ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 561

ตอนที่ 561 มีบุตรในยามเฒ่า

สถานที่ลับที่กล่าวถึงก็คือหมู่บ้านในหุบเขาแห่งนั้นที่เดิมทีพวกเหมิงซานหมิงใช้ซ่อนตัว

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย รับฟังแต่ความคิดกลับล่องลอยไปไกลเล็กน้อย ถามกลับไปว่า “เจ้าว่าเซ่าผิงปอเก่งกาจหรือไม่ ตัวอยู่ที่เป่ยโจว อยู่ในสถานการณ์ที่ถูกปิดกั้นข่าวสาร แต่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเฉาเซิ่งไหวที่อยู่ทางสำนักหมื่นสรรพสัตว์ถูกข้าบงการแล้ว”

เรื่องนี้เป็นสำนักเขามหายานที่มาเล่าให้หนิวโหย่วเต้าทรายในภายหลัง ก็มิใช่ว่าสำนักเขามหายานเป็นฝ่ายมาเล่าต่อเขาเอง แต่เป็นตัวเขาที่บังเอิญทราบเรื่องเข้าตอนอยู่ที่มณฑลเป่ยโจวแล้วซักถามถึงรายละเอียดก่อนและหลังที่เซ่าผิงปอจะหลบหนีไปเพื่อใช้วิเคราะห์ว่าเซ่าผิงปอหนีไปตามใด

ตอนนั้นเขาตกใจจริงๆ ยิ่งตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไล่ล่าสังหารเขาให้ได้ แต่จนใจที่เซ่าผิงปอหนีไปเสียแล้ว

ก่วนฟางอี๋ไม่เข้าใจว่าเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ไปไย “เจ้าจะสื่อว่าเซ่าผิงปออาจเข้ามาแทรกแซงหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เรื่องยังไม่รับการยืนยันแน่ชัดหากเขาอยากเข้าแทรกแซงก็ต้องไตร่ตรองก่อนเช่นกัน อีกทั้งตอนนี้ความสนใจหลักของเขามิได้อยู่ที่ตัวข้า เขาจะเข้ามาแทรกแซงหรือไม่ละไว้ก่อนเถิด แต่เกรงว่าเฉาเซิ่งไหวคงร้อนใจดั่งไฟลนแล้ว อาจจะบุกออกมาตามหาข้าได้ แจ้งทางบ้านเอาไว้ หากว่าเฉาเซิ่งไหวมาให้ส่งตัวเขามาหาข้า”

ก่วนฟางอี๋ตอบรับ “ยังมีอีกเรื่อง ซ่งซูคนนั้นยังคุมตัวไปไม่ถึงเมืองหลวงก็ถูกราชสำนักปล่อยตัวออกมาแล้ว จากข่าวที่ทางท่านอ๋องได้มา เพิ่งส่งตัวออกจากหนานโจวมอบให้ทางติ้งโจวไปได้ไม่นาน ติ้งโจวก็ปล่อยตัวคนแล้ว จากข่าวที่ท่านอ๋องได้รับมากล่าวว่ายังไม่มีการสืบสวนคดีสังหารตระกูลซ่ง เรื่องเช่นนี้หากไม่ได้รับอนุญาตจากราชสำนัก เซวียเซี่ยวผู้ว่าการมณฑลติ้งโจวไม่มีทางทำเช่นนี้ สายข่าวของทางท่านอ๋อนก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าเซวียเซี่ยวส่งคนไปคุ้มกันซ่งซูกลับสู่เมืองหลวงอย่างเปิดเผย”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ “ไม่มีอำพรางเลยสักนิด เห็นทีว่าราชสำนัคงอยากจะแตกหักกับหนานโวอย่างเปิดเผยใจแทบขาดแล้ว ไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด ติดต่อไปยังหอจันทร์กระจ่าง ส่งคนไปดักสกัดระหว่าทาง กำจัดคนของเซวียเซี่ยวไปพร้อมกัน จากนั้นนำหัวส่งกลับไปให้เซวียเซี่ยวเสีย”

ก่วนฟางอี๋ขมวดคิ้ว “อยากกำจัดก็กำจัดไปสิ ไยต้องทำให้วุ่นวายเช่นนี้ด้วย’

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ทันทีที่เปิดฉากแตกหักกัน ติ้งโจวจะเป็นด่านแรกในการเข้าโจมตีหนานโจว ส่งคำเตือนและขู่ขวัญเซวียเซี่ยวเอาไว้สักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร ในเมื่อราชสำนักไม่ไว้หน้าข้า ข้าก็จำเป็นต้องแสดงพลังให้ประจักษ์เช่นกัน พวกเขาอยากปล่อยคนก็ปล่อยได้เลยงั้นหรือ?”

