ตอนที่ 552 เต้าเหยี่ย
ตระกูลเฟิ่งสังหารพวกพ้องของเขาไปมากมายปานนั้น เขาจะทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นได้อย่างไร จะยังแสดงความเป็นมิตรต่อตระกูลเฟิ่งได้หรือ? จะให้พวกพ้องทั้งเบื้องบนเบื้องล่างจะคิดอย่างไร?
หากอยากจะสบายใจกันทั้งสองฝ่าย อย่าได้มาพบกันอีกเลยจะดีที่สุด
เผิงอวี้หลานมาหาคือการสร้างความลำบากใจให้เขา ถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่ยายเขา หากปฏิบัติอย่างเลวร้ายจะถูกครหาเอาได้ แต่หากปฏิบัติต่อแม่ยายเช่นนางเป็นอย่างดีก็จะทำให้พวกพ้องเอาใจออกห่างได้
“ท่านอ๋อง!” กลับเป็นเหมิงซานหมิงที่เอ่ยปราม เอ่ยอย่างลังเลว่า “ในเมื่อมาพบกระหม่อม เช่นนั้นก็คงมีธุระใดอยู่แน่ กระหม่อมลองไปพบดูก็ไม่เสียหายหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงเอ่ยเสียงคร่ำเคร่ง “ท่านลุงเหมิง…”
“เสด็จพี่!” ซางซูชิงเอ่ยเรียกพลางกล่าวโน้มน้าว “ให้ท่านลุงเหมิงไปพบเพื่อดูว่านางคิดจะทำการใดก็มิใช่เรื่องเสียหายอันใดเลย”
หลานรั่วถิงก็ช่วยโน้มน้าวเช่นกัน
ด้วยการเกลี้ยกล่อมของทั้งสามคนทำให้ซางเฉาจงจำเป็นต้องยอมอนุญาต เรียกให้ลูกน้องมาคุ้มกันเหมิงซานหมิงไปส่ง
ภายในห้องรับรองห้องหนึ่งในจวนผู้ว่าการ เผิงอวี้หลานนั่งรอเพียงลำพัง ถึงจะมีผู้คุ้มกันติดตามมาด้วย แต่ก็อนุญาตให้นางเข้ามาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
ตอนนี้จวนผู้ว่าการมณฑลอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของสำนักเขามหายาน มิได้ขึ้นอยู่กับสำนักหยกสวรรค์แล้ว เมื่อไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้ามา นางก็ทำอันใดมิได้เช่นกัน
เหมิงซานหมิงมาถึงแล้ว เผิงอวี้หลานลุกขึ้นมา ฝืนฉีกยิ้มที่ดูแข็งเกร็งอยู่หลายส่วน เอ่ยทักทายอย่างสำรวมเล็กน้อย “แม่ทัพเหมิง”
ปัจจุบันต่างไปจากในอดีต หากเป็นเมื่อก่อน ตัวนางไหนเลยจะเห็นเหมิงซานหมิงอยู่ในสายตา
เหมิงซานหมิงพยักหน้ารับนิดๆ หันไปเอ่ยว่า “ต้าอัน เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
หลัวต้าอันที่เข็นรถอยู่ด้านหลังมองเผิงอวี้หลานด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความโกรธแค้น หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว เผิงอวี้หลานก็นับเป็นศัตรูที่สังหารบิดาเขา เมื่อนึกถึงฉากที่มารดาร่ำไห้น้ำตานองหน้า เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเคียดแค้นว่า “อาจารย์ ต้องระวังคนผู้นี้ไว้นะขอรับ” ท่าทางอยากจะอยู่คุ้มกัน
“ปากมาก ออกไป!” เหมิงซานหมิงเอ็ดไปเล็กน้อย
หลัวต้าอันคอตก ถือทวนสองเล่มหันหลังเดินออกไป
