ตอนที่ 56 ศิษย์ทรพี!
“คารวะท่านพ่อตา คารวะท่านแม่ยาย!”
เมื่อเจรจาเงื่อนไขทุกอย่างทั้งในทางลับและทางแจ้งเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็มารวมตัวกันในห้องโถงหลักอีกครั้ง ซางเฉาจงคารวะฝากตัวเป็นเขยต่อหน้าทุกคน เปลี่ยนคำเรียกขานเฟิ่งหลิงปอและเผิงอวี้หลาน ทางด้านสองสามีภรรยาก็มอบของขวัญพบหน้าให้
ซางซูชิงที่ยืนชมพิธีอยู่ด้านข้างพอเห็นพี่ชายเป็นเช่นนี้ น้ำตาพลันเอ่อคลอ รู้สึกน้อยใจแทนพี่ชาย หวนนึกถึงบิดามารดา หากท่านพ่อท่านแม่ยังอยู่ เรื่องวิวาห์ของพี่ชายไหนเลยจะจัดการลวกๆ เช่นนี้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกสะท้อนใจ ชีวิตของสองพี่น้องไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในคุกหลวงหรือคนที่อยู่นอกคุกหลวงก็ล้วนแต่ยากลำบากด้วยกันทั้งคู่ เพิ่งออกจากคุกหลวงได้ไม่นาน พริบตาเดียวพี่ชายก็ต้องแต่งงานเสียแล้ว นางไม่รู้เลยว่าที่ตนร้องไห้เป็นเพราะตื้นตันใจหรือเป็นเพราะเหตุใด โชคดีที่มีม่านแพรบังอยู่ คนนอกจึงมองไม่เห็น
ภายในใจหลานรั่วถิงที่รับชมอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าแย้มยิ้มก็รู้สึกเศร้าสร้อยเช่นเดียวกัน หากหนิงอ๋องยังอยู่ ไหนเลยจะเป็นเช่นนี้ได้!
เฟิ่งหลิงปอและเผิงอวี้หลานเองก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอดใจ หากเป็นในอดีต พวกเขาไม่มีทางกล้าคิดเลยว่าจะได้บุตรชายของหนิงอ๋องมาเป็นบุตรเขย
หลังเสร็จพิธี ก็เป็นทางคนตระกูลเฟิ่งที่ต้องทำการเปลี่ยนคำเรียกซางเฉาจงผู้เป็นลูกเขยคนใหม่ ซึ่งทางฝั่งนี้ก็มีการมอบซองแดงให้เป็นรางวัลเช่นกัน หลานรั่วถิงได้เตรียมซองแดงเอาไว้แล้ว ต่อให้เป็นบ่าวรับใช้ ก็ยังได้กันคนละหนึ่งเหรียญทอง มอบให้อย่างใจกว้าง บ่าวรับใช้ที่ได้รางวัลย่อมดีใจอย่างยิ่ง รีบพากันเอ่ยขอบคุณ เรียกท่านเขยๆ อย่างสนิทสนมเป็นกันเอง
ในบางครั้งก็ต้องทำเช่นนี้ หลานรั่วถิงสามารถบอกกล่าวกับคนอย่างเฟิ่งหลิงปอได้ตรงๆ ว่าเงินทองขัดสน แต่กลับมิอาจตระหนี่กับบรรดาบ่าวไพร่ได้ เนื่องจากเฟิ่งหลิงปอสามารถมองข้ามของนอกกายเหล่านี้ไปได้ แต่บรรดาบ่าวไพร่กลับต้องพึ่งพาของนอกกายเหล่านี้ในการยังชีพ ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ หากให้น้อยจะทำให้บรรดาบ่าวไพร่ดูแคลนได้ ต่อให้ซางเฉาจงจะตกอับแค่ไหนก็ไม่อาจปล่อยให้บรรดาบ่าวไพร่เหล่านี้มาแอบนินทาลับหลังว่าตระหนี่ขี้เหนียวได้ หลานรั่วถิงจำเป็นต้องรักษาหน้าให้ฉางเซาจง
โชคดีตอนอยู่ที่วัดหนานซาน ทางนี้รีดไถเงินจากเหล่าสมณะมาได้ หลานรั่วถิงจึงนำเงินส่วนนี้ออกมาใช้
ก่อนจะขอตัวลา เฟิ่งหลิงปอยังเอ่ยกำชับซางเฉาจงอย่างติดตลกประโยคหนึ่ง “ลูกเขย สองวันนี้ก็พักผ่อนให้ดีล่ะ บำรุงร่างกายเตรียมพร้อมเข้าห้องหอ อย่าได้เอาม้าไปเร่ขายอีกล่ะ” หลังจากเรื่องราวลงตัวแล้ว ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ไม่มีความจำเป็นต้องสร้างความลำบากแก่ซางเฉาจงให้เสียแรงเปล่าอีก ท่าทางดูเป็นมิตรกับซางเฉาจงขึ้นมาไม่น้อยทีเดียว
