ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 498

ตอนที่ 498 เต้าเหยี่ยเอาอีกแล้ว

โฉวซานกลับไปด้วยความฉงนในใจ

พอกลับมาถึงเรือนพำนักของตนก็มีศิษย์เข้ามารายงานทันที “ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสเฉินจากสำนักหยกสวรรค์มาพบท่านขอรับ” เขาชี้ออกไปเล็กน้อย

โฉวซานมองออกไป เห็นว่าเฉินถิงซิ่วกำลังรออยู่ด้านนอก มองเห็นเขาแล้วเช่นกัน กำลังเดินเข้ามาหา ค่อยๆ ยกสองมือประสานหมัดคำนับ

โฉวซานส่งสัญญาณให้ศิษย์ถอยออกไป อันที่จริงในใจก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย แต่ภายนอกยังคงยังรักษามารยาทต่อแขกอยู่ “เฉินซยง มีธุระใดอีกหรือ?”

เฉินถิงซิ่วก็ทราบเช่นกันว่าเอาแต่รบกวนอีกฝ่ายเช่นนี้ไม่ดีเลย แต่ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ หนิวโหย่วเต้าอยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ส่วนเขามาที่นี่ก็เพราะหนิวโหย่วเต้า อยู่ในพื้นที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ เขาจึงได้แต่ต้องมาขอความช่วยเหลือจากคนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์

เขาไม่อาจนั่งเฉย ปล่อยให้หนิวโหย่วเต้ากระทำเรื่องที่ส่งผลเสียหายต่อสำนักหยกสวรรค์ได้ จึงทำได้เพียงต้องฝืนหน้าด้านเข้าไว้

“ต้องขออภัยด้วยจริงๆ พอดีไม่มีคนรู้จักที่นี่เลย จึงทำได้เพียงมารบกวนโฉวซยงอีกครั้ง” เฉินถิงซิ่วประสานมือเอ่ยขออภัยซ้ำๆ

โฉวซานถาม “เรื่องหนิวโหย่วเต้าอีกแล้วหรือ”

เฉินถิงซิ่วกล่าวว่า “โฉวซยงปราดเปรื่อง คืออย่างนี้ ข้าอยากจะสอบถามเล็กน้อยว่าหนิวโหย่วเต้าได้เข้าพบหลงซิวหรือไม่ พอจะทราบหรือไม่ว่าการสนทนาของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”

โฉวซานเอ่ยว่า “เฉินซยง นี่ออกจะเกินไปหน่อยนะ สำนักหมื่นสรรพสัตว์ของข้ามิใช่สายสืบของสำนักหยกสวรรค์ของท่าน แล้วก็ไม่มีทางไปสอดส่องแขกที่มาเยือนสำนักหมื่นสรรพสัตว์เพื่อสำนักหยกสวรรค์ของท่านด้วย”

“ทราบแล้วๆ” เฉินถิงซิ่วประสานมือคำนับปลกๆ ถึงขั้นที่ค้อมตัวให้หลายครั้ง ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

พอเห็นเขาเป็นเช่นนี้ โฉวซานลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังคงยอมไว้หน้า แย้มข่าวให้เล็กน้อย “เรื่องพบย่อมได้พบ ส่วนคุยอะไรกันไม่อาจทราบได้ สำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่มีทางไปแอบฟังบทสนทนาของแขก แต่เขากับหลงซิวใช้เวลาพบปะกันไม่น้อย ราวครึ่งชั่วยามได้”

“นานขนาดนี้เชียวหรือ?” เฉินถิงซิ่วแปลกใจ

โฉวซานกล่าวว่า “เฉินซยง พอเท่านี้เถอะ สำรวมตนให้ดี ที่นี่คือสำนักหมื่นสรรพสัตว์ มิใช่สำนักหยกสวรรค์ คนนอกไม่ได้รับอนุญาตให้ทำตามอำเภอใจที่นี่ อย่าได้ก่อเรื่องใดจะเป็นการดีที่สุด” ในวาจาแฝงเจตนาตักเตือนไว้เล็กน้อย

“ทราบแล้วๆ” เฉินถิงซิ่วตอบรับซ้ำๆ “บุญคุณของโฉวซยง แซ่เฉินจดจำไว้ขึ้นใจแน่นอน”

โฉวซานไม่ได้เอ่ยรั้งเขาอีก

ระหว่างที่เฉินถิงซิ่วกลับไป จิตใจเรียกได้ว่ากระสับกระส่าย เพราะหลงซิวมิใช่คนธรรมดา ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาทั่วไปจะได้พบหน้าเขาสักครั้งล้วนยากเย็น แล้วเหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงได้ใช้เวลากับหลงซิวนานขนาดนี้กันเล่า?

ยังมีอีกเรื่อง เขาไปพูดจาใส่ไคล้หนิวโหย่วเต้ากับทางอี้ซูไว้ก่อนแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ผลอันใดเลย ตามความเข้าใจที่เขามีต่ออี้ซูคนนั้น หนิวโหย่วเต้าไม่น่าจะได้เข้าพบหลงซิวง่ายๆ สิ

เขาไม่ทราบว่าปรากฏตัวของก่วนฟางอี๋และสายสัมพันธ์เก่าที่มีต่อหลงซิวได้ข่มอี้ซูเอาไว้ ทำให้เกิดเหตุเหนือความคาดหมายขึ้นในแผนการของเขา

….

