ตอนที่ 560 ฆ่า
ณ เมืองหลวงแคว้นเยี่ยน ภายในห้องเงียบสงบห้องหนึ่ง มีโต๊ะยาวตัวอยู่สามตัว เบาะกลมอีกสามใบ
โต๊ะยาวตัวหนึ่งตั้งแนวขวางอยู่บนแท่น ถงโม่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ
ด้านล่างฝั่งซ้ายขวามีโต๊ะตั้งฝั่งละตัว คนสองคนที่นั่งอยู่คือจินอู๋กวงเจ้าสำนักจิตกระจ่างและเฉาอวี้เอ๋อร์เจ้าสำนักหอบุปผาล่องที่เดิมทีเคยครอบครองเขตมณฑลหนานโจว
หลังจากพูดคุยกันอยู่นาน สองเจ้าสำนักก็ยังคงมีข้อกังขาอยู่พอสมควร เฉาอวี้เอ๋อร์ลองถามหยั่งเชิงว่า “ท่านเจ้ากรม เรื่องนี้ได้รับความเห็นชอบจากสามสำนักหลักแล้วหรือ?”
ถงโม่เอ่ยเสียงเรียบ “โอกาสมิใช่สิ่งที่ต้องรอความเห็นชอบจากคนอื่น หลายครั้งก็มาจากการเข้าไปแย่งชิงมาเอง หากเจ้าไม่ทำก็ไม่มีโอกาสอีกตลอดกาล หรือว่าพวกเจ้าทั้งสองไม่อยากยึดหนานโวคืนเพื่อชดใช้คำอธิบายแก่เหล่าศิษย์ในสำนักเล่า? ”
จินอู๋กวงกล่าวว่า “คำพูดของท่านเจ้ากรมมีเหตุผล แต่หากสามสำนักหลักคัดค้านจะจัดการอย่างไร? ”
ถงโม่ปรายตามองเล็กน้อย บ่นอยู่ในใจ ‘หากสามสำนักหลักให้การสนับสนุน ข้าจะเรียกหาพวกเจ้าไปไย?’ เขาลูบเครากล่าวไปว่า “คัดค้านอันใดเล่า? ราชสำนักยังไม่กลัวแล้วพวกเจ้าจะกลัวอะไรกัน? ราชสำนักจะไปเจรจากับสามสำนักหลักเอง หากพวกเจ้ากลัวกันจริงๆ ข้าก็ไม่บังคับพวกเจ้า ย่อมมีคนที่เต็มใจจะให้ความร่วมมือกับทะพราชสำนักอยู่แน่”
จินอู๋กวงรีบเอ่ยว่า “ข้ามิได้มีเจตนาเช่นนี้ไม่ เพียงเอ่ยเตือนด้วยเจตนาดีเท่านั้น” พูดจบก็สบตากับเฉาอวี้เอ๋อร์ ทั้งสองยืนขึ้นพร้อมกัน ประสานมือกล่าวว่า “สำนักจิตกระจ่างและสำนักหอบุปผาล่อง พร้อมจะให้ความร่วมมือกับทัพราชสำนักทุกเมื่อ!”
รอจนทั้งสองจากไปแล้ว ถงโม่ลุกขึ้นเดินไปด้านข้าง ดันประตูบานเลื่อนให้เลื่อนออกไปด้านข้าง มีคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใน
ก่าเหมี่ยวสุ่ยนั่งละเลียดชาอยู่ด้านใน เอ่ยเนิบๆ ว่า “ด้วยกำลังของพวกเขาสองสำนักแล้วเกรงว่าจะไม่น่าวางใจมากพอ”
ถงโม่กล่าวว่า “ยุคสมัยนี้ สำนักที่ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดมีมากมาย อีกเดี๋ยวค่อยไปหามาเพิ่มอีกสองสามสำนักก็ได้ เหตุผลที่เรียกพวกเขาสองสำนักเพราะรู้ว่าพวกเขามีความคับข้องไม่พอใจที่ต้องกลายเป็นสุนัขเร่ร่อนมานานปานนี้ พอได้ลงสู่สนามต้องสู้ตายเป็นแน่ เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเลย แล้วทางหนานโจวกับจินโจวเป็นอย่างไรบ้าง?”
ก่าเหมี่ยวสุ่ยเอ่ยเสียงเรียบ “ทางหนานโจวข้าจะเร่งติดต่อกับสำนักเขามหายานโดยเร็ว พวกเขาจะยอมตกลงหรือไม่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ส่วนทางฝั่งจินโจว ไห่อู๋จี๋รับประกันกับฝ่าบาทแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้จินโวเข้ามายุ่งได้”
ถงโม่พยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี!”
….
แสงอรุณส่องฟ้าพร้อมเมฆขาวพาดริ้ว
ทางตะวันตกของมณฑลจินโจว บนเส้นทางหลวงที่เชื่อมจากมณฑลผิงโจวสู้มณฑลจินโจว มีจุดพักม้าแห่งหนึ่งที่ดูผิดแผกไปจากปกติ มีทหารเฝ้าอยู่มากมาย เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ผู้สัญจรผ่านเส้นทางที่ต้องการเข้าไปพักในจุดพักม้าล้วนถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพัก
อินทรีหยกทมิฬตัวหนึ่งโบยบินรับแสงอรุณร่อนลงในลานจุดพักม้า มีขันทีสามคนกระโดดลงมา
พอขันทีคนหนึ่งที่ยืนค้ำกระบี่เฝ้าอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูจุดพักม้าเห็นเหตุการณ์ก็ยกกระบี่เดินลงบันไดมา เดินเข้ามาประสานมือเอ่ยกับคนร่างท้อมที่เป็นผู้นำกลุ่มว่า “หวงกงกง ท่านมาได้อย่างไรขอรับ?”
