ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 549

ตอนที่ 549 ส่งมอบหนานโจว

เมื่อเดินตามกันกลับมาถึงศาลา ก่วนฟางอี๋นั่งลงไป ขมวดคิ้วเอ่ยถาม “ไท่ซูสยงรู้จักเขาดีหรือ? ถึงได้ยอมรับตัวเขาไว้ง่ายๆ เช่นนี้”

หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ “คนมีความสามารถ ไปอยู่ที่ใดย่อมไม่ต่างกัน”

ก่วนฟางอี๋แค่นเสียง “ตอนนี้รู้แล้วกระมังว่าไม่ควรไปหาเรื่องอีกฝ่าย แล้วไปหาเรื่องเขาแต่แรกทำไม?”

หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ นั่งลงไป สองมือยันกระบี่ไว้ที่ด้านหน้า “ใช่ว่าข้าอยากหาเรื่องเขาเสียเมื่อไร เป็นอีกฝ่ายที่ไม่ยอมปล่อยข้าไป ข้าไม่เอาคืนก็คงไม่ได้ ถึงข้าไม่สังหารเขา เขาก็จะสังหารข้าอยู่ดี”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “ข้าติดตามเจ้าออกไล่ล่าเขาไปทางนั้นทีทางนี้ที หากข้าตายขึ้นมา อย่างน้อยเจ้าก็ควรให้ข้าได้ทราบสาเหตุกระมัง สรุปแล้วพวกเจ้าผูกความแค้นอันใดไว้กันแน่ ไยต้องตามจองเวรอย่างไม่ตายไม่เลิกราด้วย?”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “เรื่องนี้เล่าไปแล้วยาว สรุปคือสาเหตุยังคงมาจากสตรี”

ก่วนฟางอี๋กะพริบตาปริบๆ “ถังอี๋หรือ?”

“ใช่แล้ว!” หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ

ก่วนฟางอี๋ร้องจุ๊ๆ “พวกเจ้าสองคนนี่นะ ไม่ว่าคนใดล้วนมีพิษสงทั้งคู่ ล้วนมิใช่คนที่จะหวั่นไหวต่อสตรีได้ง่ายๆ ถังอี๋คนนี้ทรงเสน่ห์มากนักหรือ สามารถดึงดูดพวกเจ้าสองคนได้ในเวลาเดียวกัน ซ้ำยังทำให้พวกเจ้าต้องสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะความหึงหวงอีก ข้าชักอิจฉาขึ้นมานิดๆ แล้วสิ”

“ไหนเลยจะใช่ต่อสู้กันเพราะหึงหวงอันใด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าได้พบคนผู้นั้น ข้าก็รู้แล้วว่าเขาอันตรายมาก ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังหรือกำลังล้วนสู้อีกฝ่ายไม่ได้ อยากหลบเลี่ยงให้ไกลจากเขาไว้ใจแทบขาด ตอนแรกจะอย่างไรก็คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะตามเกี้ยวพาถังอี๋อยู่ ตามเกี้ยวพาถังอี๋ก็แล้วไปเถิด แต่คนผู้นี้ใจคดไม่ซื่อ ต้องการครอบครองถังอี๋เป็นเป้าหมายรอง เป้าหมายหลักที่แท้จริงคือจ้าวสยงเกอ!”

“ไม่ว่าข้ากับถังอี๋จะเป็นอย่างไร แต่สถานะของพวกเราสองคนยังคงอยู่ ข้าจึงกลายเป็นเสี้ยนหนามในสายตาเขาไปโดยปริยาย คนที่สามารถนำเรื่องใหญ่ชั่วชีวิตของตนมาใช้ประโยชน์ได้ จะมีเจตนาเช่นไร เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว เป็นคนที่เมื่อเผชิญอุปสรรคจะลงมือโดยไม่เลือกวิธีการ เป็นคนที่โหดเหี้ยมแม้แต่กับตัวเอง ข้าจะหวังให้เขาเมตตาข้าได้หรือ? ข้ารู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าตนตกอยู่ในอันตรายแล้ว ครั้งนั้นหนีเอาชีวิตรอดอย่างทุลักทุเลจริงๆ!”

