สรุปเนื้อหา ตอนที่ 541 คมกระบี่โผล่พ้นฝัก – ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet
บท ตอนที่ 541 คมกระบี่โผล่พ้นฝัก ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ตอนที่ 541 คมกระบี่โผล่พ้นฝัก
ฟังจากเสียงก็รู้ได้ว่าอายุไม่น้อยแล้ว
หนิวโหย่วเต้ามีสีหน้านิ่งเฉยนัก เอ่ยด้วยน้ำราบเรียบ “นางตายแล้ว! ตายเพราะเจ้า”
ชายโพกหน้าเอ่ยว่า “นั่นเป็นเรื่องธรรมดามาก พวกไม่เจียมตัวมักจะมีจุดจบเช่นนี้ทั้งสิ้น” มีนัยยะแฝงเร้นอยู่ คล้ายกำลังบ่งชี้ถึงพฤติกรรมของหนิวโหย่วเต้าในยามนี้
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หากสามารถจับเป็นได้ เจ้าก็ไม่สังหารข้าแน่”
สาเหตุที่มั่นใจว่าอีกฝ่ายพยายามจะจับเป็นก็เดาได้มายากเลย อวี้ชางไม่แน่ใจว่าเขาเตรียมแผนรับมือไว้หรือไม่อีกทั้งไม่แน่ใจว่าเผยความลับออกไปแล้วหรือไม่ วิธีที่ดีที่สุดคือจับเป็นเขาแล้วนำไปไต่สวนว่าได้แพร่งพรายความลับต่อผู้ใดไปหรือไม่
หากเตรียมแผนรับมือไว้จริง พอชีวิตเขาตกอยู่ในกำมือแล้วก็ไม่สามารถบุ่มบ่ามดำเนินแผนการได้!
ถ้ายังไม่ทราบเรื่องนี้อย่างแน่ชัด อวี้ชางก็ไม่กล้าสังหารเขาทิ้งง่ายๆ หากมีคนอื่นที่ได้ทราบความลับแล้ว สังหารเขาแล้วจะมีประโยชน์อะไร
ชายโพกหน้าเอ่ยว่า “ที่แท้เจ้าก็รู้ดี มิน่าเล่า”
เมื่อครู่ยังคิดอยู่เลยว่าค่อนข้างแปลก ได้ยินว่าเพิ่งมีตบะระดับสร้างฐาน ไฉนจึงกล้าเป็นฝ่ายเข้ามาหา หลงนึกว่าจะมีที่พึ่งอันใด ที่แท้ก็รู้แล้วว่าตนต้องการจับเป็น เห็นทีจะกลัวเกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้น
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ดูเหมือนคนที่ส่งเจ้ามายังไม่ได้บอกเจ้ากระมังว่าให้จับข้าด้วยเหตุใด”
คนโพกหน้าถาม “ข้าจำเป็นต้องทราบด้วยหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวต่อ “ไม่อยากฟังข้าอธิบายหน่อยหรือ? อาจจะเป็นผลดีต่อเจ้านะ”
“หากคิดจะอาศัยปากแก้ไขสถานการณ์ เจ้าก็มาหาผิดคนแล้ว” พอชายโพกหน้าพูดจบ เห็นว่ากำลังจะร่อนแตะพื้นแล้วก็ตวัดมือออกไปทันใด กรงเล็บใหญ่ยักษ์สีเขียวข้างหนึ่งพลันปรากฏเลือนราง
หนิวโหย่วเต้าตั้งตัวไม่ทัน ถูกคว้ากำไว้
คนทั้งสองที่เชื่อมต่อกันด้วยกรงเล็บปราณเขียวร่อนถึงพื้นพร้อมกัน
ท่ามกลางเงาแสงสีเขียวเลือนราง หนิวโหย่วเต้าพยายามให้พลังดิ้นให้หลุด แต่กลับขยับตัวได้ยากนัก
ชายโพกหน้ากำมือเข้าหากัน กรงเล็บปราณเขียวกดตัวบีบแน่น หนิวโหย่วเต้าพลันมีสีหน้าทรมาน หนาแดงก่ำขึ้นมาเสมือนโลหิตกำลังจะระเบิดออกมาก็มิปาน
มีเงาร่างสี่สายโฉบลงมาจากท้องนภา ร่อนลงในสี่ทิศทาง ปิดล้อมทั้งสองไว้ตรงกลาง
ทันทีที่ก่วนฟางอี๋ร่อนแตะพื้นก็ตกอยู่ในวงล้อมของคนทั้งสี่ที่ไล่ตามมา หลังจากถูกหนิวโหย่วเต้าสะบัดทิ้งนางก็เหลือตัวคนเดียว