จากนั้นเหมิงซานหมิงหันกลับมามองเผิงอวี้หลาน ลอบสะท้อนใจอยู่ภายในใจ เผิงอวี้ลายที่ถูกทำลายสภาวะแก่ชราลงไปมากนัก อีกทั้งยังดูโทรมลงไปมาก เส้นผมที่เคยดกดำทั่วหัวขาวหงอกไปเกินครึ่งแล้ว “เขายังเด็ก ฮูหยินอย่าได้ถือสาเขาเลย”
เผิงอวี้หลานฝืนเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เป็นข้ามารบกวนท่านแม่ทัพเหมิงอย่างกะทันหันเอง”
นางไม่รู้จักหลัวต้าอัน อีกทั้งไม่ทราบถึงความโกรธแค้นของหลัวต้าอัน ทุกอย่างล้วนต้องย้อนกลับไปยังเรื่องในครั้งนั้น
เหมิงซานหมิงเอ่ยว่า “ฮูหยินเชิญนั่งเถิด มีธุระใดก็นั่งแล้วค่อยคุยกัน”
พอเห็นเขาสุภาพอ่อนโยน จิตใจที่ว้าวุ่นของเผิงอวี้หลานก็สงบลงเล็กน้อย ค่อยๆ นั่งลงไป ไอรีนโนเวล
พอเห็นว่านางมีท่าทางลังเลไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร เหมิงซานหมิงจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน “ครั้งนี้ฮูหยินมาเพราะพระชายากระมัง?”
ไม่ใช่แค่เขาที่คิดเช่นนี้ แต่ซางซูชิงและหลานรั่วถิงที่ช่วยเกลี้ยกล่อมซางเฉาจงก่อนหน้านี้ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยโน้มน้าว
พอเอ่ยถึงบุตรสาว เผิงอวี้หลานก็ตาแดงเรื่อขึ้นมา ส่ายหน้าพลางเอ่ยด้วยสีหน้าย่ำแย่ “ท่านแม่ทัพเหมิง ข้าทำผิดไปแล้ว ตอนนั้นข้าหน้ามืดตามัวจนทำร้ายบุตรชายตน แถมยังทำร้ายบุตรสาวตนด้วย แต่ท่านแม่ทัพเหมิง รั่วหนานไม่รู้เรื่องในตอนนั้นจริงๆ ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่เคยเข้ามาข้องแวะด้วยเลย เรื่องครานั้นนางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจริงๆ…”
เรื่องบางอย่างหากไม่ถึงที่สุดแล้วก็ยังคงเลอะเลือนไม่ตระหนักอยู่ ก่อนที่สำนักหยกสวรรค์จะต้องย้ายออกจากมณฑลหนานโจว นางยังคงจมอยู่ในความแค้นที่ถูกสังหารบุตรชาย
จนกระทั่งรู้ว่าสำนักหยกสวรรค์ถูกฝ่ายซางเฉาจงเขี่ยออกจากมณฑลหนานโจวแล้ว ความสามารถของทางนี้ได้ทำให้นางได้สติขึ้นมา กระทั่งสำนักหยกสวรรค์ยังทำอันใดซางเฉาจงไม่ได้เลย แล้วนางจะไปทำอะไรได้? อย่างน้อยตอนนี้นางก็ทำอะไรไม่ได้เลย สำนักหยกสวรรค์เริ่มโยกย้ายแล้ว นางถึงนึกขึ้นได้ว่าบุตรียังอยู่ในกำมือซางเฉาจง เพิ่งตระหนักได้ว่าทำผิดต่อบุตรสาวไปเสียแล้ว
นางไปหาไป๋เหยา สอบถามถึงความเป็นอยู่ว่าเฟิ่งรั่วหนานเป็นเช่นไร ไป๋เหยาไม่ได้บอกอะไรมาก ย้อนถามกลับมาประโยคหนึ่งว่า ‘เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?’
จากนั้นเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า ‘นางไม่ยินดีไปมาหาสู่กับคนของสำนักหยกสวรรค์ ทนทุกข์เดียวดายไร้ที่พึ่ง ผ่ายผอมซูบโทรม!’