รุ่งเช้า หลังจากโจวเถี่ยจื่อเก็บจานชามอาหารมื้อเช้าของแขกออกไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็เดินออกจากมาเรือน ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมขอบผา ยกมือไพล่หลังชมทิวทัศน์

ไม่นานนัก เฉาเซิ่งไหวอาศัยจังหวะนี้ปรากฏตัวขึ้นตามที่เขาคาดการณ์ไว้จริงๆ

แต่ครั้งนี้ไม่ได้เข้ามาพบเขาอย่างซึ่งหน้าอีก หากแต่ทะยานมาจากหมู่ขุนเขาโฉบผ่านไป ราวกับบังเอิญผ่านมาทางนี้เท่านั้น 艾琳小說

หลังจากเฝ้ามองเขาหายลับไปในหมู่ขุนเขา มือของหนิวโหย่วเต้าที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อบิดเล็กน้อย ได้รับเศษกระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนเล็กๆ

ก้อนกระดาษถูกคลี่กางในซอกนิ้ว จากนั้นในช่วงที่ยกแขนเสื้อขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ ก็เหลือบอ่านเล็กน้อย มองเห็นอักษรแถวหนึ่งเขียนไว้บนเศษกระดาษ ตรงข้าม จื่อเถิง ริมลำธาร เล่นน้ำ

เขาเงยหน้ามองไปยังฝั่งตรงข้าม มองเห็นบนหน้าผาเหนือธารหุบเขาด้านล่างมีดอกจื่อเถิงห้อยลู่อยู่แถบหนึ่งจริง ไม่ค่อยเข้าใจว่าเฉาเซิ่งไหวจะสื่ออะไร แต่คนผู้นี้บอกมาเช่นนี้จะต้องมีเหตุผลแน่นอน

เศษกระดาษหลุบเข้าไปในแขนเสื้อ นิ้วมือบดขยี้เศษกระดาษจนแหลกเป็นผุยผง

เขาเฝ้าสังเกตรอบข้าง รอคอยอยู่สักพัก โจวเถี่ยจื่อที่นำถ้วยชามกลับไปส่งก็กลับมาถึง เข้ามารายงานว่า “หนิวซยง ถ่ายทอดข้อความให้ท่านแล้ว รอทางสำนักมาแจ้งอีกที”

“ได้ รบกวนแล้ว” หนิวโหย่วเต้าประสานมือคำนับ

โจวเถี่ยจื่อยิ้มพลางโบกมือ “ไม่เป็นไร เพียงฝากถ่ายทอดวาจาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันขนาดนั้น”

หยวนกังบังเอิญเดินออกมาจากด้านในประตูเรือนพอดี หนิวโหย่วเต้าพยักพเยิดหน้าไปทางหยวนกัง “ข้าได้ฟังจากหยวนกังแล้ว อาจารย์ของโจวซยงประสบเหตุถึงแก่กรรมในระหว่างออกไปทำภารกิจของสำนักด้านนอก ยามนี้ในสายของอาจารย์ท่านคงเหลือเพียงโจวซยงที่ต้องบำเพ็ญเพียรเพียงผู้เดียวกระมัง?”

พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ สีหน้าโจวเถี่ยจื่อก็ฉายแววขมขื่นเล็กน้อย ทว่าฝืนยิ้มตอบไปว่า “เดินไปบนเส้นทางบำเพ็ญเพียร มันก็ยากจะเลี่ยงคลื่นมรสุมบางอย่างได้ เรื่องอุบัติเหตุก็ยากจะเลี่ยงได้เช่นกัน ช่วงที่ท่านอาจารย์มีคุณสมบัติเพียงพอจะรับศิษย์ได้ บังเอิญรับข้าไว้คนเดียว ยังไม่ทันได้รับศิษย์น้องให้ข้าเพิ่มก็ประสบเหตุเข้าเสียแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเหลือตัวข้าเพียงคนเดียว อันที่จริงบำเพ็ญเพียรคนเดียวก็ดีเหมือนกัน ได้อยู่อย่างเสรีในโลกอันวุ่นวายนี้ เทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักนโลกภายนอก ชีวิตข้านับว่าดีกว่าไม่รู้กี่เท่า ข้าพอใจมากแล้ว”

นี่เป็นเพียงคำปลอบใจตัวเองเท่านั้น หากดีจริงคงไม่มาทำงานจิปาถะยิบย่อย แต่เพราะไม่มีผู้ใดช่วยพูดแทนเขา หลายปีมานี้จึงต้องรับผิดชอบงานจิปาถะมาโดยตลอด

สายสืบทอดของเขาก็สืบทอดตรงมาจากอดีตเจ้าสำนักสองรุ่นก่อนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ เนื่องด้วยเหตุขัดแย้งแก่งแย่งผลประโยชน์ภายในสำนัก เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า ศิษย์ในสายสืบทอดจึงถูกบีบคั้นขาดช่วงไปจนเหลืออยู่ไม่เท่าไร จนถึงตอนนี้ กล่าวได้ว่าในสายสืบทอดจูซื่อเฉิงเหลือเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น

หนิวโหย่วเต้าย่อมทราบว่าเขาเพียงพูดจาใจกว้างไปเท่านั้น คนหนุ่มอายุน้อยได้แต่เฝ้ามองผู้อื่นรุ่งโรจน์ แต่ตนกลับถูกเรียกใช้วิ่งไปวิ่งมา ผู้ใดล้วนเรียกใช้งานได้ทั้งสิ้น จะมีคนหนุ่มสักกี่คนกันที่ยอมรับได้จากใจจริง? เขาพยักหน้าเอ่ยไปว่า “โจวซยงมองโลกในแง่ดี แต่ข้ากลับคิดว่าโจวซยงองอาจงามสง่า มิคล้ายคนที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างคนอื่นไปตลอด”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า