เมื่อสวี่เหล่าลิ่ว เหล่าสือซานและหยวนกังร่อนแตะพื้นก็ถูกคนโพกหน้าสิบคนที่ไล่ตามมาเข้าปิดล้อมเช่นกัน
ลุงเฉิน อิ๋นเอ๋อร์และหยวนกังร่อนถึงพื้นก็มีคนชุดดำสิบคนตั้งแนวป้องกันปิดล้อมพวกเขาไว้ทันที
ทั้งสองฝ่ายล้วนอยู่บนทุ่งหญ้าแล้ว แยกตัวออกเป็นสี่กลุ่ม
มือสังหารสามสิบคน ลงสู่พื้นแล้วยี่เก้าคน วิหคยักษ์กลุ่มหนึ่งบินวนอยู่เหนือนภา ทิ้งสมาชิกคนหนึ่งไว้คอยสอดส่องดูแลด้านบน
ในมุมมองของมือสังหารกลุ่มนี้ สามารถบังคับหนิวโหย่วเต้าให้ลงสู่พื้นได้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด มิเช่นนั้นหากต่อสู้กันขึ้นมาวิหคยักษ์จะถูกลูกหลงได้ง่ายๆ ราคาของวิหคยักษ์ทุกตัวล้วนแพงลิบลิ่ว หากเลี่ยงความเสียหายมหศาลที่ไม่จำเป็นได้ก็ย่อมเป็นเรื่องดี เนื่องด้วยเหตุนี้ทั้งหมดจึงเลือกลงจากวิหคยักษ์ร่อนสู่พื้น
มีเสียงแกวกๆ สามเสียงแว่วต่อเนื่องกันมาจากที่ไกล วิหคยักษ์ทั้งสามที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสร่วงหล่นจากกลางอากาศในที่สุดก็หล่นกระแทกพื้น โลหิตสาดกระจาย บางตัวแน่นิ่งไป บางตัวยังพอกระพือปีกได้ แต่ทุกตัวลุกไม่ขึ้นแล้ว
อิ๋นเอ๋อร์หันไปมอง จ้องมองวิหคยักษ์สามตัวนั้นที่เคยพาพวกนางบินไปไหนมาไหนแต่ตอนนี้กลับถูกโมตีจนร่วงหล่นสู่พื้น
เดิมทีหยวนฟางคิดจะหนี แต่ถูกปิดล้อมเอาไว้จึงทำได้เพียงซ่อนอยู่ด้านหลังของอิ๋นเอ๋อร์ หลบอยู่ตรงกลางระหว่างอิ๋นเอ๋อร์กับลุงเฉิน เอ่ยเตือนเสียงแผ่วหวิว “อิ๋นเอ๋อร์ ท่านรีบลงมือสิ ลงมือเร็วเข้า เต้าเหยี่ยใกล้จะไม่ไหวแล้ว!”
อิ๋นเอ๋อร์หันกลับไปมองหนิวโหย่วเต้าที่ถูกควบคุมไว้อีกครั้ง
ลุงเฉินถือกระบี่ไว้มือหนึ่ง อีกมือถือยันต์เบิกบรรพตแผ่นหนึ่งไว้ เฝ้าระวังรอบข้าง
ในหมู่พวกเขาที่เป็นสมาชิกของสวนไม้เลื้อยต่างมียันต์เบิกบรรพตติดตัวอยู่สามแผ่น ล้วนเป็นสิ่งที่ก่วนฟางอี๋มอบให้พวกเขาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
แต่สิ่งที่ทางนี้กังวลที่สุดด็คือศรทะลวงสวรรค์ของฝ่ายศัตรู
ทว่ามือสังหารที่เข้าปิดล้อมล้วนย้ายธนูไปสะพายไว้ด้านหลัง เหตุผลหนึ่งที่ทำให้พกพาศรทะลวงสวรรค์ได้ในปริมาณจำกัดเป็นเพราะมีราคาสูงลิ่ว อีกทั้งผู้ใช้งานก็ทราบดีว่าหากอยู่บนพื้นดินแล้วจะมีประสิทธิภาพไม่มากนัก ยามต่อสู้กันหากสร้างชั้นดินขึ้นกำบังก็แก้ทางได้แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเลย
พอเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต ก่วนฟางอี๋ตวัดมือชักยันต์กระบี่สวรรค์แผ่นหนึ่งออกมา ต้องการโจมตีช่วยเหลือ
สี่มือสังหารที่ล้อมอยู่เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว รักษาระยะห่างที่ปลิดภัยไว้ กระบี่ยาวที่อยู่บนหลังของทั้งสี่ดีดตัวออกจากฝักพร้อมกัน ลอยอยู่กลางอากาศจ่อเล็งไปที่ก่วนฟางอี๋ ท่าทางพร้อมจะเข้าโจมตีได้ทุกเมื่อ
