อ่านสรุป ตอนที่ 556 ยอมให้ จาก ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 556 ยอมให้ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ตอนที่ 556 ยอมให้
Ink Stone_Fantasy
หวงเลี่ยเจ้าสำนักเขามหายานมาถึงแล้ว ระหว่างทางได้แวะไปตรวจสอบสถานที่ที่คนของสำนักหยกสวรรค์อพยพออกไปแล้ว
สำนักหยกสวรรค์ไม่ได้ทิ้งลูกไม้สร้างความเสียหายอันใดไว้
แหล่งชัยภูมิมงคลในมณฑลหนานโจวที่ทำให้สำนักหยกสวรรค์ต้องตาได้ย่อมไม่เลวร้ายแน่นอน สำนักเขามหายานก็เตรียมจะย้ายเข้าไปปักหลักที่นั่นเช่นกัน
คนยังมาไม่ถึง หนิวโหย่วเต้ากับพวกซางเฉาจงก็พากันออกมารอต้อนรับที่ประตูเมืองทิศเหนือแล้ว แถบประตูเมืองทิศเหนือทั้งหมดถูกเฝ้าระวังเอาไว้ ไม่ปล่อยให้ประชาชนทั่วไปผ่านเข้าออก
ศิษย์สำนักเขามหายานที่เดินทางมาก็มีจำนวนไม่น้อย เมื่อผ่านไปถึงสถานที่ใดจะมีข่าวส่งกลับมาตลอดทาง ฝั่งซางเฉาจงก็พอจะทราบพิกัดการเดินทางของพวกหวงเลี่ยแล้ว
ขบวนม้านับร้อยวิ่งห้อมาตามทางหลวง พอมาถึงประตูเมืองก็หยุดลง พวกหนิวโหย่วเต้ารอต้อนรับอยู่ที่ประตูเมืองแล้ว
เมื่อทั้งสองฝ่ายพบหน้าย่อมเกิดบทสนทนาตามมารยาทขึ้นอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ หนิวโหย่วเต้าทำหน้าที่แนะนำระหว่างฝ่ายหวงเลี่ยและฝ่ายซางเฉาจง
หวงเลี่ยอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดสำนักเขามหายานก็หนีพ้นจากการถูกขนาบโดยสองแคว้นแล้ว อยู่ในมณฑลหนานโจวย่อมดีกว่ามณฑลเป่ยโจว ตลอดการเดินทางมาก็สังเกตเห็นแล้วว่าการดูแลปกครองภายในมณฑลหนานโจวนั้นไม่เลวเลย
พอเข้าเมืองไป หวงเลี่ยอยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยหนิวโหย่วเต้าและซางเฉาจง หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ทั้งสามเดินเคียงกันไป พูดคุยยิ้มแย้มตลอดทาง
ได้พบหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง เรียกได้ว่าหวงเลี่ยประเมินค่าเขาสูงขึ้นกว่าเดิม ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่นเลย เพียงแค่มีสายสัมพันธ์กับอาจารย์อวี้ชาง เขาก็ควรค่าให้ชื่นชมแล้ว
ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักเขามหายานที่เดินตามหลังมาก็มีพวกหลานรั่วถิงคอยเดินอยู่เคียงกันเช่นกัน
พอมาถึงจวนผู้ว่าการมณฑล เรื่องงานเลี้ยงสังสรรค์ย่อมไม่อาจขาดได้
หลังงานเลี้ยงจบลง หวงเลี่ยที่ออกจากงานมาพร้อมกับหนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่ามาครั้งนี้วิหคของน้องหนิวเพิ่มขึ้นเป็นสี่ตัวแล้วอย่างนั้นหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ารู้ดีว่าอีกฝ่ายพะวงถึงเรื่องใด จึงหัวเราะฮ่าๆ แล้วกางห้านิ้วโบกไปมา “หากว่าเจ้าสำนักหวงยังสนใจอยู่ ข้าพูดคำไหนก็ยังคงเป็นคำนั้น!”