พอเขาเอ่ยมาเช่นนี้ ซางเฉาจงพลันเหงื่อตก รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกกับความคิดแย่ๆ ของหนิวโหย่วเต้าที่เสนอให้ออกไปเร่ขายม้า แอบสงสัยอยู่บ้างว่าหนิวโหย่วเต้าคิดมากเกินไปหรือเปล่า เฟิ่งหลิงปอสองสามีภรรยาคล้ายจะมิได้จัดการยากขนาดนั้น เมื่อทราบว่าทางนี้เงินทองขัดสน จึงรับหน้าที่ดูแลเรื่องพิธีวิวาห์ ทางจวนผู้ว่าการจะเป็นฝ่ายจัดการให้ทั้งหมด
ทันทีที่ออกจากจวนผู้ว่าการ คนที่อยู่บนหลังม้าหันหน้ากลับไปมองจวนผู้ว่าการอีกครั้ง ต่างรู้สึกเหม่อลอยราวกับฝันไป จากเส้นทางชีวิตระหกระเหินขรุขระพลันตัดมาเป็นทางเรียบที่เดินสะดวก ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้แต่งกับบุตรสาวของเฟิ่งหลิงปอ ยามที่เพิ่งออกจากเมืองหลวงยังไม่รู้เลยว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ต่อให้หลับฝันไปก็ไม่กล้าคิดจริงๆ ว่าจะได้พบกับความเปลี่ยนแปลงที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้!
บรรดาองครักษ์ที่ติดตามมาด้วยต่างคึกคักกระปรี้กระเปร่า รู้สึกตื่นเต้น ทุกคนทราบดีว่าเฟิ่งหลิงปอเป็นขุนนางชั้นปกครองที่ชุบเลี้ยงกองกำลังส่วนตัวเอาไว้กระทำการแข็งข้อกับทางราชสำนัก เมื่อท่านอ๋องแต่งกับบุตรสาวของเฟิ่งหลิงปอ ราชสำนักต้องไม่กล้าผลีผลามลงมือทำอะไรท่านอ๋องเป็นแน่ หนทางรอดทอดยาวอยู่ตรงหน้า ไม่จำเป็นต้องไปตายเอาดาบหน้าอีก แล้วจะไม่ให้ทุกคนยินดีได้อย่างไรเล่า!
ความคิดของซางซูชิงล่องลอยกลับไปถึงคฤหาสน์อันเป็นที่พำนักชั่วคราวล่วงหน้าแล้ว นึกถึงบุรุษผู้ถือกระบี่ต่างไม้เท้า บุรุษที่นอนร่ายกลอนอย่างเกียจคร้านอยู่ใต้ต้นท้องามสะพรั่งคนนั้น มุมปากพลันยกยิ้มขึ้นมาอย่างอดใจเอาไว้ไม่ได้
ภาพเหตุการณ์ใต้ต้นท้อภาพนั้น ยามนี้พอนึกถึงยังคงงดงามนัก จู่ๆ พลันทำให้นางรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาอย่างน่าประหลาดในโลกที่วุ่นวายแห่งนี้….
……
ทิวเขาสูงตระหง่าน ธรรมชาติงดงาม ภายในวังสวรรค์พิสุทธิ์ เจ้าสำนักและสามผู้อาวุโสนั่งบนเบาะกลม ถังอี๋นั่งอยู่ด้านบน ส่วนด้านล่างมีหลัวหยวนกง ซูพั่วและถังซู่ซู่นั่งอยู่สองฝั่งซ้ายขวา กระดาษแผ่นหนึ่งถูกส่งวนผ่านมือคนทั้งสี่ เนื้อความบนกระดาษคือข่าวจากโลกภายนอกที่ปีกทองนำมาส่งให้ หลังจากถังอี๋ได้อ่านก็เงียบไป หลัวหยวนกงอ่านจบก็ค่อยๆ ส่ายหน้าไปมา ซูพั่วยังคงนิ่งเฉยสีหน้าไร้อารมณ์ ถังซู่ซู่ขมวดคิ้วแน่น
ข่าวที่ได้รับคือข่าวที่ส่งมาจากทางจังหวัดกว่างอี้ แม้ว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะตกต่ำ ทว่าไม่ได้หูหนวกตาบอด จะมากจะน้อยก็ยังทราบข่าวที่กระจายอยู่ในโลกภายนอกอยู่บ้าง
หลัวหยวนกงเอ่ยทำลายความเงียบภายในโถงด้วยความทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงว่าเฟิ่งหลิงปอจะยกบุตรสารให้ออกเรือนกับซางเฉาจง นี่มันน่าเหลื่อเชื่อจริงๆ สำนักหยกสวรรค์จะทนรับแรงกดดันจากฝ่าบาทไหวหรือ? หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักหยกสวรรค์ เฟิ่งหลิงปอคงไม่มีความกล้าขนาดนี้ เจ้าสำนักคิดเห็นประการใดกับเรื่องนี้?”