ก่วนฟางอี๋ถาม “เจ้าเรียกใช้คนของหอจันทร์กระจ่างจัดการทางนี้ ซ้ำยังใช้คนของหนจันทร์กระจ่างไปลักพาตัวคนทางนั้น เจ้าเห็นหอจันทร์กระจ่างเป็นอะไรไปแล้ว คนเขาจะยอมเชื่อฟังเจ้าหรือ?”

“ไม่เกี่ยวกับว่าจะเชื่อฟังข้าหรือไม่ แต่พวกเขาคิดจะผูกมัดข้าเอาไว้อย่างแน่นหนาแล้ว เจ้าวางใจเถอะ หอจันทร์กระจ่างจะทำเต็มที่แน่นอน พวกเขาอยากจะหาจุดอ่อนของข้าให้ได้ใจแทบขาดแล้ว”

“หากถูกคนเขากุมจุดอ่อนไว้ได้ เจ้าเคยคิดถึงผลที่จะตามมาหรือไม่?”

“หงเหนียง กำลังของพวกเราอ่อนด้อยเกินไป สถนการณ์ที่พวกเรากำลังจะเผชิญหน้าไม่เหลือช่องให้พวกเราได้คำนวณผลได้ผลเสียแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้อยากถูกคนเขาจับจุดอ่อนไว้ แต่กหากว่าไม่ยอมเสียสละหรือไม่ยอมแบกรับความสูญเสียเอาไว้สักนิดเลย จะประสบความสูญเสียที่หนักหนากว่า เลิกคุยเรื่องนี้เถอะ คนของหอจันทร์กระจ่างจะมาถึงเมื่อไร?”

“น่าจะใกล้แล้ว พอถึงแล้วจะส่งข่าวมาหาพวกเรา เจ้าเรียกระดมพลคนของหอจันทร์กระจ่างมาทางฝั่งนี้เพื่อการใด? กังวลใจว่าไห่หรูเยวี่ยจะคิดบัญชีกับเจ้าหรือ?”

“ไห่หรูเยวี่ยไม่มีทางมาคิดบัญชีกับข้า แต่ขอเพียงข้ากล้าเผยตัวว่าอยู่ที่นี่ อาจจะมีคนที่กังวลถึงตัวข้า มิสู้ลองหยั่งเชิงดีกว่า เพื่อจะได้วางแผนในอนาคต…ฟังจากที่ฟางเจ๋อเล่ามา เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ราชทูตจากแคว้นต่างๆ ล้วนอยู่ระหว่างเดินทางมาร่วมยินดีที่จินโจว พวกเราไม่อาจนั่งรอให้เป็นฝ่ายถูกราชสำนักกระทำได้ มิชิงรุกก่อนเพื่อป้องกันดีกว่า!”

“ชิงรุกเพื่อป้องกันหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าไม่ตอบ แต่มองพินิจก่วนฟางอี๋ที่อยู่ในชุดหญิงชาวบ้านหัวจรดเท้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่งตัวเช่นนี้แล้วดูดีนัก เสียแต่ผิวขาวไปหน่อย ไม่สมจริง”

ตัวเขาก็ไม่ดีกว่ากันไปสักเท่าไร สวมชุดชาวบ้านธรรมดา ทั้งสองต่างแปลงโฉมแล้ว ปลอมตัวเป็นคู่สามีภรรยาที่มาเย่ยมญาติ หากไม่ปลอมตัวเช่นนี้อยู่ในหมู่บ้านแล้วจะดูโดดเด่นสะดุดตาเกินไป

“เฮอะ!” ก่วนฟางอี๋แค่นเสียงใส่!

….