ก่วนฟางอี๋ที่ติดตามอยู่ด้านข้างมีสีหน้าเดียดฉันท์ พูดเสียดิบดีว่ายกให้ตนเป็นของขวัญ ถูกอีกฝ่ายเข้ามาจัดแจงขายส่งเดช หากยังมีความสุขได้ก็แปลกแล้ว
จ่ายเงินห้าล้านก็ซื้อได้แล้ว ประหยัดเงินไปได้ตั้งหลายล้าน ไม่ซื้อก็น่าเสียดาย หลังจากเหล่าผู้อาวุโสในสำนักทราบเรื่องก็ล้วนเอ่ยกระตุ้นหวงเลี่ยในเรื่องนี้
หวงเลี่ยทราบแก่ใจดี นี่เป็นเพราะทุกคนล้วนอยากจะใช้งานวิหคยักษ์ ในเมื่อเจ้าสำนักอย่างเขาบอกแล้วว่าจะไม่สงวนไว้ใช้ส่วนตัว เช่นนั้นคนที่จะเรียกใช้งานวิหคยักษ์ในเวลาปกติก็ย่อมต้องเป็นผู้อาวุโสเหล่านั้น
แต่หวงเลี่ยยังคงแสร้งทำเป็นถอนใจ เอ่ยไปว่า “สำนักเขามหายานมีคนมากมาย ยังมีอีกหลายเรื่องที่จำเป็นต้องใช้เงิน อพยพโยกย้ายครานี้ก็สิ้นเปลืองเงินไปไม่น้อย พอจะฝืนเจียดออกมาได้เพียงห้าล้านเท่านั้น”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเชื้อเชิญทันที “เช่นนั้นก็ลองดูก่อน หากเจ้าสำนักหวงต้องตาตัวใดก็ซื้อเพียงตัวนั้นไปได้เลย”
หวงเลี่ยหันไปถามผู้อาวุโสที่ติดตามมา “เช่นนั้นไปดูกันหน่อยดีหรือไม่?”
“ดีขอรับ!” เหล่าผู้อาวุโสพากันตอบรับ
ทั้งคณะเดินทางยังเรือนพำนักของหนิวโหย่วเต้า มองเห็นวิหคยักษ์สี่ตัวที่ดวงตาสุกใสแวววาว ต่างเดินวนชื่นชมดู
วิหคพาหนะเหล่านี้มีอายุขัยจำกัด หากจะซื้อจริงๆ ก็ต้องเลือกซื้อตัวที่อายุน้อยที่สุด ใช้งานในระยะยาวได้คุ้มกว่า
แน่นอน อันสิ่งที่เรียกว่าอยุขัยจำกัดนี้ก็ไม่อาจสรุปอย่างแน่ชัดได้ อายุขัยจำกัดที่ว่าเป็นเพียงการประเมินคร่าวๆ เท่านั้น
กล่าวโดยสรุปก็เหมือนกับสัตว์ทั่วไป ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพร่างกายตามธรรมชาติหรือไม่ก็การเลี้ยงดู บางตัวก็อยู่ได้ยาวนานหลายปี บางตัวที่อยู่ในวัยเดียวกันอาจจะตายเร็วกว่าก็เป็นได้
ท้ายที่สุดแล้ว เหล่าผู้อาวุโสก็เลือกอินทรีหยกทมิฬตัวหนึ่งที่ดูงามสง่าที่สุดไป หลังจากทดลองบินวนดูสามสี่รอบแล้วก็ล้วนพึงพอใจกันเป็นอย่างมาก
ต่อมาหวงเลี่ยสั่งให้คนนำตั๋วแลกทองห้าล้านเหรียญทองมอบแก่หนิวโหย่วเต้า ซึ่งตั๋วแลกทองก็เข้าสู่กระเป๋าของก่วนฟางอี๋