“นับตั้งแต่นั้นมา พวกเราสองคนก็ต่อสู้กันมาโดยตลอด เพื่อให้ได้ลงเอยกับถังอี๋ เขาคิดเล่นงานข้าให้ถึงตาย ข้ารู้ดีว่าเขาไม่มีทางปล่อยข้าไป เพื่อเป็นการตัดปัญหาที่จะตามมา ข้าจึงต้องสังหารเขาให้ตายเช่นกัน พวกเราสองคนตอบโต้กันไปมา หลังผ่านการต่อสู้ไปก็ยิ่งรู้จักกันและกันมากขึ้นเรื่อยๆ ล้วนตระหนักได้ว่าความทะเยอทะยานของเขาจะไม่หยุดอยู่แค่ในเป่ยโจวเท่านั้น ความทะเยอทะยานของซางเฉาจงเองก็จะไม่หยุดอยู่แค่ในเขตเล็กๆ แห่งหนึ่งเช่นกัน ไม่ช้าก็เร็วล้วนจะต้องลงมือกับแคว้นเยี่ยนที่มีปัญหารุมเร้าทั้งนอกใน เผลอๆ อาจจะมิใช่แค่แคว้นเยี่ยนด้วย”

“พอมาถึงขั้นนี้ ปัญหามันก็ไม่ได้อยู่ที่ถังอี๋หรือจ้าวสยงเกออันใดแล้ว หลังจากข้ากับเขาห้ำหั่นกันมา พวกข้าทั้งสองล้วนทราบถึงความสามารถของอีกฝ่ายดี ล้วนตระหนักได้ว่าไม่ช้าก็เร็วต่างฝ่ายต่างจะกลายเป็นอุปสรรคของกันและกัน ต่อให้ไม่มีถังอี๋และจ้าวสยงเกอ พวกเราจะต้องฟาดฟันกันในไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว ล้วนไม่คิดจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้เติบโตกลายเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่าในภายภาคหน้าสำหรับตน ล้วนอยากจะตัดตอนอีกฝ่ายเสียแต่เนิ่นๆ ทันทีที่มีโอกาสต่างจะเล่นงานกันให้ตาย ล้วนไม่มีความเกรงใจใดๆ”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “ตอนนี้เขาไปอยู่แคว้นจิ้นแล้ว ขณะนี้ไม่มีข้อขัดแย้งทางผลประโยชน์กันแล้ว เจ้าชอบเจรจารอมชอมมิใช่หรือ? มิสู้ถือโอกาสไปเจรจากับเขาดูสิ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “มาถึงขั้นนี้แล้ว ไหนเลยจะง่ายดายปานนั้น เรื่องแค้นไม่แค้น เรื่องอื่นไม่ต้องไปพูดถึง เอาแค่เรื่องเดียว หากเขาเป็นฝ่ายมาขอเจรจากับข้า ข้าจะเชื่อได้หรือว่าเขาจะยอมเลิกราไปเช่นนี้ ข้าจะกล้าปล่อยให้เขาเติบโตขึ้นมาหรือ? กลับกัน เขาก็คิดแบบนี้กับข้าเช่นกัน…”

….

ณ จวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจว เมื่อถึงเวลากินข้าว ซางเฉาจงละมือจากงานราชการไว้ก่อนชั่วคราว เดินเข้าสู่ห้องอาหาร

เหมิงซานหมิง ซางซูชิงและเฟิ่งรั่วหนานล้วนอยู่ครบ ยังมีหลัวต้าอันด้วย

คนเหล่านี้ล้วนจะมากินข้าวพร้อมกัน เดิมทีเหมิงซานหมิงไม่ยินยอม เป็นซางเฉาจงที่บังคับขอให้มา

หลัวต้าอันได้มานั่งกินข้าวที่นี่ย่อมเป็นเพราะติดตามเหมิงซานหมิง แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญที่สุดยังคงเป็นเพราะบารมีหลัวอันบิดาที่ล่วงลับไปแล้วของเขา คนที่ยังมีชีวิตอยู่ล้วนต้องการตอบแทนพ่อของเขา