ก่วนฟางอี๋ตกตะลึง ทั้งสี่คือยอดฝีมือที่บรรลุถึงระดับที่สามารถใช้พลังปราณควบคุมกระบี่ได้แล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรโอสถทองในโลกบำเพ็ญเพียรมีมากมาย แต่มิใช่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรโอสถทองทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือ แม้จะมีสภาวะระดับเดียวกันก็ไม่ได้แปลว่าจะทรงพลังเช่นเดียวกัน บางครั้งถึงขั้นที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวด้วยซ้ำ เส้นแบ่งชนชั้นในระดับโอสถทองคือการใช้ปราณควบคุมกระบี่ สามารถโจมตีจากระยะไกลได้หรือที่เรียกกันว่ากระบี่บินนั่นเอง
คนธรรมดาอาจจะมองไม่ออก แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่เปิดตาทิพย์กลับมองเห็นทั้งสิ้น มีเส้นด้ายเล็กละเอียกที่ก่อตัวขึ้นจากพลังปราณเชื่อมต่อระหว่างผู้ควบคุมและกระบี่ล้ำค่าที่ลอยตัวอยู่
ซึ่งเรื่องนี้สื่อถึงความประณีตพิถีพิถันในการควบคุมพลังปราณ มิใช่สิ่งที่พลังปราณหยาบๆ ของผู้บำเพ็ญเพียรโอสถทองธรรมดาจะสามารถเทียบชั้นได้
แต่กลับส่งยอดฝีมือที่ใช้ปราณคุมกระบี่ได้ถึงสี่คนมาจัดการนาง ก่วนฟางอี๋ตระหนักได้ถึงความยุ่งยากแล้ว นี่มิใช่ความบังเอิญแต่พุ่งเป้ามาที่นางโดยเฉพาะ เห็นได้ว่ารู้เรื่องที่นางมียันต์กระบี่สวรรค์ในการครอบครอง ต้องการใช้การโจมตีระยะไกลมารับมือยันต์กระบี่สวรรค์ของนาง
ทันทีที่ยอดฝีมือปราณคุมกระบี่ทั้งสี่ปรากฏตัวขึ้นก็เข้าควบคุมนางทันที
เมื่อเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าตกอยู่ในอันตราย หยวนกังก็ไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว ถือดาบสามคำรามเงื้อฟันออกไปทันที
“โฮก!”
พวกก่วนฟางอี๋ที่นึกห่วงความปลอดภัยของหนิวโหย่วเต้ามาตลอดก็ตกตะลึงเช่นกัน นี่มันอะไรกัน?
“คนสารเลว! ยังไม่รีบมาช่วยกันอีกหรือ?” ก่วนฟางอี๋ถือกระบี่คู่ที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อพยายามปัดป้องการโจมตีจากกระบี่บินร้องด่าออกมา ทั้งตกใจและดีใจ รู้สึกว่าความกังวลของตนสูญเปล่าแล้ว ที่แท้ไอ้สารเลวผู้นั้นก็ซ่อนคมไว้
แต่หนิวโหย่วเต้าจะมาช่วยเหลือได้อย่างไรเล่า มือสังหารทั้งสี่ที่ปิดล้อมหนิวโหย่วเต้าอยู่เข้าจู่โจมแล้ว
เกิดเสียงดังปัง! หนิวโหย่วเต้าถีบคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้ากระเด็นออกไป เริ่มต่อสู้กับสี่มือสังหารอย่างดุเดือด
แต่มือสังหารที่หอจันทร์กระจ่างส่งมาทรงพลังเหลือเกิน พริบตาเดียวพวกหนิวโหย่วเต้าก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว ตกอยู่ในสถานการณ์ถูกโจมตีฝ่ายเดียว
ก่วนฟางอี๋ถูกกระบี่บินเข้าปิดล้อม ยากจะฝ่าออกไปได้ อีกฝ่ายโจมตีจากระยะไกล ยันต์กระบี่สวรรค์ของนางย่อมแสดงอานุภาพไม่ได้ แล้วจะปลดปล่อยอานุภาพของยันต์กระบี่สวรรค์ออกมาให้เสียเปล่าไปไยเล่า?