ด้วยเหตุนี้อินทรีหยกทมิฬตัวนั้นจึงถูกนำกลับไปที่สำนักเขามหายาน ถูกคนของสำนักเขามหายานพาตัวไป
จากนั้นทางนี้ก็คุยเรื่องงานกันต่อ เป็นเรื่องที่ไม่สะดวกจะเอ่ยต่อหน้าซางเฉาจงในงานเลี้ยง เรื่องบางส่วนไม่เกี่ยวข้องกับซางเฉาจง แล้วไม่จำเป็นต้องได้รับการตัดสินใจจากซางเฉาจง
สามเจ้าสำนักก็อยู่ในที่นี้ด้วย หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถึงเรื่องแบ่งปันผลประโยชน์ในมณฑลหนานโจว ทางฝั่งเขาก็มีคนไม่น้อยเช่นกัน ยังไงก็ต้องมีสถานที่ลงหลักปักฐาน
เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่อาจยอมลดราวาศอกกันได้ หวงเลี่ยเองก็เตรียมพร้อมที่จะต่อรองแล้ว ถามออกไปว่า “เจ้าต้องการอาณาเขตกว้างเพียงใด?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ข้าขอเพียงจังหวัดชิงซานแห่งเดียวไว้ลงหลักปักฐานก็พอแล้ว เพราะว่ามีคนของสามสำนักด้วย ด้วยกำลังของสำนักเขามหายานในตอนนี้แล้ว การเข้าควบคุมดูแลหนานโจวอย่างครอบคลุมก็อาจเกิดช่องโหว่ได้ง่ายเช่นกัน ทางสำนักของพวกเขาสามารถช่วยดูแลในบางเรื่องให้ได้ เจ้าสำนักหวงคงไม่ถึงขั้นที่แม้แต่จังหวัดเดียวก็ให้ไม่ได้กระมัง?”
“เต้าเหยี่ย!” พวกเฟ่ยฉางหลิวค่อนข้างร้อนใจ พวกเขาสามสำนักทุ่มเทไปมากขนาดนี้ กลับต้องมาเบียดเสียดอยู่ในจังหวัดเดียวอย่างนั้นหรือ?
หนิวโหย่วเต้ายกมือปรามทั้งสาม สื่อว่าให้สงบใจเอาไว้ ปล่อยให้ตนจัดการเอง
ขอเพียงจังหวัดเดียวอย่างนั้นหรือ หวงเลี่ยค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองท่าทีของพวกเฟ่ยฉางหลิว เอ่ยเนิบๆ ว่า “หากขอจังหวัดชิงซานเพียงแห่งเดียวข้าก็ไม่ขัดข้อง ข้าสามารถตัดสินใจเดี๋ยวนี้ได้เลย แต่น้องหนิวสามารถตัดสินใจแทนทางฝั่งนั้นได้หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ข้าจะมอบคำอธิบายต่อพวกเขาสามสำนักเอง”
หวงเลี่ยเอ่ยตัดสิน “ดี เช่นนั้นก็ตกลงกันตามนี้!”
“ให้ข้าไปเยือนวังเหินเวหา? ได้บอกหรือไม่ว่ามีเรื่องใด?”