หวงกงกงผู้นั้นยิ้มละไมเอ่ยไปว่า “มีเรื่องมาแจ้งต่อท่านเจ้ากรม ไปเรียนให้ทีเถิด”
ขันทีที่ถือกระบี่อยู่หันมองไปทางหน้าต่างของห้องพักห้องหนึ่ง คาดว่าผู้เป็นนายยังไม่ตื่นนอนไม่ค่อยกล้ารบกวนง่ายๆ จึงยิ้มแล้วเอ่ยถาม “หวงกงกง มีเรื่องใดแจ้งผ่านปีกทองมาก็ใช้ได้แล้ว เป็นเรื่องใดกันที่รบกวนให้ท่านมาด้วยตัวเองได้?”
รอยยิ้มของหวงกงกงเลือนหายไปทันที เอ่ยเสียงเข้ม “ไร้สาระ หากไม่มีธุระสำคัญข้าจะเดินทางไกลมาจากเมืองหลวงทำไม รีบไปรายงานเสีย!”
ขันทีที่กุ่มกระบี่ค้อมกายให้เล็กน้อย “ท่านโปรดคอยสักครู่”
พูดตบก็หันหลังวิ่งเข้าเรือนพักไปอย่างรวดเร็ว ขึ้นไปชั้นสองผ่านด่านทหารคุ้มกันหลายต่อหลายชั้น เข้าไปเคาะประตูห้องพักห้องหนึ่ง
มีเสียงแหลมเล็กที่เจือความเย็นชาแว่วออกมาจากในห้อง “เข้ามา!”
ขันทีกุมกระบี่ถึงได้เปิดประตูเข้าไป ด้วยแสงจากผีเสื้อจันทราภายในห้องทำให้มองเห็นชายคนหนึ่งที่สวมชุดตัวในสีขาวนั่งขัดสมาธิทำสมาธิอยู่บนเตียง ปล่อยผมสยายปรกไหล่
คนผู้นี้คือจ้าวเซินขันทีผู้รับใช้ใกล้ชิดของจักรพรรดิไห่อู๋จี๋แห่งแคว้นจ้าว ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมราชยาน
ขันทีกุมกระบี่เดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยรายงานเสียงเบา “เจ้ากรม ขันทีหวงเซี่ยมาขอรับ บอกว่ามีธุระต้องการพบท่าน”
ภายใต้เรือนผมที่ห้อยปรกบดบังไปครึ่งหนึ่ง จ้าวเซินลืมตาขึ้นมาในทันใด ค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมา เปล่งเสียง “อืม” ขึ้นมาช้าๆ
ขันทีกุมกระบี่ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปสักพักประตูเปิดออกอีกครั้ง หวงเซี่ยเดินเข้ามา พอเข้ามาถึงข้างเตียงก็ประสานมือคำนับ “ท่านเจ้ากรม”
จ้าวเซินหันไปมองเขาเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เจ้าถ่อมาไกลขนาดนี้ เกิดเรื่องใดขึ้นทางเมืองหลวงหรือ?”
หวงเซี่ยยังไม่ตอบ แต่หันกลับไปโบกมือไล่ขันทีกุมกระบี่ สื่อว่าให้ถอยออกไปพร้อมออกคำสั่งว่า “ให้คนที่อยู่นอกประตูถอยออกไป หากไม่ได้รับอนุญาตห้ามใครหน้าไหนเข้าใกล้ทั้งสิ้น”
ขันทีกุมกระบี่มองจ้าวเซินเล็กน้อย พอเห็นว่าเขาไม่ได้คัดค้านใดๆ ถึงได้ตอบรับ “ขอรับ” ยามที่ถอยออกไปก็ปิดประตูให้ด้วย จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินห่างออกไปแว่วดังขึ้นพักหนึ่ง
หวงเซี่ยถึงได้เข้าไปหาจ้าวดซิน หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ คลี่กางให้จ้าวเซินอ่าน
เห็นพียงคราบหมึกแดงสดบนกระดาษสีอมเหลือง มีคำว่า ‘ฆ่า’ ตัวเดียวโดดเด่นสะดุดตาอยู่บนกระดาษ
จ้าวเซินหรี่ตาลงเล็กน้อย ดึงกระดาษจากมืออีกฝ่ายเข้ามา มองอย่างละเอียด เขาคุ้นเคยกับลายมือนี้ดี
หลังดูเสร็จก็ค่อยๆ พับกระดาษในมือ เอ่ยถามไป “ผู้ใด?”
หวงเซี่ยกระซิบบอก “องค์หญิงใหญ่และตัวนอกคอกที่เพิ่งถือกำเนิด”
จ้าวเซินพลันตกตะลึง ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงให้คนอื่นถอยออกไป ไหนเลยจะปล่อยให้เรื่องที่ฝ่าบาทต้องการสังหารพระกนิษฐาร่วมอุทรของตนรั่วไหลออกไปได้ง่ายๆ
เขาลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ลงจากเตียงด้วยสองเท้าเปลือยเปล่า พุ่งตัวออกไปเปิดประตูแล้วมองออกไปด้านนอก จากนั้นก็พุ่งไปเปิดหน้าต่างสอดส่องด้านนอกอย่างรวดเร็วต่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า