ความรู้สึกของเผิงอวี้หลานในยามนั้นยากจะบรรยายออกมาได้ นางร้องไห้โฮออกมา!
จากนั้นนางคิดจะขอให้สำนักหยกสวรรค์พาเฟิ่งรั่วหนานไปด้วยกัน แต่มาคิดได้ตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว สมาธิและจิตใจของสำนักหยกสวรรค์ล้วนทุ่มไปอยู่กับมณฑลเป่ยโจวที่จะไปลงหลักปักฐานในอนาคตหมดแล้ว ฝ่ายซางเฉาจงก็ไม่ได้ตกอยู่ในการควบคุมของสำนักหยกสวรรค์แล้วเช่นกัน
หากเป็นช่วงที่ยังอยู่ในการควบคุม ถึงเฟิ่งรั่วหนานไม่ยอมไป สำนักหยกสวรรค์ก็บังคับพาตัวไปได้
จู่ๆ สามสำนักใหญ่ก็สอดมือเข้ามายุ่ง กีดกันคนของสำนักหยกสวรรค์ออกจากจวนผู้ว่าการมณฑล ทำให้คนรับมือไม่ทัน สำนักหยกสวรรค์คิดจะพาตัวคนไปด้วยก็ไม่ทันแล้ว ตอนนี้สำนักหยกสวรรค์ยังจะสามารถบุกไปพาตัวคนออกมาจากจวนของซางเฉาจงได้อีกหรือ?
เมื่อไม่มีสำนักหยกสวรรค์คอยดูแลทางนี้อยู่ เผิงอวี้หลานก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าบุตรีจะต้องใช้ชีวิตเช่นไร
ด้วยอับจนหนทางแล้ว นางจึงได้แต่ทำต้องบากหน้ามาหา
แต่ก็ทราบดีเช่นกันว่ายากจะคุยกับซางเฉาจงได้ มีแต่จะสร้างความลำบากใจให้แก่ซางเฉาจง ยิ่งจะทำให้เกิดความขัดแย้งได้ง่ายๆ ด้วย ดังนั้นจึงนึกถึงเหมิงซานหมิงขึ้นมา ทราบดีว่าเหมิงซานหมิงมีอิทธิพลต่อซางเฉาจง ประกอบกับด้วยประสบการณ์และความอาวุโสของเหมิงซานหมิง นับว่าเป็นคนที่พอจะคุยกันได้
เหมิงซานหมิงรับฟังอย่างสงบจนนางพูดจบถึงพยักหน้าเอ่ยไปว่า “ฮูหยินไม่จำเป็นต้องอธิบายเลย ข้าเองก็มิได้เพิ่งรู้จักพระชายาเพียงวันสองวัน พระชายาเป็นคนเช่นไรข้าทราบดี แต่ไม่ทราบว่าฮูหยินมีเจตนาเช่นใดกัน?”
เผิงอวี้หลานปาดน้ำตา ลองถามไปว่า “ท่านแม่ทัพเหมิงพอจะช่วยพูดกับท่านอ๋องให้ท่านอ๋องยอมปล่อยรั่วหนานไปได้หรือไม่?”
เหมิงซานหมิงเอ่ยอย่างใช้ความคิด “ฮูหยินทราบถึงความคิดของพระชายาหรือไม่? ทางนี้ไม่มีผู้ใดคอยควบคุมอิสระของพระชายาเอาไว้เลย ตอนสำนักหยกสวรรค์ยังอยู่ก็เคยมาสอบถามอยู่หลายครั้ง มิใช่ว่าท่านอ๋องไม่ปล่อยพระชายาไป แต่เป็นพระชายาเองที่ไม่ยอมไป เรื่องนี้สำนักหยกสวรรค์น่าจะทราบกระจ่างดี สำนักหยกสวรรค์คงรู้ดีว่าพระชายาคิดอย่างไร”
เผิงอวี้หลานตอบว่า “รู้ ข้ารู้ ข้าถึงได้หวังว่าท่านแม่ทัพเหมิงจะช่วยคิดหาทางได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า