ณ จวนผู้ว่าการมณฑลจินโจว จ้าวเซินที่แต่งกายด้วยชุดขันทีอย่างเป็นทางการยืนอยู่ในลานเรือน สวมเสื้อคลุมกันลมทับไว้ด้านนอก มีผู้ติดตามหลายคนยืนอยู่ด้านหลัง

ด้านหน้ามีศิษย์ของวังสวรรค์หมื่นวิมานยืนเรียงแถวเฝ้าระวังอยู่

หลีอู๋ฮวาเดินออกมาจากเรือนด้านหลัง หยุดยืนอยู่ไม่ไกลจ้องมองมาทางอยู่พักหนึ่งแล้วถึงค่อยๆ เดินเข้ามาหา ประสานมือเอ่ยว่า “จ้าวกงกงมาเยือนทั้งที ขออภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับแต่เนิ่นๆ”

จ้าวเซินเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้ารับราชเสาวนีย์จากไทเฮามาเยี่ยมองค์หญิงใหญ่ แต่พวกเจ้าปฏิบัติต่อแขกเช่นนี้หรือ? ไม่เห็นไทเฮาอยู่ในสายตาหรือว่าคิดจะกบฏกัน?”

“จ้าวกงกงกล่าวเกินไปแล้ว” หลีอู๋ฮวาโบกมือพลางยิ้มออกมา ส่ายหน้าเอ่ยขออภัย “ใช่ว่าไม่อยากให้จ้าวกงกงเข้าพบองค์หญิง แต่หลังคลอดองค์หญิงสุขภาพอ่อนแอ ต้องลมเย็นใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น ท่านหมอกำชับว่าต้องพักผ่อนอยู่บนเตียง อย่าให้องค์หญิงรับแขก ข้าคิดว่าเพื่อสุขภาพขององค์หญิงแล้วไทเฮาต้องทรงเลือกปฏิบัติตามที่ท่านมอสั่งไว้แน่นอน จ้าวกงกงว่าใช่หรือไม่?”

นี่ย่อมเป็นข้ออ้างแน่นอน ก่อนที่จะทราบตื้นลึกหนาบางบุคลากรทั้งหมดของอีกฝ่ายชัดเจน เขาไม่กล้าปล่อยให้คนพวกนี้เข้าไปพบพวกไห่หรูเยวี่ยสองแม่ลูกในทันทีแน่ ด้วยกังวลว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้น เรื่องที่ไห่อู๋จี๋ไม่ประสงค์ดีต่อทางนี้มิใช่ความลับอันใดเลย

ตอนนี้ไห่หรูเยวี่ยกลายเป็นภรรยาของเขาแล้ว ซ้ำยังให้กำเนิดบุตรชายแก่เขา เขาจะไม่ใส่ใจปกป้องได้หรือ

จ้าวเซินเงียบไปครู่หนึ่ง เบื้องบนส่งเขามาก็เพราะเขามีตำแหน่งฐานะสูงศักดิ์มากพอ แต่ไม่คิดเลยว่าแม้แต่จะเข้าพบไห่หรูเยวี่ยก็ยังทำไม่ได้เลย

แต่เขาก็ไม่ได้ขู่บังคับเช่นกัน รู้ดีว่าฝืนบังคับไปก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งบังคับอีกฝ่ายก็ยิ่งจะสงสัยว่ามีเล่ห์กลแอบแฝง ยิ่งไม่มีทางปล่อยเขาเข้าไปพบ อาจจะทำให้เสียงานได้ เขาจึงเอ่ยไปว่า “องค์หญิงใหญ่คลอดบุตรในวัยขนาดนี้ ข้าอยากทราบว่าตอนนี้พระวรกายเป็นอย่างไรบ้าง จะได้กลับไปรายงานต่อไทเฮาถูก”

หลีอู๋ฮวาหัวเราะพลางกล่าวว่า “ให้กำเนิดบุตรตอนอายุมากไปหน่อย เพราะโชคดีที่พระวรกายขององค์หญิงใหญ่แข็งแรงดี วังสวรรค์หมื่นวิมานของพวกเราก็มิได้สิ้นไร้ไม้ตอก ทุ่มเทบำรุงเอาใจใส่ สุขภาพขององค์หญิงแข็งแรงดี โปรดช่วยทูลต่อไทเฮาทีเถิดว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี อย่าได้ทรงกังวลพระทัยเลย”