ถังอี๋เอ่ยว่า “ยามนี้แคว้นเยี่ยนมีศึกรุมเร้าทั้งนอกใน หากเรื่องวิวาห์นี้ตกลงกันสำเร็จจริงๆ ก็แปลว่าเฟิ่งหลิงปอดึงดันที่จะปกป้องซางเฉาจง แล้วก็มีความมั่นใจว่าจะปกป้องซางเฉาจงได้ มิเช่นนั้นคงไม่กล้าทำเช่นนี้ เกรงว่าฝ่าบาทเองก็คงไม่กล้าแตกหักกับพวกเขาอย่างเด็ดขาด ดูเหมือนพวกเราจะประเมินซางเฉาจงต่ำไปเสียแล้ว ถูกบีบคั้นถึงขนาดนี้แต่ก็ยังหาทางรอดออกไปได้ บิดาเป็นพยัคฆ์บุตรย่อมมิใช่สุนัข!” ขณะกล่าวก็มองไปทางถังซู่ซู่
ถังซู่ซู่ส่งเสียงเหอะออกมา “หนทางยังอีกยาวไกล จะใช่ทางรอดหรือไม่ก็ยังต้องดูกันอีกที สรุปคือทางเลือกของพวกเราถูกต้องแล้ว การตัดสัมพันธ์กับหนิงอ๋องมีแต่จะเป็นประโยชน์ต่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ อีกทั้งเวลานี้ซางเฉาจงยังไปอยู่กับเฟิ่งหลิงปอที่กระทำการแข็งข้อกับทางราชสำนัก แสดงให้เห็นว่ากำลังรวมหัวกันวางแผนก่อกบฏ เรียกได้ว่าเป็นการราดน้ำมันลงบนกองเพลิงชัดๆ เพลิงพิโรธของราชสำนักต้องลุกลามมาถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ด้วยแน่นอน บางทีราชสำนักอาจจะไม่กล้าทำอันใดเฟิ่งหลิงปอ แต่ถ้าจะจัดการสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กลับไม่ยากเย็นอะไรเลย พวกเราไม่อาจแบกรับผลลัพธ์เช่นนั้นได้!”
ถังอี๋และซูพั่วมิได้แสดงความเห็น ทว่าหลัวหยวนกงกลับพยักหน้าเล็กน้อย “ศิษย์น้องหญิงกล่าวมีเหตุผล!”
ในเวลานี้เอง มีศิษย์คนหนึ่งเร่งเดินเข้ามาจากด้านนอก ประสานมือกล่าวรายงาน “เจ้าสำนัก ผู้อาวุโสทั้งสาม เฉินกุยซั่วอยู่ด้านนอกตำหนัก บอกว่ามีเรื่องจะขอเข้าพบเพื่อรายงานขอรับ!”
พอเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา เปลือกตาถังซู่ซู่ก็กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ซางเฉาจงแล่นไปหาเฟิ่งหลิงปอที่จังหวัดกว่างอี้จนเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว นางกำลังครุ่นคิดอยู่เลยหนิวโหย่วเต้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้เช่นกันว่าพวกซ่งเหยี่ยนชิงทำสำเร็จหรือไม่ ใครจะรู้ว่าคิดอะไรก็ได้อย่างนั้น เฉินกุยซั่วกลับมาแล้ว
“ไม่เห็นหรือว่าพวกเรากำลังคุยธุระกันอยู่? เขาจะมีเรื่องสำคัญอะไรได้ ให้เขากลับไปก่อน!” ถังซู่ซู่ตวาดใส่ประโยคหนึ่ง เนื่องด้วยความกังวลบางอย่าง นางจึงไม่อยากให้เฉินกุยซั่วเข้ามา
กลับเป็นหลัวหยวนกงที่ยกมือปรามไว้ “เขาเดินทางไปเมืองหลวงกับซ่งเหยี่ยนชิงมิใช่หรือ? เหตุใดจึงกลับมาเร็วเช่นนี้เล่า? เขากลับมากะทันหัน ในเมื่อบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญ คาดว่าคงไม่กล้ามาพูดจาเกินจริงกับพวกเรา ให้เขาเข้ามาคุยกันให้กระจ่างเถอะ”
ถังซู่ซู่ไม่สามารถหาเหตุผลอะไรมาขัดขวางได้ ครุ่นคิดว่าเฉินกุยซั่วคงไม่กล้าพูดจาเหลวไหลอันใด หรือจะมีเรื่องอื่น? นางจึงนิ่งเงียบไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า