ตอนที่ 525 ห้าตัว
ในเขตป่ากันดารนอกเมืองวั่นเซี่ยง เฉิงหย่วนตู้และศิษย์สำนักหยกสวรรค์กลุ่มหนึ่งกำลังเฝ้ารออยู่
ทางนี้ได้รับข่าวที่ส่งมากฝั่งสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ทราบว่าหนิวโหย่วเต้าอำลาสำนักหมื่นสรรพสัตว์เพื่อขอตัวจากไป ทั้งคณะจึงออกมาเตรียมการรออยู่นอกเมืองวั่นเซี่ยงทันที เฝ้ารอข่าวทิศทางการไปของหนิวโหย่วเต้า
ไกลออกไป ศิษย์สองคนเหินทะยานกลับมา
ทั้งสองเพิ่งร่อนแตะพื้นตูเฉิงหยวนก็ถามทันที “ไอ้ชั้นต่ำมุ่งหน้าไปที่ใด?”
ศิษย์ทั้งสองสบตากันเล็กน้อย มีคนหนึ่งประสานมือเอ่ยรายงาน “เรียนผู้พิทักษ์รอง หลังจากหนิวโหย่วออกจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ได้โดยสารวิหคพาหนะสองตัวจากไปพร้อมกับหวงเลี่ยเจ้าสำนักเขามหายานของรับ”
เฉิงหย่วนตู้ตกตะลึง “อะไรนะ?”
ศิษย์คนนั้นอธิบายเพิ่มเล็กน้อย “หนิวโหย่วเต้าโดยสารวิหคพาหนะจากไปจึงไม่ทราบทิศทางขอรับ”
เฉิงหย่วนตู้ตะลึงงันไปทันที เดินทางรอนแรมมาไกล เฝ้ารอมานานขนาดนี้ แต่กลับได้ผลลัพธ์เช่นนี้หรือ? หลังจากตั้งสติได้เขาถามออกไป “ได้วิหคพาหนะมาจากไหน? สำนักหมื่นสรรพสัตว์หรือ?”
ฝ่ายศิษย์ตอบว่า “จากข่าวที่ศิษย์ร่วมสำนักในสำนักหมื่นสรรพสัตว์สอบถามมา ได้ยินว่าเป็นวิหคพาหนะของหนิวโหย่วเต้าเองขอรับ”
เฉิงหย่วนตู้พูดไม่ออกแล้ว เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินจากเด็กๆ ในสำนักเลยเล่าว่าหนิวโหย่วเต้ามีของเช่นนี้อยู่ด้วย นี่คิดจะกลั่นแกล้งตนที่ห่างหายจากข่าวสารทางโลกไปนานงั้นหรือ?
เป็นเช่นนี้แล้วจะให้ทำอย่างไร จะให้ตนขี่ม้าไล่ตามวิหคพาหนะไปหรือ? ยังจะดักสังหารอันใดได้อีก นี่ล้อกันเล่นอยู่หรือไร?
….
บนนภาสูง วิหคยักษ์สองตัวเริ่มโบยบินอย่างสงบมั่นคงแล้ว
พอได้อยู่บนนภาสูงเช่นนี้ ทอดมองลงไปเห็นภูผาปฐพีเบื้องล่างทุกอย่างล้วนดูเล็กจ้อย ความรู้สึกส่งส่งยิ่งใหญ่ของการได้มองใต้หล้าจากมุมสูงแผ่ซ่านขึ้นมาในหัวใจของหวงเลี่ย
แต่ก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย นิวโหย่วเต้ามีวิหคพาหนะในการครอบครองถึงสองตัว แต่เจ้าสำนักผู้สูงส่งอย่างเขากลับเพิ่งเคยได้สัมผัสความรู้สึกของการโดยสารวิหคพาหนะเป็นครั้งแรก
แต่เขาก็สามารถหาเหตุผลมาปลอบใจตนได้ ดีร้ายอย่างไรสำนักเขามหายานก็เป็นสำนักมีชื่อซื่อตรง ไม่มีทางทำเรื่องไร้ยางอายแบบหนิวโหย่วเต้าได้ วิหคพาหนะสองตัวนี้หากพูดกันอย่างไม่น่าฟังหน่อยก็คือเอาตัวไปแลกมาจากหงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉี สำนักเขามหายานไม่มีทางทำเรื่องที่เป็นการเกาะสตรีกินเช่นนี้ได้ มิเช่นนี้จะมีหน้าไปคนอื่ได้อย่างไร?