จ้าวเซินยกมือข้างหนึ่งกวักไปทางด้านหลัง ผู้ติดตามสองคนที่ขนาบอยู่สองฝั่งซ้ายขวาถือกล่องสองใบเดินเข้ามา เขาเอ่ยขึ้นว่า “นี่คือของขวัญที่ไทเฮารับสั่งให้นำมาถวายแก่องค์หญิงใหญ่ รบกวนนำไปถวายต่อองค์หญิงใหญ่ด้วย”

“แน่นอน” หลีอู๋ฮวาพยักหน้ารับ กวัดมือเล็กน้อยเช่นกัน มีคนก้าวออกไปนับกล่องทั้งสองใบมาทันที

ทางฝั่งนี้มีฐานะเป็นบุตรสาว ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับของขวัญเยี่ยมไข้จากผู้เป็นมารดาเลย แต่รับก็ส่วนรับ แต่สมควรจะนำไปจัดการอย่างย่อมขึ้นอยู่กับความเห็นของทางนี้

เมื่อรับของขวัญไว้แล้ว หลีอู๋ฮวาก็ไม่สงวนท่าทีอีก เอ่ยถามไปทันที “ได้ยินว่าจ้าวกงกงเป็นตัวแทนฝ่าบาทออกตรวจการณ์อยู่ คาดว่าคงจะมีงานยุ่งมาก ไม่ทราบจะออกจากจินโววันใดหรือ?”

วาจานี้แฝงนัยยะไล่แขกเอาไว้อย่างเด่นชัด ต้องการไล่อีกฝ่ายจากไปให้เร็วๆ หน่อยใจแทบขาดแล้ว

จ้าวเซินเอ่ยเสียงเรียบ “ไทเฮาทรงมีรับสั่งว่า ผู้อวาโสอย่างพระนางไม่สะดวกจะเดินทางออกจากเมืองหลวง ไม่อาจมาร่วมงานฉลองครบเดือนของพระนัดดาด้วยตัวเองได้ มีพระประสงค์ให้ข้าร่วมยินดีแทน รอจนร่วมงานฉลองครบเดือนพระนัดดาของไทเฮาเสร็จ ข้าถึงจะจากไป”

หลีอู๋ฮวาเดียดฉันท์อยู่ในใจ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะแสดงออกชัดเจนแล้วว่าหากไม่ได้พบไห่หรูเยวี่ยจะไม่ยอมจากไป เมื่อถึงวันงานฉลองครบเดือน ไห่หรูเยวี่ยย่อมต้องพาบุตรชายตัวน้อยออกมาพบปะแขกเหรื่อ เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้ไม่ยอมให้คนเขาพบ แต่อีกฝ่ายมีฐานะเป็นตัวแทนไทเฮามาร่วมฉลองหากร้องขอเข้าพบก็นับว่าสมเหตุสมผลไม่อาจปฏิเสธได้ จะไล่ไปตั้งแต่ตอนนี้ก็ไม่ได้เช่นกัน

เขาได้แต่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ใครว่างบ้าง ช่วยไปส่งจ้าวกงกงที่เรือนอวลสุคนธาที ดูแลรับรองให้ดี”

มีคนก้าวออกไปผายมือเชิญทันที “เชิญขอรับ!”

จ้าวเซินจ้องมองหลีอู๋ฮวาพลางเอ่ยเนิบๆ ว่า “ดีร้ายอย่างไรเจ้าก็นับเป็นราชบุตรเขยของไทเฮา ตั้งแต่แต่งกับองค์หญิงใหญ่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยไปเข้าเฝ้าไทเฮาเลย หากว่ากันตามหลักการออกจะเกินไปหน่อยแล้วกระมัง?”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็กกระอักกระอ่วนกันแล้ว หลีอู๋ฮวายิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก จะไม่ให้กระอักกระอ่วนได้อย่างไรเล่า อายุของเขามากกว่าไทเฮาซางโยวหลาน มีแม่ยายอายุน้อยกว่าตนเสียอีก แต่จะโทษผู้ใดได้เล่า โทษได้เพียงตัวเองที่ไม่สามารถควบคุมตัณหาราคะได้ เขายิ้มแห้งๆ เอ่ยไปว่า “มีเรื่องยุ่งติดพัน เอาไว้หาเวลาว่างได้จะไปเข้าเฝ้าที่เมืองหลวงแน่นอน”

