “อาจารย์ ท่านคิดอย่างไรกับหนิวโหย่วเต้าคนนี้เจ้าคะ?”
หลงซิวกล่าวว่า “โดดเด่นในหมู่คนรุ่นเยาว์ ไม่ธรรมดา! หากมิใช่เพราะชาติกำเนิดและฐานอำนาจอ่อนด้อย ขาดกำลังและผู้หนุนหลังไป เจ้ากับพวกศิษย์พี่ทั้งหลายก็คงสู้เขาไม่ได้”
อี้ซูค่อนข้างดูแคลน “ข้าว่าเขาก็ไม่เท่าไรเลยเจ้าค่ะ ขี้ประจบสอพลอ ท่านอาจารย์อย่าได้ถูกรูปลักษณ์ของเขาหลอกลวงเอานะเจ้าคะ!”
ท่าทางยามที่หนิวโหย่วเต้าเอ่ยสอดประสมโรงเป็นระยะๆ ก่อนหน้านี้ นางมองแล้วอยากจะอาเจียนนัก
หากมิใช่เพราะมีหงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีคนนั้นปรากฏตัวขึ้นมา ทั้งยังมีท่าทางสนิทสนมคุ้นเคยกับท่านอาจารย์ปานนั้น ทำให้นางไม่สะดวกจะเผยอารมณ์ หาไม่แล้วนางคงทำให้หนิวโหย่วเต้าได้เห็นดีแน่ อาจจะจัดการเล่นงานสักยกด้วยซ้ำ
“ประจบสอพลอ? เจ้าคิดเช่นนี้หรือ?” หลงซิวหันมามองนางเล็กน้อย จากนั้นก็หันมองนภาราตรีด้านนอกอีกครั้ง “ตัวเจ้าย่อมมีสิทธิ์ที่ไม่ต้องไปประจบเอาใจใคร แต่เขากลับไม่มี เมื่อถึงคราวที่สมควรต้องก้มหัวก็จำเป็นต้องยอมก้มหัวให้ เจ้าจะพูดว่าเขาเป็นคนประจบสอพลอก็ได้ จะบอกว่าเขาเป็นชายชาตรียืดได้หดเป็นก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามองจากมุมไหน รอดูกันต่อไปสิ พยัคฆ์สองตัวไม่มีทางอยู่ร่วมถ้ำได้ ไม่ช้าก็เร็วสองขั้วอำนาจในหนานโจวจะต้องปะทะกันแน่นอน รอดูเถิดว่าสุดท้ายผู้ใดจะได้ไปครอง!”
อี้ซูถาม “อาจารย์คิดว่าหนิวโหย่วเต้าจะได้ชัยหรือเจ้าคะ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า