“เจ้าสำนัก ดูเหมือนสำนักเขามหายานของพวกเราจำเป็นต้องมีวิหคยักษ์เช่นนี้ไว้สักตัวแล้วนะขอรับ วันหน้าเจ้าสำนักจะได้เดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวก”
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสที่ติดตามมาด้วยก็ได้สัมผัสถึงความรู้สึกนั้นเช่นกัน เขาเอ่ยเสนอขึ้นมา
หวงเลี่ยส่ายหน้านิดๆ “ไม่เหมาะ ราคาเป็นสิบๆ ล้านทั้งนั้น สำนักเขามหายานของพวกเรายังไม่ถึงขั้นนั้น ในฐานะเจ้าสำนักไม่ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน”
ก็อย่างที่เขาว่ามา ใช่ว่าจะซื้อไม่ไหว ด้วยกำลังทรัพย์ของสำนักเขามหายานหากกระเบียกกระเสียรสักหน่อยก็พอจะซื้อหามาได้ แต่จะดูไม่ค่อยดีจริงๆ หากว่ายามปกติคอยคุมคุมค่าใช้จ่ายของศิษย์ระดับล่างไว้ แต่ผู้เป็นเจ้าสำนักกลับซื้อของราคาแพงขนาดนี้มาใช้งานส่วนตัว ศิษย์ระดับล่างจะคิดอย่างไรเล่า?
หวงทงเอ่ยสอดขึ้นมา “เจ้าสำนัก อย่ากล่าวเช่นนี้เลยขอรับ ทำเพื่อให้จัดการเรื่องราวได้สะดวกขึ้นทั้งนั้น เมื่อถึงเวลานั้นหากในสำนักมีเรื่องเร่งด่วนขึ้นมาก็ล้วนสามารถนำออกมาใช้ได้ เรื่องราวจะได้ไม่ล่าช้า”
หวงเลี่ยอดยิ้มไม่ได้ ดูเหมือนล้วนอยากจะอาศัยประโยชน์กันทั้งสิ้น “ไว้ค่อยว่ากันทีหลังเถอะ ภายในสำนักมีค่าใช้จ่ายสารพัดอยู่ไม่น้อย ให้ควักเงินนับสิบล้านออกมาใช้ในคราวเดียวไม่ค่อยเหมาะจริงๆ จะไปเบียดบังค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ เข้า รอดูเถอะว่าหนิวโหย่วเต้าจะรักษาคำพุดหรือไม่ หากได้รับมาหนึ่งตัวจริงๆ ก็ยกให้เป็นของสำนักเถอะ เวลาที่เกิดเรื่องฉุกเฉินในสำนักขึ้นมาทุกคนล้วนนำออกไปใช้ได้”
แม้จะเอ่ยไปเช่นนี้แต่ในใจกลับหนักใจนัก ถึงอย่างไรเซ่าผิงปอก็ทำงานให้สำนักเขามหายานมาหลายปี แต่ต่างฝ่ายต่างก้าวมาถึงจุดนี้เสียได้ เป็นเรื่องที่ไม่อยากเห็นเลยจริงๆ
สองผู้อาวุโสเอ่ยยกยอไมขาดปาก ต่างทอดสายตามองหนิวโหย่วเต้าที่อยู่บนหลังวิหคยักษ์อีกครั้งซึ่งบินห่างออกไปนับร้อยจั้ง ผลคือกลับได้เห็นหนิวโหย่วโอบกอดเคล้าคลอก่วนฟางอี๋อยู่
อันที่จริงก็มิใช่การโอบกอดเคล้าคลออันใด แต่ก่วนฟางอี๋ยกแขนโอบหลังหนิวโหย่วเต้าไว้ ส่วนมืออีกข้างก็เกี่ยวคอหนิวโหย่วเต้าไว้ กระซิบกระซาบสนทนา ดูเผินๆ ก็เหมือนโอบกอดเคล้าคลอ
“บอกความจริงมาซะ วิหคพาหนะสองตัวนี้ได้มาอย่างไร? เกี่ยวข้องกับเหตุประหลาดที่เกิดขึ้นในสำนักหมื่นสรรพสัตว์คืนนั้นหรือไม่” ก่วนฟางอี๋กระซิบถามข้างหูหนิวโหย่วเต้า ร่างกายจึงแนบชิดกันอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
แต่นางกลับไม่ใส่ใจ นางรู้ดีว่าคนไร้ยางอายอย่างหนิวโหย่วเต้าก็ไม่สนใจเรื่องนี้เช่นกัน
หนิวโหย่วเต้ามองลุงเฉินที่บังคับวิหคยักษ์อยู่ด้านหน้า ผินหน้ากระซิบตอบ “ในเมื่อเจ้าเดาได้แล้วจะถามอีกทำไม?”