แต่ก็แค่พูดๆ ไปเท่านั้น ตอนนี้ถึงตีให้ตายเขาก็ไม่กล้าไปเยือนเมืองหลวง เกรงว่าไปแล้วคงไม่ได้กลับมา หากถูกคนรั้งตัวไว้ให้อยู่เมืองหลวงแสดงความกตัญญูต่อไทเฮาแทนไห่หรูเยวี่ยขึ้นมาจริงๆ คาดว่าวังสวรรค์หมื่นวิมานก็คงยากจะช่วยพาตัวเขากลับมาได้

จ้าวเซินไม่พูดมากอีก สะบัดเสื้อคลุมกันลมหันหลัง พากลุ่มผู้ติดตามจากไป มีคนของทางนี้รีบวิ่งแซงไปอยู่ด้านหน้าเพื่อนำทางให้

หลีอู๋ฮวามองส่งจนคนจากไป ถอนหายใจออกมาเบาๆ การมาเยือนของจ้าวเซินสร้างแรงกดดันให้เขาไม่น้อยเลย

จากนั้นก็เรียกศิษย์เข้ามา สั่งให้ตรวจสอบประวัติความเป็นม้าบุคลากรทั้งหมดที่ติดตามจ้าวเซินมาให้ชัดเจน เลี่ยงมิให้มีการแฝงเร้นยอดฝีมืออันใดไว้เป็นพิเศษ

หลังจากนั้นก็ส่งสัญญาณให้ศิษย์ที่ถือกล่องของขวัญเล็กน้อย สื่อว่าให้ตรวจสอบของในกล่องอย่างละเอียด…

ณ เรือนหลักด้านหลัง ภายในห้องหนึ่งที่ปิประตูหน้าต่างแน่นสนิท ไห่หรูเยวี่ยที่ปล่อยผมสบายคลุมบ่าใบหน้าไร้การแต่งแต้ม นั่งอยู่ข้างเปลโยก

มีผู้บำเพ็ญเพียรของวังสวรรค์หมื่นวิมานคอยให้การดูแล ประกอบกับมียาลูกกลอนที่หลีอู๋ฮวามอบให้โดยไม่นึกเสียดาย สุขภาพหลังคลอดของร่างฟื้นตัวได้รวดเร็วเป็นอย่างมาก

ไห่หรูเยวี่ยมองทารกน้อยที่หลับพริ้มอยู่ในเปลด้วยจิตใจที่เหม่อลอย นึกถึงบุตรชายคนนั้นของตนที่ถูกหมอผีพาตัวไป ไม่รู้เลยว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

มีสาวใช้หลายนางยืนอยู่เป็นเพื่อนรอบๆ เปล

ประตูเปิดออก หลีอู๋ฮวาเดินเข้ามา ในมืออุ้มกล่องใบหนึ่งไว้ ย่างก้าวแผ่วเบาเข้ามาหยุดข้างเปล จ้องมองทารกน้อยที่หลับพริ้มอยู่พักหนึ่ง ใบหน้าฉายแววอ่อนโยนอย่างที่ไม่ค่อยปรากฏนัก

ใช้ชีวิตเสี่ยงภัยอยู่ในโ,กบำเพ็ญเพียร ไม่มีผู้ใดสามารถทำนายเรื่องราวมากมายในอนาคตได้กระจ่างชัด

ในวัยหนุ่มเพื่อปีนป่ายสู่ตำแหน่งสูงส่งเขาไม่ไยดีแม้แต่ตัวเองด้วยซ้ำ ไหนเลยจะมีแก่ใจมาคิดสร้างครอบครัว เขาไม่อยากมีภาระถ่วงรั้ง