ส่วนเฟิ่งรั่วหนาน เดิมทีซางเฉาจงไม่อยากจะร่วมโต๊ะกับนาง แต่ทนการโน้มน้าวของคนใกล้ชิดไม่ไหว ดูเหมือนจะเข้าข้างเฟิ่งรั่วหนานกันหมด

เหมิงซานหมิงยืนไม่ได้ แต่คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ล้วนลุกขึ้นมากันหมด

ซางเฉาจงกวาดตามองทุกคน ไม่คิดแม้แต่จะหยุดสายตาที่ตัวเฟิ่งรั่วหนานเลยแม้แต่น้อย พอพบว่ามีคนขาดหายไปก็อดถามไม่ได้ “อาจารย์หลานกับเสี่ยวอันละ?”

ทางนี้ก็คิดว่าทั้งสองจะมาพร้อมกันกับเขา ยามนี้พอทราบว่าทั้งสองไม่ได้อยู่ด้วยกัน เหมิงซานหมิงก็สั่งการทันที “ต้าอัน ไปตามอาจารย์หลานหน่อย”

“ขอรับ!” หลัวต้าอันที่กอดทวนสองเล่มไว้ไม่ปล่อยวิ่งออกไปทันที

ไม่นานนัก หลัวต้าอันวิ่งกลับมาอีกครั้ง “ท่านอ๋อง อาจารย์หลานเรียนเชิญท่านอ๋องออกไปหาหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”

ซางเฉาจงงุนงงไปเล็กน้อย จากนั้นก็สาวเท้าเดินออกไป

หลัวต้าอันโน้มตัวกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูเหมิงซานหมิ จากนั้นเข็นเหมิงซานหมิงออกไป

ซางซูชิงมองออกว่าคงมีเรื่องใดแล้ว เมื่อทางนี้มีเรื่องราวใดย่อมไม่มีทางหลบเลี่ยงนางเช่นกัน นางจึงตามออกไปด้วย

เหลือเพียงเฟิ่งรั่วหนานผู้หดหู่อยู่ในห้องเพียงลำพัง ภายในห้องนี้ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว เมื่อหลานรั่วถิงตามตัวคนออกไป คนที่จะถูกกันออกไปย่อมเป็นนาง

ตอนนี้นางผ่ายผอมเป็นอย่างยิ่ง ไหนเลยจะยังมีมาดของแม่ทัพหญิงคนนั้นอยู่ วิทยายุทธ์ที่มีติดตัวก็ไม่ได้ฝึกฝนต่อแล้ว

หลังเกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนั้นขึ้น ซางเฉาจงก็แยกห้องกับนาง ซางเฉาจงถึงขั้นที่พาอนุโฉมงามที่ทางบ้านนางส่งมาออกมาวางท่าต่อหน้านางด้วย ส่วนอนุโฉมงามสองที่ทางบ้านนางส่งมาคนนั้นก็ตัดขาดสัมพันธ์กับตระกูลเฟิ่งแล้ว พยายามฉอเลาะเอาใจซางเฉาจงอย่างสุดกำลัง มิได้ให้เกียรติอันใดนางเลย

นางรู้ดีว่าหากมิใช่เพราะมีสำนักหยกสวรรค์คอยควบคุมเอาไว้อยู่ ซางเฉาจงคงหย่านางไปนานแล้ว

แม้จะถูกสองอนุเหยียดหยามรังแก นางก็ไม่ปริปากบ่น นางรู้ดีว่าหากบอกต่อซางซูชิงไป ซางซูชิงย่อมจะออกหน้าช่วยนางแน่นอน

แต่นางไม่พูด ไม่เคยฟ้องต่อผู้ใดทั้งนั้น

เมื่อนางไม่พูด ต่อให้ข้ารับใช้ในจวนทราบก็ไม่มีทางพูดเช่นกัน ผู้ใดบ้างจะไม่ทราบว่าตระกูลเฟิ่งเกือบสังหารท่านอ๋องแล้ว ล้วนทราบดีว่าท่านอ๋องไม่พอใจพระชายา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า