ก่วนฟางอี๋ตกใจ “เจ้าคนเลว เจ้าใจกล้าเกินไปแล้วกระมัง ขโมยของมาจากคนเขาแล้วยังกล้านำมาวางท่าหน้าสำนักคนเขาอีก อยากตายหรือไร?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “มีอะไรต้องกลัวกัน ก็ไม่ใช่ว่าเห็นใครขี่วิหคนี้แล้วทางสำนักหมื่นสรรพสัตว์ล้วนจะดักสกัดแล้วสอบถามว่าใช่วิหคในสำนักพวกเขาอยู่ร่ำไปกระมัง? คนที่ครอบครองของเช่นนี้มีอยู่มากมาย อาจจะมีคนอื่นมอบให้ข้าก็ได้ไม่ใช่หรือ?”
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “เจ้าดูเหมือนคนที่จะมีสิ่งนี้ให้ใช้หรือ? ของในบ้านคนเขาเพิ่งหายไป เจ้าก็เอาออกมาวางท่าให้คนเขาเห็นแล้ว จะไม่ให้คนเขานึกสงสัยก็คงยากแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะหยัน “เจ้ามองด้วยตาข้างไหนถึงเห็นว่าของในบ้านคนเขาหายไป? คนเขาไม่เคยพูดเลยว่ามีของหายแล้วเจ้าจะมากังวลเกินเหตุไปไย?”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยย้อน “เจ้าคิดว่าคนเขาโง่หรือไร? สัตว์ใหญ่ขนาดนี้หายไปสองตัว คนเขาจะไม่นับดูเลยหรือไร?”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ “ไม่ได้นับจริงๆ นั่นแหละ อีกอย่างคนเขาก็ไม่รู้ด้วยว่ามีของหาย”
“ล้อเล่นอะไรอยู่กัน? คนเขาจะไม่รู้เชียวหรือว่าของในบ้านตนมีอยู่เท่าไร?”
“เอาเป็นว่าถึงคนเขาจะรับอย่างไรก็ไม่ขาดหายไปแล้วกัน”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“ไม่หมายความอย่างไรความหมายก็ตามนั้น ไม่ต้องกังวลไป พวกเราพูดต่อหน้าศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ไปแล้วว่านี่คือสิ่งที่คนอื่นมอบให้เจ้ามา เจ้าคิดดูสิเจ้ารู้สึกบุรุษมั่งมีมากปานนั้น มีคนมอบให้สักตัวสองตัวก็ใช่ว่าจะเป็นไม่ได้”
ก่วนฟางอี๋กัดฟันเอ่ย “สารเลว เจ้ากำลังเสียดสีข้าอยู่ใช่หรือไม่? ได้ ในเมื่อเจ้าบอกว่าวิหคสองตัวนี้เป็นของข้า เช่นนั้นนับจากนี้มันก็จะเป็นของข้าแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าหันกลับมา มองหน้าด้วยสีหน้ามีเลศนัย “มักน้อยปานนี้เลยหรือ สองตัวก็พอใจแล้วงั้นหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า