เมื่อได้ครอบครองยศศักดิ์อย่างแท้จริงก็อายุมากแล้ว อีกทั้งสถานการณ์ก็ไม่เอื้ออำนวย ผ่านเรื่องราวมากมายมาจนโชกโชนแล้วจึงไม่คิดจะสร้างครอบครัวเลย

ตัวไห่หรูเยวี่ยในอดีตมีชื่อเสียงลือเลื่องไปทั่ว เขาไม่มีทางแต่งไห่หรูเยวี่ยได้ แค่อยากเล่นสนุดเท่านั้น อีกทั้งต้องการช่วยวังสวรรค์หมื่นวิมานควบคุมทางนี้ ไม่เคยคิดจะครองคู่กับไห่หรูเยวี่ยอย่างจริงจังเลย แต่การปรากฏตัวขึ้นของหนูน้อยคนนี้สุดท้ายก็สะกิดความอ่อนโยนที่ฝังอยู่ในก้นบึ้งหัวใจเขาขึ้นมา

ครั้งนี้เพื่อแม่ลูกคู่นี้ นับว่าเขาต้องยอมเสียสละศักดิ์ศรีหน้าตาไปคุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าศิษย์พี่เจ้าสำนัก ไม่ไยดีถึงชื่อเสียงของไห่หรูเยวี่ยอีกต่อไป ต้องการแต่งไห่หรูเยวี่ยเป็นภรรยาอย่างจริงจัง นับว่าขายหน้าเสื่อมเสียเกียรติในวังสวรรค์หมื่นวิมานอย่างยิ่ง เป็นถึงผู้อาวุโสแต่กลับประพฤติตัวย่ำแย่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างนัก

ทุกครั้งที่ได้เห็นหนูน้อยในเปลโยก เขาจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่เสมอ ตนอายุปูนนี้แล้ว หากตนจากโลกนี้ไป ผู้ใดจะปกป้องสองแม่ลูกให้อยู่รอดปลอดภัยได้เล่า?

ทัศนคติแต่ดั้งเดิมของเขาค่อยๆ ถูกสั่นคลอนไปทีละนิด ถึงขั้นที่เคยคิดจะใช้โอกาสในตอนที่ตนยังมีสิทธิ์มีเสียงในวังสวรรค์หมื่นวิมานอยู่เพื่อปกป้องสองแม่ลูกให้ครอบคลุมด้าน คิดจะให้สองแม่ลูกถอยหลบฉากออกไปจากการแก่งแย่งฉกชิงผลประโยชน์ในที่แห่งนี้ ไม่มีอำนาจนี้แล้วจะเป็นอันใดไปเล่า ความสงบสุขชั่วชีวิตไม่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดหรอกหรือ?

แต่เขารู้ดี เมื่อพลัดเข้าสู่วังวนนี้แล้วไม่อาจถอนตัวกลับไปได้อีก อย่างแรกคือวังสวรรค์หมื่นวิมานไม่มีทางเห็นด้วย วังสวรรค์หมื่นวิมานยอมตกลงให้เขาแต่งกับไห่หรูเยวี่ยก็เพื่อให้ควบคุมหนานโจวได้สะดวกขึ้น ก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้ดีแล้ว หากตอนนี้คิดเปลี่ยนใจเพื่ออนาคตบุตรตนหรือ ล้อเล่นอะไรอยู่?

เขาไร้ทางถอยแล้ว นับตั้งแต่เด็กคนนี้ก่อกำเนิดขึ้นมา นับว่าเขาได้ประสบกับตัวแล้วการมีบุตรในยามเฒ่าตามที่ภาษิตว่าไว้ให้ความรู้สึกอย่างไร มีความรู้สึกรักถนอนบางอย่างที่คนในวัยหนุ่มสาวมีกำลังวังชาไม่เข้าใจ ความหวาดกลัวที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนคอยตามคิดดั่งเงาตามตัว เป็นความรู้สึกกังวลต่ออนาคตข้างหน้าอย่างน่าประหลาด

เดิมทีคิดว่าคนรับมือและควบคุมได้สบายมาก แต่ตอนนี้มีภาระต้องแบกรับขึ้นมาแล้วจริงๆ มีห่วงกังวลที่ไม่อาจปล่อยวางได้ มีคนที่จำเป็นต้องคอยคำนึงถึง…

………………………………………………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า