“ข้าเพียงรับถ่ายทอดวาจา หลงซิวคิดจะทำอะไรข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”
ทั้งสองคนเดินวนพูดคุยกันอยู่ภายในสวนบุปผาหลายรอบ เรื่องที่สมควรคุยกันก็คุยกันทั้งหมด นี่คือหนึ่งในเป้าหมายที่หนิวโหย่วเต้ามาพบในครั้งนี้
จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็แยกย้ายกันไป หนิวโหย่วเต้าเพิ่งจะกลับมาถึงเรือน สามเจ้าสำนักก็เข้ามาหาแล้ว ยกอาณาเขตหนึ่งจังหวัดให้พวกเขาแบ่งกันสามสำนัก จะไม่ให้พวกเขาร้อนใจได้อย่างไร
หนิวโหย่วเต้าทราบความคิดของพวกเขา ยกมือขึ้น สื่อให้สงบใจเอาไว้ เมื่อทั้งหมดเข้าไปนั่งในศาลาแล้วถึงได้เอ่ยว่า “ความมั่นคงของหนานโจวเป็นเรื่องส่วนรวม อย่ามองเพียงผลประโยชน์เล็กน้อยในตอนนี้ ต้องมองการณ์ไกลเข้าไว้”
เซี่ยฮวาเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “พวกเราทราบดีว่าต้องมองการณ์ไกลเข้าไว้ แต่อาศัยเพียงมองการณ์ไกลไม่มีประโยชน์ ต้องคิดเพื่อปัจจุบันเช่นกัน หากกลับไปพร้อมผลลัพธ์เช่นนี้ พวกเราก็ไม่สามารถมอบคำอธิบายให้แก่เหล่าศิษย์ในสำนักที่ตั้งตารอได้เช่นกัน”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “สำนักหยกสวรรค์ออกไปแล้ว กำไรจากการค้าสุราแต่ละปีมอบให้ข้าสามล้านเหรียญทองก็พอ ส่วนที่เหลือพวกท่านเอาไปแบ่งกันได้เลย สุราที่ผลิตขึ้นก็จะมอบให้พวกท่านสามสำนักไปจัดจำหน่าย”
เพียงประโยคเดียวก็อุดปากทั้งสามจนพูดไม่ออกได้แล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายยินดีมอบผลประโยชน์มหาศาลเช่นนี้ให้พวกเขาไปแบ่งกัน เช่นนั้นพวกเขายังจะว่าอะไรได้อีก
สำหรับหนิวโหย่วเต้าแล้ว นี่ก็นับเป็นกำไรอย่างหนึ่งที่ได้จากการขับไล่สำนักหยกสวรรค์ออกไป
ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านข้างเสียดายนัก…
ตกค่ำ ซางเฉาจงก็จัดงานเลี้ยงรับรองสำนักเขามหายานอีกครั้ง
เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง หนิวโหย่วเต้ากลับไปยังเรือนของตนได้ไม่นาน เหมิงซานหมิงที่นั่งบนรถเข็นก็ถูกคนเข็นเข้ามา
หนิวโหย่วเต้าออกมาต้อนรับ หลังจากเข้าสู่โถงรับแขกแล้ว เหมิงซานหมิงก็โบกมือสื่อให้หลัวต้าอันถอยออกไป
หลังจากยกน้ำชามาแล้ว หนิวโหย่วเต้าเป็นฝ่ายเอ่ยถาม “แม่ทัพเหมิงมีเรื่องใดหรือ?”
เหมิงซานหมิงหัวเราะฮ่าๆ “ก็ไม่มีเรื่องใด ได้ยินว่าพรุ่งนี้เช้าเต้าเหยี่ยจะกลับไปยังจังหวัดชิงซานแล้ว ไม่รั้งอยู่ต่ออีกสองสามวันหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้านิดๆ “พวกท่านมีงานมากพอแล้ว ข้าอยู่ทางนี้กลับจะเป็นการรบกวนการทำงานของพวกท่านเปล่าๆ”
เหมิงซานหมิงก็ไม่บังคับเช่นกัน “คืออย่างนี้ วันนี้ท่านหญิงไปหาท่านอ๋อง ความต้องการของท่านหญิงคืออยากตามเต้าเหยี่ยกลับไปที่จังหวัดชิงซานด้วย”
“ท่านหญิงจะไปด้วยหรือ?” หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วนิดๆ มองออกไปด้านนอก “จังหวัดชิงซานไหนเลยจะเทียบความเจริญในเมืองหนานโจวได้ อีกทั้งข้าอาศัยอยู่ในหุบเขา มิใช่ว่าข้าจะบ่ายเบี่ยง แต่ชีวิตในหุบเขาค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับมนุษย์ธรรมดา เกรงว่าท่านหญิงจะทนรับความเงียบเหงาไม่ไหว อีกอย่างอายุของท่านหญิงก็ไม่น้อยแล้วกระมัง? ควรพิจารณาหาคนที่เหมาะสมสำหรับแต่งงานได้แล้ว หากอยู่ในหุบเขาข้าเกรงว่าจะทำให้ท่านหญิงเสียเวลา”
…………………………………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า