อีกทั้งหนิวโหย่วเต้าไหนเลยจะใช่คนซ่อนคมอันใด ความต่างชั้นด้านสภาวะและพลังต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ความเร็วในการรุกถอยโจมตีของสี่มือสังหารหาใช่สิ่งที่เขาจะเทียบชั้นได้ เขาทำอันตรายฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เลย
โชคดีที่เขาตอบสนองว่องไวในระยะประชิดจึงพอจะปัดป้องการโจมตีทรงพลังแกร่งกล้าของสี่มือสังหารได้ ชั่วขณะนั้นถึงสี่มือสังหารร่วมมือกันก็ยากจะทำอะไรเขาได้
ทางฝั่งสวี่เหล่าลิ่ว เหล่าสือซานและหยวนกังก็ค่อนข้างวิกฤตเช่นกัน อาศัยใช้ยันต์อาคมในมือสลายวงล้อมได้เป็นครั้งคราว พอจะยืนหยัดต้านไว้ได้เล็กน้อย
กลับเป็นทางลุงเฉินที่ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตอย่างแท้จริง
แม้ว่าลุงเฉินจะทรงพลังแกร่งกล้า แต่มือสังหารที่หอจันทร์กระจ่างส่งมาก็มิใช่คนไร้ฝีมือ เมื่อเผชิญการปิดล้อมโจมตีจากยอดฝีมือนับสิบ สถานการณ์จะเป็นเช่นไรเพียงคิดดูก็รู้แล้ว
ยันต์อาคมที่มีถูกใช้จนสิ้นแล้ว เรี่ยวแรงก็ถดถอยเป็นม้าตีนปลายแล้วเช่นกัน
ประเด็นสำคัญคือในยามที่เผชิญการโจมตีจากยอดฝีมือเช่นนี้ หยวนฟางช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิด ได้เพียงแบ่งรับการโมตีไปเท่านั้น ส่วนอิ๋นเอ๋อร์ไม่ตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น แทบจะยืนมองอยู่ตรงนั้นเฉยๆ เลย
ทั้งสองไม่เพียงแต่ให้ความช่วยเหลือไม่ได้เท่านั้น ลุงเฉินยังต้องคิดหาทางปกป้องทั้งสองด้วย สู้กันแบบหนึ่งต่อสองก็ตึงมือแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการปิดล้อมโจมตีจากยอดฝีมือสิบคนเลย
‘ตึง!’ หยวนฟางถูกกระบี่ฟันร่างอีกครั้ง ถูกฟันจนล้มลงบนพื้น เสื้อผ้าบนร่างขาดเป็นรูเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว เขาโหยหวนคร่ำครวญอยู่ตรงนั้น “อิ๋นเอ๋อร์ รีบลงมือเถอะ!” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
เขาใกล้จะร้องไห้แล้วจริงๆ ลุงเฉินเน้นปกป้องอิ๋นเอ๋อร์ไว้ ดังนั้นเขาย่อมซวยหนักกว่า
ดาบคู่ของเขาถูกศัตรูปัดกระเด็นไปแล้ว เลือดไหลกลบปากจมูก ถูกกระบี่ฟันร่างไปสิบกว่าทีแล้ว
เขาอยากถามลุงเฉินจริงๆ ว่าตาบอดไปแล้วหรือ นางยังจำเป็นให้เจ้าปกป้องอีกหรือ? คนที่ต้องการการปกป้องคือข้าต่างหาก!
อันที่จริงคนที่ใช้กระบี่โจมตีหยวนฟางล้วนแปลกใจทั้งสิ้น ตาเฒ่าคนนี้คงกระพันฟันแทงไม่เข้างั้นหรือ?
ครั้งนี้หยวนฟางนไม่ไหวแล้วจริงๆ เข้ากอดขาอิ๋นเอ๋อร์ไว้ไม่ยอมปล่อย “อิ๋นเอ๋อร์ ท่านรีบ…” วาจาขาดห้วงไป พอเงยหน้ามองก็ชะงักค้าง มองเห็นเส้นผมสีเงินปลิวไสวอยู่
……………………………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า